ยอดหญิงแห่งวังหลัง - ตอนที่ 73.1
ตอนที่ 73-1พิณ
แต่ภายใต้ชั้นของสีแดงที่ถูกแต่งแต้มจากเครื่องสําอาง มันกลับดูเป็นสีขาวอมเทาเล็กน้อยพร้อมกับผิวหนังที่หย่อนคล้อย และมีริ้วรอยอย่างเห็นได้ชัดที่บริเวณหางตาของนาง
แน่นอนว่าที่สิ่งแย่ที่สุดคือ ดวงตาคู่นั้นของนาง คล้ำและลึกราวกับว่าเป็นรูสองรูที่แกะสลักด้วยไม้ หากมิใช่เพราะรูม่านตาของนางที่สามารถขยับไปมาได้ นางคงจะดูคล้ายกับหุ่นไม้ที่ไร้ชีวิตชีวา
แม้ว่านางจะมีเครื่องประดับและหยกมากมายบนศีรษะที่บ่งบอกถึงความสูงศักดิ์และความสง่างาม
องค์หญิงหย่งหนิงถูกเจ้าหน้าที่หญิงสาวที่มีรูปร่างสูงโปร่งอารักขาเข้าไปอย่างที่ประทับของพระนาง
จากนั้นองค์ชายทุกพระองค์ได้ยืนขึ้นและแสดงความเคารพต่อพระนาง
องค์หญิงผู้นี้เป็นพระธิดาที่องค์จักรพรรดิทรงรักและเมตตาเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังเป็นเสมือนไข่ มุกอันเป็นที่รักของพระมารดามาโดยตลอด
สําหรับพระนางแล้ว ทั้งองค์จักรพรรดิและจักรพรรดินีต่างก็มีความรักต่อนางมากเป็นพิเศษจึงส่งผลให้มีผู้ใดกล้าที่จะดูแคลนพระนาง
หลี่เว่ยหยางจ้องมองดูองค์หญิงยิ้มอย่างอ่อนโยนและพยักหน้าให้ทุกคนที่มาร่วมงาน
เว่ยหยางรู้สึกเห็นใจพระนางเป็นอย่างมาก อันที่จริงแล้วงานเลี้ยงนี้นางมิต้องการจัดงานนี้ขึ้นมาตั้งแต่แรก แต่เป็นความคิดของจักรพรรดิและจักรพรรดินี เพราะทั้งสองพระองค์ต้องการอ้างชื่อพระธิดาของตนเอง
ดังนั้นทั้งสองพระองค์จึงรู้สึกผิดในใจเป็นอย่างมาก จึงมีการทดแทนให้กับพระนางด้วยวิธีอื่น
ในทุก ๆ สามเดือนจะมีการจัดงานเลี้ยงขึ้นเพื่อให้ผู้คนทราบถึงความเมตตาและแสดงความเคารพต่อองค์หญิงหย่งหนึ่ง แต่ด้วยเหตุนี้มันจึงเหมือนเป็นการทําร้ายหัวใจขององค์หญิงอีกครั้ง
งานเลี้ยงยังคงดําเนินไปตามปกติ และในช่วงกลางของงานเลี้ยงองค์หญิงหย่งหนิงกล่าวว่า
“งานเลี้ยงในวันนี้ ข้าต้องขอขอบคุณทุกท่านที่มาร่วมงาน พระบิดาทรงมอบของขวัญให้ข้าเป็นนักดนตรีที่มีความเชี่ยวชาญด้านการดีดพิณ เช่นนั้นขอเชิญทุกคนร่วมรับฟัง
ในขณะนี้ทุกคนสังเกตเห็นหญิงสาวผู้หนึ่งในชุดสีชมพูที่อ่อนหวานและมีผิวสีขาวราวกับหิมะเดินย่างกรายเข้ามาอย่างเชื่องช้า
นางโค้งคํานับด้วยความเคารพต่อหน้าเจ้าหน้าที่และขุนนางทั้งหมดจากนั้นจึงเริ่มเล่นพิณของนาง
เสียงจากพิณนั้นมีความไพเราะเพราะพริ้งเป็นอย่างมาก เหมือนมังกรที่บินวน และค่อยๆไหลและม้วนออก
ราวกับว่ามันกลายเป็นโน้ตดนตรีที่กําลังเต้นรําอย่างพริ้วไหวเป็นวงกลมแล้วพุ่งเข้าใส่ร่างของทุกคนทําให้ทุกคนรู้สึกเคลิบเคลิ้มราวกับว่าตนเองนั้นฝันไป
หลังจากเสียงดนตรีจบลงมินาน ทุกคนก็ตื่นจากภวังค์ในที่สุด ซึ่งทุกคนมีความรู้สึกเหมือนกับว่าพวกเขากําลังตื่นจากการหลับไหล
“องค์หญิง นักดนตรีผู้นี้มีทักษะการเล่นพิณที่ยอดเยี่ยมมากจริง ๆ !”
