ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 85 ครึกครื้น
“ใช่แล้ว! เราทุกคนล้วนเป็นปรมาจารย์ แน่นอนว่าเป็นพรรคพวกเดียวกันแล้ว ในเมื่อเจ้าเลี้ยงเหล้าพวกข้าก็ต้องฉลองให้เต็มที่ใช่ไหมล่ะ!”
ซือหยางไม่ได้สังเกตเลยสักนิดว่าตัวเองเผลอขายซือถิงเสียแล้ว เขากระโดดไปข้างหน้าฉู่หลิวเยว่และมองด้วยความประหลาดใจ
“แต่จะว่าไปแล้ว เจ้าใจกว้างเกินไปแล้วถึงขนาดเหมาโรงเตี๊ยมเฟิ่งหวง หมดเงินไปไม่น้อยเลยใช่หรือไม่”
แม้เขาจะเป็นถึงคุณชายห้าแห่งตระกูลซือ ก็มิใช่ว่าปกตินึกอยากจะมาก็มาได้
ฉู่หลิวเยว่หันไปมองเหยียนเก๋อ
“อันที่จริงเรื่องนี้ต้องขอบคุณคุณชายรองเหยียนที่ให้ความช่วยเหลือ”
เมื่อได้ยินว่า ‘เจินเป่าเก๋อ’ ซือหยางและคนอื่นต่างพากันอึ้ง คราวนี้จึงรู้ตัวว่าเหยียนเก๋อยืนอยู่ข้างๆ ทันที
พวกเขาจึงรีบคำนับทำความเคารพเหยีบนเก๋อ
“คุณชายรองเหยียน!”
เหยียนเก๋อโบกมือแล้วหัวเราะเสียงดัง
“ทุกท่านไม่ต้องมากพิธี วันนี้เป็นวันของคุณหนูหลิวเยว่ต่างหาก ข้าก็เป็นเค่ตัวแทนเจินเป่าเก๋อมาร่วมแสดงความยินดีด้วยเฉยๆ!”
ได้ยินดังนั้นทุกคนจึงแอบพูดไม่ออกไปเหมือนกัน
เจินเป่าเก๋อมีสถานะเยี่ยงไรกันแน่
ในเมืองหลวง มีคนเพียงไม่กี่คนที่กล้ามีเรื่องกับพวกเขา!
คราวที่แล้วได้ยินมาว่าผิดสัญญากับตระกูลใหญ่ๆ แล้วแต่ก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไรตามมา!
มาแสดงความยินดีในนามเจินเป่าเก๋อหรือ
พูดง่ายดีนี่!
หากคำพูดนี้หลุดออกไป ใครที่ไม่รู้ก็คงจะคิดว่าเจินเป่าเก๋อหนุนหลังให้ฉู่หลิวเยว่
ซือหยางและคนอื่นๆ อดไม่ได้ที่จะมองฉู่หลิวเยว่อีกหลายๆ ครั้ง
เมื่อก่อนมีแต่คนพูดว่าฉู่หลิวเยว่เป็นคนไร้ความสามารถ แต่นางกลับสอบเข้าสำนักเทียนลู่ได้คะแนนดีเยี่ยมอีกต่างหาก!
แม้จะตัดขาดกับตระกูลฉู่แล้ว แต่ชั่วพริบตาก็มีผู้อุปถัมภ์อย่างเจินเป่าเก๋อแล้ว
ข่าวลือเกี่ยวกับฉู่หลิวเยว่พวกนั้นอาจจะมีความจริงแค่ไม่กี่ประโยคก็ได้
คนคนนี้…ไม่รู้ว่ายังเหลือไพ่อีกกี่ใบ!
“ซือหยาง มัวบื้ออะไรอยู่ ยังไม่รีบแนะนำให้พวกเราอีก”
เด็กหนุ่มข้างๆ กระทุ้งศอกใส่ซือหยางแล้วส่งสายตาให้เขา
“ในวันนั้นมีเพียงเจ้าและซิถิงเท่านั้นที่เห็นนาง เราอยู่ข้างหลังมาไม่ทัน!”
“มาๆ ข้าจะแนะนำให้ทีละคน นี่คือโอวเจิ้น!”
