ยอดหญิงแห่งวังหลัง - ตอนที่ 94.2 กตัญญ
หัวเป่าหยุเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัยพลางเอ่ยถามว่า
“เซียนจ ทราบได้อย่างไรว่าข้าอยู่ในห้องนี้?”
“โดยธรรมชาติแล้วหน้าที่ติดตามขององค์หญิงมักจะเป็นความรับผิดชอบของทหารองครักษ์ ยิ่งไปกว่านั้นในเมื่อท่านทราบว่าองค์ชายสามมีเจตนาที่ไม่ดีท่านคงไม่ปล่อยให้ข้าอยู่กับเขาตามล่าพังแน่นอน” หลี่เว่ยหยางตอบอย่างเย็นชา
“เซียนช่างมีไหวพริบ!”
“มันเป็นหลักเหตุผลที่ธรรมดามาก ข้าคิดว่าหลังจากเหตุการณ์ในครั้งที่แล้ว แม้ว่าเราจะไม่สามารถเชื่อใจซึ่งกันและกันได้อย่างเต็มที่ อย่างน้อยเราก็ยังคงเป็นพันธมิตรกัน แต่ตอนนี้ท่านกลับแอบทําบางอย่างที่มีเจตนาแอบแฝง”
“ข้ามิได้มีเจตนาเช่นนั้น”
ขณะนี้หลี่เว่ยหยางพยายามระงับความโกรธเคืองด้วยเรื่องที่หัวเป่าหยุไม่ไว้ใจนาง ซึ่งมันไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย เนื่องจากในการต่อสู้ระหว่างองค์ชายในครั้งนี้มันคงเป็นไปไม่ได้ที่หลี่เว่ยหยางจะให้การสนับสนุนหัวเป่าเจิ้น
และที่ผ่านมาการกระทําทั้งหมดของนางล้วนแล้วแต่ทําไปเพื่อต้องการได้รับความไว้วางใจจากหัวเป่าหยุ
จากประสบการณ์ในชาติที่แล้ว ในฐานะคู่ต่อสู้ที่เก่งกาจหลี่เว่ยหยางทราบดีว่าหัวเป่าหยูไม่ใช่คนที่สามารถหลอกล่อได้ง่ายดาย ดังนั้นนางจึงคลายความไม่พอใจของตนเองลง และกล่าวด้วยน้ําเสียงทุ่มต่าว่า
“ข้ารู้ว่ามันไม่ง่ายเลยที่จะได้รับความไว้วางใจ ดังนั้นข้าจึงเตรียมของขวัญมากมาย เพื่อพิสูจน์ความจริงใจที่มีต่อพระองค์”
“ตัวอย่างเช่น?” หัวเป่าหยุเกิดความรู้สึกสนใจสิ่งที่หญิงสาวกล่าว
“โดยผิวเผินองค์ชายสามดูเหมือนจะมีความรักต่อพี่น้องและจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิแต่ในความเป็นจริงเขามีหัวใจที่ทะเยอทะยาน
ตอนนี้เขาไม่เพียงมีความสนิทสนมกับเหล่าขุนนางในราชสํานักเท่านั้น แต่ยังมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับคนเลวที่เป็นคนชั้นสูงจานวนมาก
ซึ่งคนเหล่านี้รวมถึงท่านแม่ทัพทั้งสี่คือหลงจึง มู่หยาง จ้าวเฮงและหลหลซึ่งมีความสามารถในการทําศึกสงคราม โดยเฉพาะแม่ทัพหลงจึงผู้ซึ่งได้รับฉายาว่า “เทพมังกรแห่งสวรรค์
เมื่อสามสิบปีก่อนแม่ทัพท่านนี้เคยเป็นแม่ทัพใหญ่นํากองทัพเข้าทําศึกสงครามในสนามรบทางชายแดนใต้และเขาสามารถเอาชนะข้าศึกได้ แต่น่าเสียดายที่เขาถูกไล่ออกเมื่อแปดปีก่อนเนื่องจากมีอาการมึนเมาสุราขณะปฏิบัติหน้าที่
หลังจากนั้นด้วยความช่วยเหลือของหัวเป่าเจิ้น ชายผู้นี้ก็สามารถกลับเข้ามารับราชการทหารได้อีกครั้งและตอนนี้เขาได้เป็นแม่ทัพใหญ่เช่นเดิมแล้ว
สําหรับมู่หยางดูเหมือนว่าจะเป็นนักปราชญ์ที่ค่อนข้างอ่อนแอ ซึ่งมีบทบาทเพียงเล็กน้อยในราชสํานัก แต่เมื่อเขามีอายุได้สิบแปดปีผู้ชายคนนี้ก็ได้สวมบทบาทผู้นําอีกคนหนึ่งในองค์กรลับ
ส่วนจ้าวเฮงนั้น เดิมที่บิดาของเขาเป็นขุนนางในราชสํานักซึ่งรับใช้จักรพรรดิองค์ก่อน อย่างไรก็ตามสมาชิกในกลุ่มของบิดาเขาถูกประหารชีวิตทั้งหมดเนื่องจากกับดักที่ศัตรูวางไว้
