ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 73 ดอกท้อเบ่งบาน / ตอนที่ 74 ทันเวลาพอดี
ตอนที่ 73 ดอกท้อเบ่งบาน
ปิ่นปักผมแกะสลักจากไม้สีดำ มีดอกท้ออยู่สองสามดอก ที่ดูราวกับมีชีวิตชีวา และแม้แต่เกสรดอกตัวผู้ก็ยังดูบอบบางมาก
สิ่งที่โดดเด่นที่สุดคือบนกลีบดอกท้อเหล่านั้นมีเกล็ดหิมะที่ใสราวกับแก้วอยู่สองสามดวง
ตอนนี้เป็นช่วงกลางฤดูร้อน โดยธรรมชาติแล้วจะไม่มีหิมะตก
เมื่อฉู่หลิวเยว่มองเข้าไปใกล้ๆ ก็รู้สึกประหลาดใจที่รู้ว่าเกล็ดหิมะนั้นแกะสลักมาจากจันทรกานต์[1]อันล้ำค่าจริงๆ
จันทรกานต์เป็นหยกชนิดที่หายากมาก มันวาวใสและเจิดจ้าเมื่ออยู่กลางแสงแดด แต่ยามราตรีที่มืดมิด แสงของหยกจะกลิ้งไหลแวววาวราวกับแสงจันทร์ที่นวลตา
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง
แม้ว่าหร่งซิวจะเป็นองค์ชายเจ็ดแห่งเคว้นเย่าเฉิน แต่สำหรับอาณาจักรเสวียนอู่แล้วแคว้นเย่าเฉินไม่มีอะไรเทียบได้เลยสักนิด
หากเป็นนางในอดีตชาติ ในฐานะองค์หญิงจากลิขิตสวรรค์ของราชวงศ์เทียนลิ่งอันสูงส่ง ถ้าต้องการจันทรกานต์นี้สักชิ้นก็คงไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรง
นี่เป็นสมบัติที่หายากมากในที่สุดในโลกสำหรับคนในแคว้นเย่าเฉินอย่างแน่นอน
หรงซิวมีของแบบนี้ได้อย่างไร
อีกอย่าง เขามอบของขวัญราคาแพงให้กับนางจริงๆ หรือ!
ฉู่หลิวเยว่ปิดกล่องแล้วยื่นกลับคืนไป
“องค์ชาย ของชิ้นนี้มีค่ามากเกินไป ข้ามิอาจรับได้หรอก”
หรงซิวจ้องนางแน่นิ่ง
“วันนี้เป็นวันของเจ้า ตามกฎแล้วผู้อาวุโสในครอบครัวจะต้องทำพิธีปักปิ่น[2]ให้กับเจ้า”
ฉู่หลิวเยว่นิ่งเงียบ
หรงซิวพูดถูก
พิธีปักปิ่นเป็นวันที่สำคัญมากสำหรับสตรีในอาณาจักรเสวียนอู่
เพราะมันหมายความว่าหญิงสาวนั้นจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่และสามารถแต่งงานออกเรือนได้แล้ว
ต่อให้เป็นในตระกูลของคนธรรมดาสามัญก็ต้องเชิญคนมาทำพิธีนี้ให้บุตรสาวของตนโดยเฉพาะ
แน่นอนว่าสำหรับตระกูลใหญ่นั้นสำคัญยิ่งกว่าอะไร
ตอนพิธีปักปิ่นในอดีตชาติของนาง ทุกประเทศราชต่างส่งของกำนัลมายินดีให้ตั้งมากมาย แม้กระทั่งงานเลี้ยงยังจัดตั้งสามวันสามคืน
ตอนนั้นช่างดูยิ่งใหญ่อลังการยิ่งนัก
หลังจากเกิดใหม่อีกครั้ง นางเอาแต่วางแผนที่จะเอาตัวรอดจากสถานการณ์ที่ยากลำบาก การแก้แค้น และความเกลียดชัง โดยลืมนึกถึงสิ่งเหล่านี้ไปเลย
