ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 224 เหิงจิ่งชั่ว
ฉู่หลิวเยว่ชนะในการประลองนี้ สถานการณ์ในสนามก็เปลี่ยนไปทันที
คนอื่นๆ มองดูนางเป็นครั้งคราว และมีแววตาที่ดูแตกต่างออกไป แต่เห็นได้ชัดว่าพวกเขาดูชื่นชมมากกว่าเดิมเล็กน้อย
จากที่คิดว่าฉู่หลิวเยว่ที่อยู่ด้านล่างของสิบคนสุดท้ายคงไม่มีทางที่จะชนะหลังจากท้าดวลกับซือถูจื่อเยว่ ใครจะไปคาดคิดว่านางเผชิญหน้ากับซือถูจื่อเยว่จนสิ้นสุดการประลองนั้น และได้นั่งอันดับที่หนึ่ง
ครานี้พวกเขาต้องมองฉู่หลิวเยว่ใหม่อีกครั้ง
ก่อนหน้านี้เป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับหนึ่ง เอาชนะผู้ฝึกยุทธ์ระดับสี่ได้ถึงสองคนติดต่อกัน หลังจากที่ก้าวข้ามผ่านไปเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับสองก็เอาชนะผู้ฝึกยุทธ์สูงสุดระดับสี่อีกด้วย
บันทึกดังกล่าวเพียงพอที่จะทําให้ฉู่หลิวเยว่มีชื่อเสียงจากนี้ และถ้าพวกเขาต้องการชนะอันดับที่หนึ่ง พวกเขาจำต้องข้ามฉู่หลิวเยว่
ซุนจ้งเหยียนมองดูคนรุ่นหนุ่มรุ่นสาวจากสำนักหนานเฟิง “เยี่ยเฉินจยา ตอนนี้ถึงคราวของเจ้าที่ต้องเลือก”
เยี่ยเฉินจยาอยู่อันดับที่เก้านางอยู่ก่อนหน้าฉู่หลิวเยว่
ตามกฎแล้วถึงคราวของเขาที่จะเลือกหนึ่งคนจากห้าอันดับแรกเพื่อท้าดวล
เยี่ยเฉินจยาดูเหมือนจะเตรียมการไว้แล้ว ตรงไปที่เวทีเอามือทั้งสองประสานกันแล้วยกขึ้นโค้งคำนับคนผู้หนึ่งจากสำนักไท่เหยี่ยน กล่าวว่า
“เยี่ยเฉินจยาจากสำนักหนานเฟิง ขอท้าดวลสำนักไท่เหยี่ยน…ซูถิงเฟิง!”
เมื่อเห็นเขาเลือกเช่นนั้นทุกคนก็พยักหน้าโดยไม่รู้ตัวเห็นได้ชัดว่ามันเป็นไปตามคาด ซูถิงเฟิงอยู่อันดับที่ห้า
เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นการท้าดวลที่ง่ายที่สุดในการเลือกห้าอันดับแรก เยี่ยเฉินจยาเลือกอันดับที่ห้าซึ่งนั่นปลอดภัยที่สุด
ซูถิงเฟิงหัวเราะออกมาและเขากระโดดขึ้นไปบนสนาม
“เชิญ!” เมื่อเห็นการต่อสู้ทั้งสอง คนบางคนพูดถึงเรื่องนี้ขึ้น
‘…ข้ากลัวนัก ข้าคิดว่าน้องใหม่ในปีนี้ต่างก็ไม่เกรงกลัว’
‘แค่ฉู่หลิวเยว่ก็เพียงพอ มิฉะนั้นเราจะไม่ปล่อยให้คนชรามีชีวิตอยู่…’
‘ที่จริงข้าได้ยินมาว่า ในปีนี้เยี่ยเฉินจยามีอายุเพียงสิบหกปี เขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับสามอยู่แล้ว ดังนั้นเขาควรจะเป็นอันดับต้นๆ ของน้องใหม่ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เข้าร่วมในงานสมาคมเยาวชนในปีนี้แล้วเข้ามาสู่สิบอันดับแรกได้ทันที เมื่อเทียบกับเจียงหยวนครั้งก่อนก็ไม่ต่างกัน แต่น่าเสียดายที่ฉู่หลิวเยว่นำหน้าไปเสียก่อน คนอื่นๆ ก็จางลงทันที’
‘ในความคิดของข้า แม้ว่าฉู่หลิวเยว่จะไม่ได้เป็นผู้ฝึกยุทธ์อันดับที่หนึ่ง นางก็คงมีชื่อเสียง…อนาคตของนางไร้ขอบเขตจริงๆ’
…
เมื่อเปรียบเทียบการต่อสู้ที่ดุเดือดระหว่างฉู่หลิวเยว่และซือถูจื่อเยว่ก่อนหน้านี้ การต่อสู้ระหว่างเยี่ยเฉินจยาและซูถิงเฟิงดูเหมือนจะน่าเบื่อกว่ามาก
แม้ว่าเยี่ยเฉินจยาจะมีความสามารถ แต่ก็มีช่องว่างระหว่างเขากับซูถิงเฟิง หลังจากใช้เวลาไปครึ่งชั่วโมงของการประลอง ในที่สุดเขาก็พ่ายแพ้อย่างน่าเสียดาย
ซูถิงเฟิงโค้งคำนับอย่างสุภาพต่อหน้าเยี่ยเฉินจยา เอ่ยขึ้นว่า “ยอมรับ”