ทัวเป่าเจิ้นปรบมือขณะที่เขายกย่อง
เจ้าหญิงหย่งหนิงยิ้ม แต่รอยยิ้มของนางยังคงแฝงไปด้วยความเฉยเมย
องค์ชายทัวเป่าเจิ้นผู้อ่อนโยนและรักในศิลปะ ซึ่งเกิดมาพร้อมกับใบหน้าที่แกะสลักจากหยกทําให้เขามีความหล่อเหลามากเป็นพิเศษ
“เหตุใดมิให้นางลองเล่นเพลงอื่นให้ฟังบ้าง!”
เจ้าหญิงหย่งหนิงพยักหน้าเล็กน้อยจากนั้นนักดนตรีได้วางนิ้วของนางไปบนพิณ และในไม่ช้าเสียงที่ไพเราะก็หลั่งไหลออกมาจากพิณนั้น
คราวนี้เสียงของฉันมีความไพเราะอ่อนโยนและเปลี่ยนท่วงทํานองไปจากเพลงเมื่อครู่ ทําให้ทุกคนไม่สามารถระงับอารมณ์ของตนเองเอาไว้ได้
ขณะที่พวกเขากําลังล่องลอยอยู่กลางอากาศและดื่มกับเสียงเพลงที่ก้องกังวานเข้ามาในหูของแต่ละคนทําให้พวกเขาสัมผัสได้ถึงความลึกซึ้งจนเข้าไปถึงหัวใจ
หลี่เว่ยหยางสังเกตเห็นตั้งแต่เริ่มต้นแล้วว่า ใบหน้าขององค์หญิงหย่งหนิงนั้นช่างเรียบเฉยและไร้ความรู้สึก
นอกจากนี้ไม่มีร่องรอยของความสบายใจหรือความสุขในการแสดงออกของนางเลย
หลังจากจบเพลงแล้ว ผู้คนทั้งหมดก็ปรบมือให้ด้วยความชื่นชนเป็นอย่างมาก
ทัวเป่ารุ่ยโค้งงอริมฝีปากของตนเองด้วยประกายความคิดบางอย่างและกล่าวว่า
“วันนี้นับว่าเป็นโอกาสที่เหมาะสมเพราะบรรดาคุณหนูที่อยู่ที่นี่ล้วนแล้วแต่มีความชํานาญด้านเครื่องดนตรี แล้วเหตุใดเรามิขอให้พวกนางเล่นเพลงหนึ่งหรือสองเพลงให้ทุกคนฟังบ้างเล่า”
การแสดงออกขององค์หญิงหย่งหนึ่งหม่นหมองขณะที่กล่าวว่า
“อันที่จริงแล้ว ข้ามิทราบว่าบรรดาคุณหนูเห็นด้วยกับเรื่องนี้หรือไม่?”