ซือหยางตอบสนองทันทีและแนะนำให้พวกเขารู้จักฉู่หลิวเยว่ทีละคน
เมื่อทางด้านนี้คุยกันเรียบร้อยแล้ว ก็มีพวกหนุ่มสาวอีกหลายๆ คนเดินเข้ามาจากด้านนอกประตู
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าซือหยางเป็นคนพาพวกเขามา
ไม่สิ ย่อมบอกว่าซือถิงเชิญมาต่างหาก
แม้ว่าคนเหล่านี้ล้วนเป็นปรมาจารย์ชั้นเรียนเดียวกันในสำนักเทียนลู่ แต่ฐานะของพวกเขาต่างก็ไม่ธรรมดา
ส่วนใหญ่เป็นทายาทของตระกูลขุนนางและบางคนแม้จะมาจากนอกเมืองหลวง แต่ก็เป็นคนที่มีภูมิหลังค่อนข้างดีมากเหมือนกัน
ถึงอย่างไรการที่จะเป็นปรมาจารย์ได้นั่นจำเป็นต้องมีทรัพยากรสนับสนุนอย่างมหาศาล คนธรรมดาทั่วไปไม่สามารถเลี้ยงบุตรให้เป็นปรมาจารย์ได้ง่ายๆ
พวกเขามาที่นี่ได้ อย่างน้อยก็หมายถึงมาเป็นตัวแทนของตระกูล
แน่นอนว่าฉู่หลิวเยว่ไม่ได้ไร้เดียงสานัก โดยคิดว่ามันเป็นความจริงเพียงเพราะสถานะของเขาในฐานะปรมาจารย์ จึงสามารถเข้าร่วมกับพวกเขาได้
คนส่วนใหญ่มาเพราะเห็นแก่หน้าซือถิงและซือหยาง
โดยเฉพาะซือถิง
ท่าทีของเขาคือท่าทีของตระกูลซืออย่างไม่ต้องสงสัย
ซือหยางเป็นคนที่ทำอะไรวู่วามและชอบเรื่องรื่นเริงมากกว่า
แม้ว่าฉู่หลิวเยว่จะไม่รู้จักคนเหล่านี้มาก่อน แต่เมื่อมีซือหยางอยู่จึงทำให้บรรยากาศครึกครื้น และทุกคนก็คุ้นเคยกันอย่างรวดเร็ว
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกประหลาดใจกับการมาของคนเหล่านี้ โดยเฉพาะคนพวกนี้ต่างตกใจมากที่เหยียนเก๋อก็มาที่นี่ด้วย
ตอนแรกที่พวกเขามาเพราะเห็นแก่หน้าซือถิงและตระกูลซือ ใครจะไปรู้ว่าจะมีคนที่มาก่อนแล้วยังเป็นรองเถ้าแก่ของเจินเป่าเก๋ออีกด้วย
มิน่าล่ะฉู่หลิวเยว่ถึงได้มั่นใจตัดกับตระกูลฉู่ได้อย่างเด็ดขาด
“ห้องภัตตาคารบนชั้นสองได้จัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว เรียนเชิญทุกท่าน…”
ซูหุยยิ้มให้อย่างเป็นกันเอง
ซือหยางและคนอื่นๆ ประหลาดใจเล็กน้อย
“ห้องภัตตาคารชั้นสอง ปกติแล้วไม่เปิดให้บริการมิใช่หรือ”
คนทั่วไปที่มาโรงเตี๊ยมเฟิ่งหวงมักจะอยู่ได้แค่ชั้นล่างเท่านั้น ลือกันว่าห้องภัตตาคารบนชั้นสองราคาสูงเสียดฟ้า หรือต่อให้มีเงินก็จองยากมาก
“ปกติมีกฎเช่นนั้น แต่วันนี้คุณหนูหลิวเยว่เหมาทั้งร้าน ทุกอย่างจึงไม่ใช่ปัญหา ทุกท่านต่างเป็นสหายร่วมชั้นของคุณหนูหลิวเยว่ ก็ควรจะได้ขึ้นไปนั่ง”
ซูหุยโค้งตัวเล็กน้อยพร้อมกับเอ่ยยิ้ม
ซือหยางและพรรคพวกมองหน้ากันด้วยความตกตะลึงอีกครั้ง
ห้องภัตตาคารส่วนตัวบนชั้นสองของโรงเตี๊ยมเฟิ่งหวง!