เยี่ยเฉินจยายิ้มอย่างขมขื่น “ศึกข้ามระดับนั้นมันไม่ง่ายนัก ข้าไม่รู้…”
เขาอดไม่ได้ที่จะมองไปที่สำนักเทียนลู่ ฉู่หลิวเยว่นั่งอยู่ในที่นั่งของนางด้วยท่าทางที่สงบ
ยังมีคนรอบตัวนางที่กระซิบกันเกี่ยวกับการประลองเมื่อครู่ของนาง แต่กลับกลายเป็นว่าไม่มีความภูมิใจระหว่างคิ้วและดวงตาของนาง ราวกับว่านางไม่ใช่คนที่ได้รับชัยชนะก่อนหน้านี้
นางข้ามไปมากกว่าหนึ่งระดับ…ยังสงบนิ่ง
เยี่ยเฉินจยารู้สึกละอายใจ
ซูถิงเฟิงหันไปมองตาม สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาขมวดคิ้วด้วยอาการปวดหัว
เดิมทีเขาคิดว่าอันดับของเขาสามารถอยู่ในอันดับที่สูงขึ้นได้ แต่เมื่อดูตอนนี้แล้วเกรงว่ามันจะเป็นเรื่องยาก…
…
สองการประลองถัดไป ดำเนินไปอย่างรวดเร็ว
การประลองที่สาม ฉินไหวจากสำนักเทียนลู่ ท้าดวลซีหว่านหว่านจากสำนักหนานเฟิง ผลคือแพ้!
การประลองที่สี่ หลี่จื่อหยวนจากสำนักหนานเฟิง ท้าดวลเซียวเหวินหลิงจากสำนักเดียวกัน ผลคือแพ้!
ทั้งสามคนหลังจากฉู่หลิวเยว่ พยายามอย่างดีที่สุดในเลือกคนที่อันดับต่ำเพื่อท้าดวล แต่พวกเขายังคงแพ้และล้มเหลว
ฉู่หลิวเยว่เฝ้าดูอย่างระมัดระวังในขณะที่ปรับลมหายใจของนาง
ในบรรดาคนเหล่านี้จะกลายเป็นคู่ต่อสู้ของนางในภายหลัง ดังนั้นใช้โอกาสนี้เพื่อสังเกตความแข็งแกร่งของพวกเขา
ไม่ว่าจะเป็นซีหว่านหว่านหรือเซียวเหวินหลิง ความแข็งแกร่งก็อยู่ตรงกลางของระดับสี่
ดูจากสถานการณ์การประลองในสนามแล้ว พวกเขายังดีไม่เท่าซือถูจื่อเยว่
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือไม่เป็นอันตรายต่อนางในขณะนี้
นางหันไปเล็กน้อยเพื่อมองไปที่องค์รัชทายาทที่อยู่ข้างหน้านาง องค์รัชทายาทอยู่อันดับสองเป็นคนสุดท้ายที่ถูกเลือก และคู่ประลองของเขา คือเหิงจิ่งชั่วจากสำนักไท่เหยี่ยน
…
เหิงจิ่งชั่วอันดับที่หก ความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขามาถึงขั้นกลางของระดับสี่แล้ว
หากถูกแทนโดยซีหว่านหว่านหรือเซียวเหวินหลิงก่อนหน้านี้ อาจยังมีความหวังที่จะชนะในการท้าดวล
แต่องค์รัชทายาทอยู่จุดสูงสุดของระดับสี่ ความแข็งแกร่งของเขานั้นมีมากกว่า ดังนั้นโอกาสของเหิงจิ่งชั่วในการชนะจึงไม่มาก
ทั้งสองยืนอยู่บนเวทีหันหน้าเข้าหากัน ทั้งสองคนสูงและหน้าตาดี การยืนอยู่ที่นั่นดึงดูดความสนใจของหญิงสาวหลายคน
“ปีที่แล้วไม่มีโอกาสได้ประลองฝีมือกัน จิ่งชั่วรู้สึกเสียใจมาเสมอ ครานี้ในที่สุดมันก็ได้เริ่มแล้ว”
เหิงจิ่งชั่วกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“กรุณาช่วยชี้แนะด้วย”
องค์รัชทายาทพยักหน้าอย่างภาคภูมิใจ กล่าวว่า “คงไม่ใช่การแนะนำ แต่เป็นเพียงการเรียนรู้จากกันและกัน” แม้พูดอย่างนั้น แต่เขากลับไม่ได้สนใจเหิงจิ่งชั่ว
มีช่องว่างพลังระหว่างทั้งสอง การประลองก่อนหน้านี้ของเหิงจิ่งชั่วเขายังได้ดูสองสามครั้ง และมันก็ถือว่าน่าพอใจทีเดียว ครั้งนี้เขามาเพื่อเป็นผู้ฝึกยุทธ์อันดับหนึ่ง หลังจากเขาชนะเหิงจิ่งชั่วนี้บางทีเขาอาจจะต้องท้าดวลฉู่หลิวเยว่
เมื่อคิดเช่นนี้ เขาก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย
“เริ่มกันเลย”
เหิงจิ่งชั่วมองไปที่รูปลักษณ์ที่ไม่สนใจตนเองขององค์รัชทายาทด้วยรอยยิ้มที่มุมปากของเขา
“เชิญ!”