เหล่าหญิงสาวผู้สูงศักดิ์ที่นั่งอยู่ในบริเวณงานทั้งหมดมองหน้ากันและทุกคนต่างก็คิดว่านี่เป็นโอกาสที่ดี
สําหรับงานเลี้ยงทั่วไปนั้น หากบุตรสาวจากตระกูลที่มีชื่อเสียงแสดงตัวตนมากเกินไปมันคงจะเป็นการดีอย่างแน่นอน
แต่งานเลี้ยงวันนี้เป็นงานเลี้ยงจับคู่ซึ่งมิต้องกล่าวถึงบุตรชายของตระกูลใหญ่หรือชนชั้นสูง เพราะแม้แต่บรรดาองค์ชายก็ยังมาร่วมงานในวันนี้ด้วยเช่นกัน
หากพวกนางสามารถจับความสนใจของผู้ใดสักคนที่มีฐานะสูงส่งในที่นี้ได้ พวกนางจะสามารถเพิ่มสถานะของตนเองให้สูงส่งขึ้นได้
ซึ่งโอกาสที่หาได้ยากเช่นนี้ หากพวกนางมิรีบไขว่คว้าเอาไว้ มิรู้ว่าจะได้แสดงความสามารถอีกครั้งเมื่อใดกัน!
มีเพียงหลี่เว่ยหยางเท่านั้นที่แสดงสีหน้าเรียบเฉยและมีความหงุดหงิดเล็กน้อยขณะที่จ้องมองไปยังทัวเป่ารุ่ย ซึ่งบุรุษผู้นี้เผยรอยยิ้มที่แสดงถึงความมุ่งร้ายอย่างเห็นได้ชัด
สิ่งนี้เป็นเพราะเขารู้ดีว่า หลี่จางเล่อมีความรู้ด้านวรรณคดีและกวีนิพนธ์
และแน่นอนว่านางจะต้องแสดงความสามารถพิเศษ เพื่อกอบกู้ชื่อเสียงของตนเองกลับคืนมาต่อหน้าองค์หญิง
สําหรับตัวเว่ยหยางเองที่เติบโตในชนบท เมื่อเทียบกับคุณหนูท่านอื่น ๆ แล้ว ความสามารถของนางนั้นด้อยกว่ามาก และมิสามารถแสดงให้ผู้อื่นเห็นได้ มิเช่นนั้นนางคงจะต้องถูกหัวเราะเยาะ
เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่า ทักษะการเล่นพิณให้ไพเราะนั้นต้องใช้เวลาเรียนรู้และฝึกฝนหลายปี
เว่ยหยางเองอยู่ในเมืองหลวงเพียงมีกี่เดือนเท่านั้น แล้วนางจะสามารถก้าวกระโดดไปเหนือบรรดาคุณหนูเหล่านั้นได้อย่างไร?
คํากล่าวเหล่านี้มีผิดเลยแม้แต่น้อยเพราะไม่ว่าจะเป็นชาติก่อนหรือชีวิตนี้หลี่เว่ยหยางก็มิเคยมีทักษะในด้านนี้มาก่อนเลย
บางทีอาจเป็นเพราะเหตุนี้ นางจึงถูกปฏิเสธโดยทัวเป่าเจิ้น ขณะนี้เว่ยหยางก้มศีรษะลงและยิ้มเล็กน้อย
และเมื่อเห็นภาพนี้ ริมฝีปากของหัวเป่าเจิ้นก็โค้งงอเป็นรอยยิ้มที่น่าสงสัย
เขารู้ดีว่า ครั้งนี้ทัวเป่ารุ่ยต้องการให้เซียนจูที่ได้รับการแต่งตั้งใหม่เกิดความรู้สึกอับอายขายหน้าต่อหน้าฝูงชน
แต่เขามิทราบว่า หญิงสาวผู้นี้จะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?
มิไกลจากจุดนั้น หลีมินเต๋อเฝ้าดูเหตุการณ์และขมวดคิ้วแน่น
เห็นได้ชัดว่า ผู้คนเหล่านี้มิมีผู้ใดยั่วยุ แต่พวกเขาก็ยังคงแสวงหาปัญหาอยู่ดี
องค์ชายห้าทัวเป่ารุ่ยจ้องมองไปที่หลี่จางเล่อและยิ้มอย่างอ่อนโยนให้กับนาง ขณะที่หลี่จางเล่อตอบสนองกลับมาด้วยรอยยิ้มเล็กน้อยที่แสดงถึงความซาบซึ้งใจ
และทัวเป่ารุ่ยรู้สึกได้ทันทีว่า ความชาญฉลาดของตนเองนั้น มิมีผู้ใดสามารถเทียบได้
แน่นอนว่าหลี่จางเล่อรู้สึกยินดีและตื่นเต้นเป็นอย่างมากเช่นกัน