ยอดหญิงแห่งวังหลัง - ตอนที่ 92.2
ตอนที่ 92-2 ผู้มีวาสนา
องค์หญิงเก้าคิดไม่ถึงว่าหลี่เว่ยหยางจะกล่าวเช่นนี้ นางจึงผงะไปชั่วขณะและด้วยเหตุผลบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ หลี่หมินเต๋อสามารถสัมผัสได้ถึงความขุ่นข้องและความโกรธเคืองที่รุนแรงในหัวใจขององค์หญิง เด็กชายจึงเริ่มขยับเท้าเข้ามาหาพี่สาวพร้อมกับกล่าวว่า
“พี่สาม…เราไปกันเถิด!”
เมื่อองค์หญิงเก้ามองเห็นหลี่หมินเต็อก็มีอาการตกตะลึงในทันที จากนั้นนางก็ได้ยินเสียงหัวใจของตนเอง เต้นรัวและรุนแรงอย่างชัดเจนราวกับว่ามีค้อนตรงเข้ามาทุบที่หัวใจของนาง
ทําให้เด็กหญิงในวัยเริ่มแตกเนื้อสาวยกมือขึ้นมากดที่บริเวณหน้าอกโดยไม่รู้ตัว ซึ่งขณะนี้ได้เกิดความรู้สึกสับสนในใจ และนางไม่เคยมีความรู้สึกเช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อน
แม่ในชั่วอึดใจแรกนางอาจเกิดความรู้สึกสูญเสียความเป็นตัวเอง แต่นางก็พยายามสูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อปัดเป่าความเขินอายที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของตนเองและกล่าวว่า
“ท่านก็อยู่ที่นี่ด้วย..”
ครั้งก่อนองค์หญิงเก้าปลอมตัวเป็นองค์ชายแปด แต่คราวนี้นางเป็นสาวน้อยที่แสนจะน่ารัก ทว่าหลี่หมินเตอกลับไม่ให้ความสนใจนางเลยแม้แต่น้อยและเขากล่าวเพียง
“ขอโทษ..”
องค์หญิงเก้าที่ไม่เคยได้รับการปฏิบัติเช่นนี้จากผู้ใดมาก่อนจึงระเบิดเสียงใส่เขาในทันที
“เจ้ากล่าวกับข้าเช่นนี้ได้อย่างไร? เจ้าจ่าข้ามิได้หรือ?”
ตอนนี้หลี่หมิ่นเต่อจ้องมองหน้าสาวน้อยด้วยสายตาที่ว่างเปล่า โดยก่อนหน้านี้เขาได้ยินผู้คนเรียกนางว่า องค์หญิง หลี่หมินเต๋อจึงพยายามค้นหาข้อมูลในความทรงจําของตนเอง และจําได้ว่าพระธิดาของจักรพรรดิ องค์ปัจจุบันส่วนใหญ่อภิเษกสมรสแล้ว
และมีเพียงองค์เดียวที่มีอายุเท่ากับเขาซึ่งเป็นพระธิดาองค์ที่เก้า ซึ่งมีพระนามว่าเซียงหลาน อีกทั้งเขาก็ไม่เคยรู้จักนาง แล้วเหตุใดนางจึงกล่าวราวกับว่ารู้จักกับตนเองเป็นอย่างดี
องค์หญิงเก้าอยู่ต่อหน้าเขาด้วยท่าทางแง่งอนและอดทนรออย่างใจจดใจจ่อ เนื่องจากต้องการให้เขาจํานางได้ อีกทั้งภายในใจของนางนั้นยังมีความคิดว่าคงไม่มีผู้ใดกล่าปฏิบัติต่อนางด้วยวิธีนี้อย่างแน่นอน
เมื่อเห็นเช่นนี้หลี่เว่ยหยางก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ ขณะที่คิดว่าองค์หญิงเก้าผู้นี้ช่างน่าสงสารเสียจริง ๆ! และอดไม่ได้ที่จะนึกถึงเรื่องราวขององค์หญิงเก้าในชาติที่แล้ว ทําให้สามารถจําได้ว่าเด็กสาวผู้นี้เป็นผู้ที่มีนิสัยเอาแต่ใจ และดื้อรั้นแต่นางเป็นคนที่มีจิตใจดี
ขณะนี้ร่างของหัวเป่าหยุที่ยืนอยู่ภายใต้แสงจันทร์ท่ามกลางอากาศที่เย็นยะเยือก แต่เขากลับสามารถทําให้ผู้คนรอบข้างเกิดความรู้สึกอบอุ่นในหัวใจขึ้นมาได้ และเพื่อเป็นการช่วยให้น้องสาวอันเป็นที่รักผ่านพ้นความอับอายครั้งนี้เขาจึงกล่าวว่า
“เราได้พบกันนับว่าเป็นวาสนา เช่นนั้นขอเชิญร่วมสนทนากันที่ร้านอาหารไคหมูสักครู่”
ทุกคนต่างก็ทราบว่าภัตตาคารไคหยูเป็นร้านอาหารที่ใหญ่โตและมีชื่อเสียงมากที่สุดในเมืองหลวง เนื่องจากมีจุดชมวิวที่งดงามเป็นอย่างมากโดยหันไปทางทิศทางของดวงจันทร์ซึ่งหลายคนแม้จะมีเงินทองมากมาย แต่ก็ยังไม่มีโอกาสได้ไปเยี่ยมชม
องค์หญิงเก้าเห็นว่าหลี่หมินเต่อเชื่อฟังพี่สามของเขามาก นางจึงรีบคว้าแขนของหลี่เว่ยหยางโดยลืมความขุ่นเคืองใจเมื่อครู่ไปจนหมดสิ้น
“เราไปด้วยกันนะ! ไปด้วยกัน..!”