วันนี้เป็นวันพิธีปักปิ่นของนาง แต่นางกับตัดขาดกับตระกูลฉู่ไปแล้ว ฉู่หนิงญาติสนิทเพียงผู้เดียวของนางก็อยู่ในวังยังไม่กลับมา
หากหรงซิวไม่มาหา นางก็คงปล่อยผ่านไปทั้งแบบนี้
แต่เขาไม่ได้มามือเปล่า เขายังนำของขวัญชิ้นใหญ่มามอบให้นางอีกด้วย
“องค์ชายมีเมตตา หลิวเยว่รับไว้ในใจแล้ว แต่ของชิ้นนี้ ข้ารับไม่ไว้ไม่ได้จริงๆ…”
“วันนี้เจ้าไม่รับไว้ พรุ่งนี้ข้าก็จะเอามาให้อีก”
หรงซิวไม่ได้สนใจที่นางปฏิเสธ และริมฝีปากบางก็ยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย
“เจ้าไม่รับหนึ่งวัน ข้าก็จะมาเพิ่มอีกหนึ่งวัน”
ฉู่หลิวเยว่ “…”
เมื่อเห็นท่าทีสงบนิ่งและไม่สนใจอะไรทั้งนั้นของหรงซิว ฉู่หลิวเยว่ก็มั่นใจได้ว่าเขาต้องทำในสิ่งที่เขาพูดแน่นอน!
นางเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“องค์ชาย พระองค์เคยคิดว่าตัวเองหน้าหนาบ้างหรือไม่”
หรงซิวเอนหลังพิงเก้าอี้แล้วยิ้มเจือจาง
“ข้าเพิ่งกลับเมืองหลวงได้ไม่นาน และพักฟื้นในจวนมาตลอด ข้าไม่เคยได้ยินคำพูดเช่นนี้หรอก”
“…”
แกร็ก!
ฉู่หลิวเยว่เปิดกล่องไม้กฤษณานั้นอีกครั้งก่อนจะชี้ไปที่ปิ่นดอกท้อแล้วถามว่า
“องค์ชาย ดอกท้อมักบานในวสันตฤดู ทำไมถึงมีหิมะตกบนปิ่นปักผมที่ท่านมอบให้ข้าล่ะ”
“ดอกท้อบานได้ในฤดูเหมันต์เช่นกัน”
“เป็นไปได้ยังไง พระองค์เคยเห็นหรือ” ฉู่หลิวเยว่หัวเราะเยาะในใจ หรงซิวเป็นคนที่พูดอะไรออกมาก็ได้จริงๆ
จากนั้นหรงซิวก็ช้อนสายตาสบตานางลึกซึ้ง
สายตาเช่นนี้ทำให้ฉู่หลิวเยว่นึกถึงครั้งแรกที่นางเห็นชายหนุ่มยืนอยู่กลางสายฝน ซึ่งเขาก็มองนางด้วยสายตาแบบนี้
นางไม่สามารถเดาได้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ และถึงกับคิดว่าเขากำลังมองคนอื่นอีกคนผ่านตัวนางอยู่
“ข้าเคยเห็น”
เขาหลับตาแล้วกลอกตาจนเป็นลูกคลื่นที่ใต้ตา จากนั้นถอนหายใจแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
“ข้าเคยเห็นดอกท้อเบ่งบานยามหิมะส่องแสงระยิบระยับไปทั่วท้องฟ้า”
ตอนที่ 74 ทันเวลาพอดี
ฉู่หลิวเยว่ไม่รู้ว่าจะอธิบายหรงซิวในตอนนี้อย่างไรดี
ดูเหมือนเขาจะหวนนึกถึงทิวทัศน์ที่เขาพรรณนา เหมือนกับว่าเขาคะนึงหาผู้หนึ่งอยู่
แล้วจะเห็นดอกท้อบานสะพรั่งในเหมันตฤดูได้ที่ไหน
ใครกันที่ทำให้เขาอาลัยอาวรณ์ได้ถึงเพียงนี้