แถมยังมีเถ้าแก่มาเรียกเชิญด้วยตัวเองอีกด้วย
นี่มันคือบริการแบบไหนกันแน่
ถึงอย่างไรหนุ่มสาวพวกนี้ก็อายุยังน้อย ยังไม่เคยเผชิญกับสถานการณ์มากเท่าไหร่ ตอนนี้พวกเขาจึงเดินตามซูหุยขึ้นไปด้วยความตื่นเต้น
ในไม่ช้า จึงเหลือเพียงซือถิงที่อยู่ชั้นล่าง
เมื่อเห็นว่าคนอื่นออกไปแล้ว มันคงไม่เหมาะสมสำหรับเขาที่จะอยู่ที่นี่อีกต่อไป ซือถิงเดินจึงตามเขาพวกขึ้นไปชั้นบน
“ซือถิง วันนี้ข้าขอบใจเจ้ามาก”
ฉู่หลิวเยว่มองหน้าเขาอย่างจริงจังและเอ่ยขึ้น
ถ้าซือถิงไม่ได้แอบจัดการ วันนี้ก็คงไม่มีใครมาร่วมงานเลี้ยง
นางไม่ได้เป็นห่วงเรื่องนี้ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายหวังดีนางจึงต้องขอบคุณ
ซือถิงเหลือบมองนางอย่างรวดเร็ว
ดวงตาดำขลับที่สดใสและเจิดจ้านั้น ดูเหมือนจะมีแสงเป็นประกาย
ดูเหมือนนางจะมองทะลุทั้งหมดแล้ว
หัวใจของซือถิงเต้นเร็วอีกครั้ง เขาหันหลังกลับโดยไม่รู้ตัวและรีบเดินไปที่ชั้นสอง
“เรื่องเล็กน้อยเอง ไม่ต้องขอบใจหรอก”
ฉู่หลิวเยว่มองดูแผ่นหลังของเขาและกะพริบตาอย่างสงสัยเล็กน้อย จากนั้นก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ
ไม่นึกเลยจริงๆ ว่าคุณชายใหญ่ตระกูลซือที่ดูเยือกเย็นสุขุมจะเขินอายแบบนี้
เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะที่อยู่เบื้องหลังเขา ซือถิงหยุดฝีเท้าและรู้สึกว่าใบหน้าของเขากำลังไหม้
ตอนนี้เขารู้สึกตัวเองแล้วว่าโดนคนอื่นรู้ทันทุกอย่างหมดแล้ว
ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกวูบโหวงในใจแปลกๆ
“คุณหนูหลิวเยว่ ท่านพอใจการจัดงานครั้งนี้หรือไม่”
จู่ๆ เหยียนเก๋อก็เอ่ยถาม
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มแล้วลูบหน้าผากอย่างช่วยไม่ได้
“คุณชายรองเหยียน อันที่จริงของขวัญขอบคุณของท่านราคาแพงเกินไป”
แม้ว่าจะมีสัตว์อสูรระดับสูงอยู่ในพื้นที่ล่าสัตว์ นั่นก็ไม่เพียงพอที่จะครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการเหมาโรงเตี๊ยมเฟิ่งหวง
“ท่านจองสถานที่นี้สามวัน ซึ่งถือว่าแพงเกินไป คิดไม่ถึงว่าท่านยังขอให้ซูหุยเปิดห้องภัตตาคารส่วนตัวบนชั้นสองอีก…ต่อให้หลิวเยว่จะขายพื้นที่ล่าสัตว์ให้ท่านอีกหลายผืนก็เกรงว่าไม่พอหรอก ท่านทำเยี่ยงนี้ นายใหญ่เจินเป่าเก๋อของท่านไม่ว่ากระไรหรือเจ้าคะ”
ทันใดนั้นหัวใจของเหยียนเก๋อก็หล่นวูบ
ฮูหยินนายท่านของข้าเอ๋ย ทั้งเจินเป่าเก๋อเป็นของท่านแล้ว ท่านยังจะพูดเช่นนี้อีกหรือ!
สงสัยนายท่านคงจะรุกคืบช้ามาก นายหญิงตรงหน้าถึงได้มีเรื่องมากมายที่ยังไม่รู้
เขากลอกตาแล้วยิ้มให้
“ท่านก็พูดเกินไป! ที่จริงแล้วข้าได้รับคำสั่งจากนายท่านให้เตรียมการทั้งหมดนี้”
นายท่านงั้นหรือ
ฉู่หลิวเยว่อึ้ง
นางเพียงต้องการหยั่งเชิงถาม แต่คิดไม่ถึงว่าเหยียนเก๋อจะยอมรับมันตามตรง!
ทว่า…นางไม่รู้จักนายท่านผู้ลึกลับคนนั้นเลยนี่นา!
ทำไมอีกฝ่ายถึงได้ช่วยนางมากมายขนาดนี้
นางไม่เชื่อว่าเป็นเพราะพื้นที่ล่าสัตว์อะไรนั่นหรอกนะ
“ข้ากับนายใหญ่เจินเป่าเก๋อมิเคยรู้จักกัน เหตุใดเขาจึง…”
“โอวเซี่ยงเทียนประมุขตระกูลโอว ซุนซย่าประมุขตระกูลซุน เจียงหยวนเสนาบดีเจิ้นเป่ย มั่วชิงผู้ว่าการเซียงหนาน…”
ในขณะนั้นเองเสียงก็ประกาศดังขึ้นอีกครั้ง!
เมื่อได้ยินชื่อนี้ ทุกคนก็ตกตะลึงและมองไปทางประตู
เหยียนเก๋อเหลือบมองและเห็นซือถิงที่กำลังขึ้นชั้นบนก็หยุดฝีเท้าลง
เขาหัวเราะและพูดเสียงดังก้อง
“นายใหญ่มีคำสั่งให้งานเลี้ยงนี้ของท่านครึกครื้น!”