องค์หญิงเก้ากล่าวด้วยดวงตาเป็นประกายและมีท่าทีร่าเริงอย่างชัดเจน จนทําให้เกิดเสียงสร้อยข้อมือดังขึ้นอย่างน่ารื่นรมย์เมื่อนางขยับข้อมือไปมา
หลี่เว่ยหยางรู้สึกชื่นชอบองค์หญิงเก้าอยู่แล้ว ซึ่งบางทีอาจจะเกิดจากในชาติที่แล้วองค์หญิงน้อยผู้นี้ปฏิบัติต่อนางเป็นอย่างดี อีกทั้งยังทราบว่าจุดจบของอีกฝ่ายเป็นอย่างไร ดังนั้นหญิงสาวจึงไม่ต้องการปฏิเสธคําขอร้องของเด็กคนนี้
“ได้! เราไปด้วยกัน!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นองค์หญิงเก้าก็กระโดดขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มด้วยความดีใจ ทําให้พบว่าอันที่จริงแล้ว ในหัวใจ อันบริสุทธิ์ของเด็กสาวตัวน้อยนั้นไม่สามารถเก็บความทุกข์มากมายเอาไว้ได้โดยตอนนี้นางลืมเรื่องราวขัดใจ เมื่อครู่ไปหมดแล้ว
องค์หญิงเซียงหลานดึงตัวของหลี่เว่ยหยางไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วโดยที่หลี่หมิ่นเต่อกับองค์ชายหัวเป่าหยู เดินตามหลังไปอย่างไม่เร่งรีบ
“คุณชายสามหัวเป่าหยูเอ่ยขึ้น
หลี่หมิ่นเต่อเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายแต่องค์ชายเจ็ดกลับกล่าวว่า
“เอ่อ..มิมีอันใด.. “
หลี่หมินเมื่อไม่ได้เอ่ยถามเพิ่มเติมและรีบเดินตามพี่สาวของเขาไปขณะที่หัวเป่าหยูได้หันไปสอบถามทหารองครักษ์ที่อยู่ด้านหลังอย่างแผ่วเบาว่า
“มีอะไรน่าสงสัยหรือไม่?”
หัวหน้าองครักษ์กระซิบว่า
“ทูลองค์ชาย…สาวใช้ของเซียนจูมีวรยุทธที่สูงส่งมาก แต่น่าเสียดายที่วรยุทธของข้าน้อยต้องต่ําเกินไปจึงมิสามารถสืบหาสถานที่หลบซ่อนตัวของผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลังได้”
ทั่วเป่าหยูมีความมั่นใจในการคาดเดาของตนเอง แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วผึ้งอย่างเคร่งเครียด เนื่องจากเขาเคยต่อสู้กับจ้าวหยูแล้วและพบว่านางมีวรยุทธที่เยี่ยมยอดอย่างแน่นอน
อันที่จริงที่หลี่เว่ยหยางมีผู้มีทักษะด้านวรยุทธสองคนคอยคุ้มครองก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดปกติ ทว่ายังมีผู้คนที่หลบซ่อนตัวอยู่ในความมืด ดังนั้นจึงเกิดความสงสัยว่าคนพวกนี้มาเพื่อคุ้มครองผู้ใดกันแน่?!