เมื่อสิ้นเสียง เขาก็เริ่มลงมือก่อน ทันทีที่เขาเคลื่อนไหว ร่างนั้นก็หายไปในทันที
ทันใดนั้นองค์รัชทายาทก็รู้สึกตัว คิ้วของเขาก็ขมวดคิ้วทันที ความเร็วของเหิงจิ่งชั่วนั้นเร็วได้ถึงเพียงนี้ได้อย่างไร
ลมเย็นมาจากด้านหลัง องค์รัชทายาทก็หันกลับมาทันที แล้วผายมือ
“ฝ่ามือทะยานเมฆา!”
เกิดลมกระโชกแรงขึ้นทันที
เมื่อเห็นว่ามันกำลังจะกระทบหน้าอกของเหิงจิ่งชั่วที่ไม่รู้ว่าจะขยับอย่างไร แต่กลายเป็นว่าเขาหลีกเลี่ยงได้อีกครั้ง
ฝ่ามือขององค์รัชทายาทนั้นถือว่าไม่มีผลอะไรกับเฉิงจิ่งชั่ว
เมื่อมองไปที่เหิงจิ่งชั่วยิ้มแย้มอยู่ ซึ่งปรากฏตัวในอีกทางหนึ่ง หัวใจขององค์รัชทายาทก็จมลงอย่างช้าๆ เหิงจิ่งชั่วผู้นี้…ดูแปลกไป!
…
ฉู่หลิวเยว่ซึ่งนั่งอยู่ในกลุ่มผู้ชมที่กำลังดูการประลองนี้ ทันใดนั้นก็ลุกขึ้นนั่งตัวตรง ดวงตาของนางหรี่ลง นางจับตาดูเหิงจิ่งชั่วอย่างใกล้ชิด
ซือหยางรู้สึกถึงตงซิงของนาง อดไม่ได้ที่จะกระซิบถาม
“เจ้าคิดว่ามีบางอย่างผิดปกติกับเหิงจิ่งชั่วนั่นหรือไม่”
แม้ว่าเขาจะไม่มีความรู้สึกที่ดีต่อองค์รัชทายาท แต่พลังของเขาก็ยังเป็นที่ยอมรับว่าแข็งแกร่ง
แต่ตอนนี้เหิงจิ่งชั่วสามารถหลีกเลี่ยงการโจมตีขององค์รัชทายาทได้อย่างง่ายดาย ฉู่หลิวเยว่เงียบไปครู่หนึ่งก่อนแล้วเอ่ยขึ้นว่า
“เขาอยู่จุดสูงสุดระดับสี่”
“ใช่ ทุกคนรู้ว่าเขาคือ…ช้าก่อน เจ้าหมายถึงเหิงจิ่งชั่ว” ซือหยางถึงกับตกตะลึง และอดไม่ได้ที่จะหันไปมอง
“เป็นไปไม่ได้ออร่าบนร่างกายของเขานั้นคล้ายกับของเจียงหยวนเมื่อก่อน นั่นเป็นขั้นกลางของระดับสี่ไม่ใช่หรือ”
ฉู่หลิวเยว่ไม่ได้เอ่ยอันใด แต่ท่าทีที่แสดงออกของนางเริ่มจริงจังมากขึ้น
ซือหยางต้องการจะเอ่ยอะไรบางอย่าง แต่ทันใดนั้นเขาก็สังเกตเห็นว่าลมปราณของเหิงจิ่งชั่วทะยานขึ้น อย่างไรก็ตามในอีกไม่นานเขาก็จะไม่ด้อยกว่าองค์รัชทายาท จากผู้แข็งแกร่งและผู้อ่อนแอก่อนหน้านี้ ทั้งสองกลายเป็นคู่ที่เท่าเทียมกันในทันที
ฉู่หลิวเยว่หรี่ตาลง
เกรงว่าเหิงจิ่งชั่ว…จะเป็นคู่ประลองของนาง