ไม่ว่าในกรณีใด เห็นได้ชัดว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเขา
ฉู่หลิวเยว่ลังเลครู่หนึ่งและในที่สุดนางก็รับเอาปิ่นดอกท้อมาเก็บไว้
“เช่นนั้นก็ขอบพระทัยองค์ชายมากเพคะ”
หรงซิวเท้าคางด้วยสีหน้าผ่อนคลาย แสงไฟนวลอันอบอุ่นสาดส่องบนใบหน้าของเขา ยิ่งทำให้ใบหน้าหล่อเหลาเกลี้ยงเกลาดูสง่าสงามและโดดเด่นขึ้นไปอีก
ฉู่หลิวเยว่เหลือบมองออกไปนอกประตู ฝนเริ่มตกหนักขึ้นเรื่อยๆ และเขาไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
นางเอ่ยถาม
“องค์ชาย คนที่จวนของท่านรู้หรือไม่ว่าเสด็จมาที่นี่ ตอนนี้ฝนตกหนักแล้ว พวกเขาน่าจะมารับพระองค์ได้แล้วนะเพคะ”
แม้ว่าเขาจะมีร่ม แต่การที่จะให้หลีอ๋องเดินกางร่มฝ่าฝนกลับไปก็จะดูเกินไปหน่อย
โดยเฉพาะอีกฝ่ายเพิ่งมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้ตัวเองแบบนี้
หรงซิวชำเลืองมองนางด้วยรอยยิ้มจางๆ
“ที่เจ้าอยากให้ข้ารีบกลับ เพราะไม่อยากเห็นหน้าข้าหรือ”
ฉู่หลิวเยว่พูดจริงจัง
“เป็นไปได้อย่างไร พระองค์เสด็จมาที่นี่ บ้านที่หลังเล็กและเรียบง่ายจะเทียบกับจวนของท่านไม่ได้…”
“แต่ข้ากลับคิดว่าที่นี่ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร”
หรงซิวเคาะโต๊ะ
“ยิ่งไปกว่านั้น ช่วงนี้ร่างกายข้าอ่อนแอและทนหนาวไม่ไหว ถ้าฝนตกทั้งคืนแบบนี้ ข้าเกรงว่าจะต้องค้างที่นี่สักคืน”
ฉู่หลิวเยว่หยิบถ้วยชาขึ้นมาเพื่อจะจิบชา แต่ก็เกือบจะปาถ้วยในมือออกไปเดี๋ยวนั้น
นางเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
“พระองค์จะค้างที่นี่หรือ ไม่มีทาง!”
นางเพิ่งจะย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่วันแรกเองนะ
หรงซิวและนางไม่ใช่ญาติกัน ดังนั้นจะมานอนแบบนี้หมายความว่าอย่างไร
“บ้านเจ้าออกจะตั้งกว้าง อย่าบอกนะว่าไม่มีแม้กระทั่งห้องรับแขก”
หรงซิวทำท่าทางเหมือนแปลกใจเล็กน้อย
“…”
ฉู่หลิวเยว่พูดไม่ออก
จริงอยู่ที่บ้านหลังนี้มีห้องหลายห้อง แต่ตอนซื้อบ้าน นางจึงเตรียมทำความสะอาดไว้แค่ห้องนอนแค่สองห้องเท่านั้น
ห้องหนึ่งของฉู่หนิง ส่วนอีกห้องคือห้องของนาง
มีห้องสำหรับเขาซะที่ไหน
ฉู่หลิวเยว่ชี้แจงสถานการณ์ปัจจุบันให้หรงซิวฟัง
“…องค์ชาย ไม่ใช่ว่าข้าต้องการขับไล่ท่านออกไป แต่ข้าไม่สามารถหาที่ว่างให้พระองค์ได้จริงๆ วันนี้ท่านพ่อคงกลับดึก…”