หลังจากที่ยังหาคําตอบไม่ได้ ครั้งนี้เมื่อองค์ชายเจ็ดได้พบกับหลี่หมิ่นเต่อทําให้เขามีความรู้สึกว่าเด็กชายผู้นี้ช่างมีความสุขุมและสง่างามจนน่าประหลาดใจ ทําให้เกิดความคิดว่าผู้คนเหล่านั้นอาจจะมีความเกี่ยวข้องกับหลี่หมินเต๋อ
เมื่อไปถึงภัตตาคารไคหยูก็พบว่าสถานที่แห่งนี้มีความงดงามสมคําร่ําลือ โดยอาคารนั้นถูกสร้างให้หันหน้าไปทางแม่น้ําและสามารถมองเห็นดวงจันทร์ได้อย่างชัดเจน อีกทั้งการตกแต่งภายในยังมีความหรูหราและงดงามตระการตาเป็นอย่างมาก ทําให้ชื่อเสียงของร้านอาหารไคหยูโด่งดังไปทั่วเมืองหลวง
หลี่เว่ยหยางมองออกไปนอกหน้าต่างทําให้เห็นท้องฟ้ากับแม่น้ําที่มีความมืดมิดจนกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน และท่ามกลางความมืดมิดที่กว้างใหญ่บนโลกใบนี้มีเพียงอาคารของภัตตาคารไคหยูเท่านั้นที่ส่องแสงสว่างไสวราวกับเวลากลางวัน
แสงไฟส่องประกายระยิบระยับบนคลื่นน้ําที่ซัดเป็นระลอกราวกับว่าขึ้นน้ําได้ทะลักออกมาเป็นชั้นทองคําจํานวนนับไม่ถ้วน ซึ่งมันเป็นภาพที่งดงามตระการตายิ่งนัก ทําให้ไม่แปลกใจเลยที่ผู้คนจํานวนมากมารวมตัวกันณ.สถานที่แห่งนี้
ภายในภัตตาคารไคหยู ผู้ดูแลได้จัดเตรียมห้องส่วนตัวเอาไว้เรียบร้อยแล้ว หลังจากเดินเข้าไปด้านใน หลี่เว่ยหยางกวาดสายตามองดูภาพวาดที่แขวนอยู่บนผนังห้องและอดที่จะยิ้มไม่ได้ก่อนที่จะกล่าวว่า
“สถานที่แห่งนี้คงเป็นของผู้มีอํานาจวาสนามาก จึงมีภาพวาดที่ล้ําค่าเหล่านี้เอาไว้ในครอบครอง”
องค์หญิงเก่าหัวเราะชอบใจก่อนที่จะเอ่ยว่า
“เรื่องนี้ท่านคงต้องถามพี่เจ็ดของข้า”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เว่ยหยางก็อดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วขึ้นพร้อมกับเหลือบมองไปยังทั่วเป่าหยู
“เดิมที่สถานที่แห่งนี้เป็นทรัพย์สินของท่านลุงข้า เมื่อท่านชราภาพแล้วจึงไม่ต้องการดําเนินการอีกต่อไป ดังนั้นท่านจึงมอบมันให้กับข้า”
สิ่งนี้คือข้อได้เปรียบที่ยิ่งใหญ่ของครอบครัวฝั่งมารดาของหัวเป่าหยู เมื่อทราบความจริงแล้ว หลี่เว่ยหยางจึง มีรอยยิ้มจาง ๆ ปรากฏให้เห็นบนใบหน้า เพราะนางเข้าใจว่าดูเหมือนภัตตาคารไคหยูจะไม่ได้เป็นเพียงร้าน อาหารแต่น่าจะเป็นสถานที่สําหรับสืบหาข่าวสาร
แต่น่าเสียดายแม้ทั่วเป่าหยูจะเป็นที่โปรดปรานขององค์จักรพรรดิมากสักเพียงใด หรือทางครอบครัวของมารดาจะมีข้อได้เปรียบ ทว่าท้ายที่สุดเขาก็ยังคงแพ้ทั่วเป่าเฉินอยู่ดี…มันช่างน่าสมเพชเสียเหลือเกิน
เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้หลี่เว่ยหยางทราบดีว่า บุรุษผู้นี้รอคอยเรื่องนี้มานานและทุ่มเทมากขนาดไหน แต่หากจะให้กล่าวถึงข้อผิดพลาดก็อาจจะเป็นเพราะหัวเป่าหยูนั้นที่มีความเหี้ยมโหดไม่มากพอ…