“ท่านพ่อของเจ้าเข้าวังเพื่อเข้าเฝ้าเสด็จพ่อมิใช่หรือ ข้าได้ยินว่าดูเหมือนเสด็จพ่อจะทรงดีพระทัยมาก จึงบอกให้ใต้เท้าฉู่หนิงอยู่ต่อเพื่อสนทนาพาทีคืนนี้”
ฉู่หลิวเยว่เหลือบมองหรงซิวอย่างหวดระแวง
เขารู้เรื่องนี้ด้วยหรือ
วันนี้หมิ่นกงกงได้ป่าวประกาศตรงหน้าประตูตระกูลฉู่ คนที่อยากรู้แค่สืบถามก็รู้แล้ว
ถึงอย่างไรเขาก็เป็นถึงองค์ชาย ทุกเรื่องในวังเขาจึงรู้ดีที่สุด
หลีอ๋องพระองค์นี้ไม่ได้ดูอ่อนโยนและไร้พิษสงอย่างที่เห็นจากภาพลักษณ์ภายนอก
“เมื่อเสร็จธุระ ท่านพ่อข้าก็จะกลับมาเอง ข้าเป็นลูกสาว แม้กระทั่งที่ของพ่อข้าก็คงไม่เก็บไว้ให้หรอกกระมัง”
หรงซิวพยักหน้าเห็นด้วย
“ถูกต้อง ในฐานะที่เป็นเด็กก็ไม่ควรรบกวนผู้อาวุโสจริงๆ”
ยังไม่ทันที่ฉู่หลิวเยว่จะได้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาก็พูดต่ออีกว่า
“ถ้าอย่างนั้น ข้า…ก็ต้องขอรบกวนเยว่เอ๋อร์แล้วล่ะ”
ในขณะที่ฉู่หลิวเยว่กำลังจะตบโต๊ะแล้วลุกขึ้น ก็เห็นหรงซิวกำหมัดป้องปากแล้วไอโขลกๆ ราวกับว่าหากได้รับลมแรงกว่านี้คงเป็นลมหมดสติไปเป็นแน่
ผู้ชายคนนี้ยืนกรานที่จะอยู่ที่นี่ให้ได้จริงๆ
ฉู่หลิวเยว่กำหมัดแน่นแล้วคลายออก กำแน่นแล้วคลายออก จนในที่สุดนางก็ลุกพรวดพราด
“บ้านหลังนี้ไม่ได้หรูกรา หลังคาและหน้าต่างก็ผุพัง หากลมพัดหรือฝนกระเด็นเข้ามากระทบพระวรกาย พระองค์ต้องระวังให้มากด้วย”
ในที่สุดหรงซิวก็หยุดไอสักที
“เช่นนั้นก็ขอบใจเยว่เอ๋อร์มาก”
…
หน้าหนาเหมือนกำแพงเมืองจริงๆ!
อ่อนโยนราวกับหนกอะไรกัน สุภาพบุรุษอะไรกัน ภาพจอมปลอมทั้งนั้น!
นี่มันผู้ชายไร้ยางอายชัดๆ
ฉู่หลิวเยว่จัดที่นอนไปด้วยแอบด่าในใจไปด้วย
พรึ่บ!
นางสะบัดผ้าห่มอย่างแรง
ตุ้บ!
ปั้ง!
นางปิดบานหน้าต่างอย่างแรง
ตุ้บๆๆ!
นางทุบหมอนด้วยมือทั้งสองข้างอย่างแรง
“เยว่เอ๋อร์ แม้หมอนนั่นจะเป็นไม่ แต่มันทนเช่นนั้นไม่ไหวแล้ว…” หรงซิวที่ยืนมองอยู่ด้านข้างหนังตากระตุก เขาจึงอดเตือนไม่ได้
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มกัดฟัน
“พระองค์วางพระทัยได้ หมอนนี่แข็งแรงจะตาย เกรงว่าพระองค์จะบรรทมไม่สบายมากกว่า”
แต่เมื่อเห็นสีหน้าบูดบึ้งท่าทางฟึดฟัดของนางแล้ว เขาก็ยกยิ้มมุมปากกว้างขึ้น
“เอาล่ะ จัดเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว พระองค์ทรงพักผ่อนตามอัธยาศัยเถิด!”
ฉู่หลิวเยว่ตระเตรียมเสร็จแล้วก็กำลังจะจากไป
หรงซิวก้าวไปข้างหน้าและขวางนางเอาไว้
“เจ้าจะไปไหน”
ฉู่หลิวเยว่มองเขาด้วยความประหลาดใจ
“ห้องนี้ให้พระองค์พัก ข้าก็ต้องไปนอนที่อื่นสิเพคะ”
หรงซิวกลับส่ายหน้า
“ข้ามักจะฝันร้ายในตอนกลางคืน และข้าไม่สามารถอยู่ได้โดยปราศจากผู้คน”
ฉู่หลิวเยว่ค่อยๆ เบิกตาโต
“ท่านอย่าบอกนะว่า…”
ตึงตัง!
จู่ๆ ร่างสีขาวก็พุ่งทะลุหน้าต่างแล้วล้มลงกับพื้น!
ทั้งสองหันไปมองพร้อมกัน
ฉู่หลิวเยว่ตื่นเต้นดีใจใหญ่
“เสวียเสวี่ย! เจ้ามาได้ยังไง”
เสวียเสวี่ยกำลังนอนอยู่บนพื้น ขนที่นุ่มสลวยของมันเปียกปอนไปด้วยน้ำฝนชุ่มจนตัวลีบผอมบาง
เมื่อได้ยินเสียงของฉู่หลิวเยว่ ตอนแรกมันก็อยากจะลุกขึ้น แต่…สายตาเย็นชาตรึงมันเอาไว้อยู่กับที่จนไม่กล้าขยับตัว และแสร้งทำเป็นว่ามันตกลงมาโดยไม่ได้ตั้งใจ
ฉู่หลิวเยว่มองย้อนกลับไปที่หรงซิวด้วยสายตากระหยิ่มยิ้มย่อง
“ไหนๆ เสวียเสวี่ยก็มาแล้ว ให้มั้นอยู่เป็นเพื่อนพระองค์ก็แล้วกัน เสวียเสวี่ยฉลาดขนาดนี้จะต้องดูแลพระองค์ได้ดีแน่นอน พระองค์คิดเช่นนั้นไหมเพคะ”
หรงซิวเหลือบมองเสวียเสวี่ยด้วยสายตาเย็นเฉียบ
“อืม”
เสวียเสวี่ยตัวสั่นงันงก
เวลาต่อมามันเขย่าน้ำฝนบนร่างกายของมันอย่างแรง และในขณะเดียวกัน เปลวไฟสีน้ำเงินทก็ลุกโชนออกจากร่างกายอย่างรวดเร็วซึ่งทำให้น้ำฝนที่เหลืออยู่ระเหยจนหมด และกลับคืนสู่สภาพที่แห้งสะอาดและดูสง่างามเหมือนตอนปกติของมัน
หลังจากนั้นก็รีบวิ่งไปหาหรงซิวอย่างรวดเร็วด้วยท่าทางเชื่องๆ
ความหงุดหงิดใจของฉู่หลิวเยว่หายเป็นปลิดทิ้ง จากนั้นนางก็หันหลังออกไปอย่างรวดเร็ว
ในห้อง คนหนึ่งคนและสัตว์อสูรอีกหนึ่งตัวกำลังตกอยู่ในความเงียบที่แสนอึดอัด
“ครั้งนี้เจ้ามาได้ทันเวลาพอดีนี่ หืม?”
[1] จันทรกานต์ มุกดาหรือมูนสโตน อัญมณีชนิดหนึ่ง
[2] พิธีปักปิ่น เมื่อเด็กสาวอายุครบสิบสี่หรือสิบห้าปี ทางญาติผู้ใหญ่จะต้องทำพิธีปักปิ่นให้เพื่อแสดงความเป็นผู้ใหญ่ของหญิงสาวที่พร้อมออกเรือน ตรงข้ามกับผู้ชายที่ต้องทำพิธีครอบกวาน