ท่าให้มารดาต้องคลอดเขาในป่าและเมื่อเขาเติบโตขึ้นมา หัวเป่าเจิ้นได้รับเขาเข้ารับราชการเป็นทหารองครักษ์ส่วนพระองค์ของจักรพรรดิองค์ปัจจุบันพร้อมกับเปลี่ยนชื่อแซ่ให้เสียใหม่ โดยตอนนี้เขาได้เลื่อนตําแหน่งขึ้นเป็นรองผู้บัญชาการกองทหารรักษาพระองค์ประจําทิศเหนือ
และหลหลมีพื้นเพมาจากสามัญชนคนธรรมดา แต่สิ่งที่หัวเป่าเจิ้นชื่นชอบคือชายผู้นี้มีทักษะการสืบหาข่าวสาร อีกทั้งเขายังเป็นคนที่มีจิตใจโหดเหี้ยมอย่างไม่ต้องสงสัยและมีความจงรักภักดีเป็นอย่างมาก ซึ่งนั่นคือเหตุผลที่เขาได้ทํางานอยู่ในหน่วยสายลับที่มีความเชี่ยวชาญในการลอบสังหารศัตร”
หลี่เว่ยหยางยิ้มอย่างอ่อนโยนขณะที่นางเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้องค์ชายเจ็ดฟังโดยหัวเป่าหยูสูดหายใจเข้าลึก ๆ และใช้ทั้งสองมือไขว้เอาไว้ด้านหลังด้วยอาการกระสับกระส่ายพร้อมกับขยับร่างกายด้วยท่าที่ซึ่งหญิงสาวไม่เคยเห็นมาก่อน
ทําให้เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกไม่สบายใจ เนื่องจากข้อมูลทั้งหมดที่นางกล่าวมานี้เขาไม่เคยทราบมาก่อนเลย ทั้งที่เขามีกองกําลังสายลับแฝงตัวอยู่ในเมืองหลวงมากมาย
โดยทั้งหมดนี้เป็นความลับสุดยอดของหัวเป่าเจิ้นซึ่งผู้อื่นไม่ควรรู้ แต่หลี่เว่ยหยางกลับทราบเรื่องราวเหล่านี้อย่างละเอียดและหญิงสาวยังกล่าวอีกว่า
“สําหรับนักปราชญ์สามคนคือเกาเฉิง จึงเหนิง และซันซ่งนั้น เกาเฉิงเก่งกาจในเรื่องการวางแผน มิหนําซ้ํายังรับใช้ใกล้ชิดองค์รัชทายาท ส่วนจึงเหนิงนั้นมีความรู้ด้านขนบธรรมเนียมและวิธีปฏิบัติต่อองค์จักรพรรดิโดยเขาเป็นอาจารย์ขององค์รัชทายาท
และซันซึ่งมีพรสวรรค์ในการพูด แม้ตอนนี้ดูเหมือนเขาจะไม่มีประโยชน์มากนัก แต่ในช่วงเวลาสําคัญลิ้นสองแฉกของเขาจะต้องช่วยให้เจ้านายของเขาชนะใจบรรดาขุนนางและประชาชนได้อย่างแน่นอน”
หลี่เว่ยหยางเหลือบตามองดูท่าที่ขององค์ชายเจ็ดก่อนที่จะกล่าวต่อไปว่า
“ส่วนผู้หญิงสองคนนั้น อืม…คนแรกได้ครอบครองหัวใจขององค์จักรพรรดิในฐานะ คนโปรดคนใหม่ไปเรียบร้อยแล้วในขณะที่อีกคนอยู่ในต่าหนักขององค์ชายห้า”
ด้วยประโยคนี้หัวเป่าหยก็ลุกขึ้นยืนทันทีด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก
“เจ้ารู้หรือไม่ว่ากาลังกล่าวอันใดอยู่?”
“ข้ารู้ว่าท่านไม่เชื่อในสิ่งที่ข้ากล่าว แต่ทั้งหมดนี้เป็นความจริง โดยตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้ เขาได้ใช้ประโยชน์จากความมั่งคั่งขององค์รัชทายาทกับอำนาจขององค์จักรพรรดินีและครอบครัวสนม เพื่อประโยชน์ของตนเอง ซึ่งเขาสามารถแสดงบทบาทได้อย่างแนบเนียนมากจนจักรพรรดินีและองค์รัชทายาทหลงเชื่อมาหลายปีแล้ว”
เมื่อเหตุการณ์ดําเนินมาถึงตอนนี้ สัญชาตญาณของหัวเป่าหยูบอกเขาอย่างหนักแน่นว่า ทุกสิ่งที่หญิงสาวกล่าวล้วนแล้วแต่เป็นความจริง ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ไม่น่าจะเล็ดลอดออกมาสู่ภายนอกได้อย่างง่ายดาย
อย่างไรก็ตามองค์ชายเจ็ดยังคงรู้สึกว่านางรู้มากเกินไปและไม่น่าไว้วางใจ เพราะท้ายที่สุดองค์ชายทุกพระองค์ก็จะต้องมีสายลับของตนเองแฝงอยู่ในตําหนักของคู่ต่อ
แต่เขาคาดไม่ถึงว่าหัวเป่าเจิ้นจะเป็นบุคคลที่น่ากลัวมากขนาดนี้!
หลี่เว่ยหยางทราบดีว่า องค์ชายติดยังมีข้อกังขาโดยที่เขายังไม่ทราบว่าบุคคล เหล่านี้มีอันตรายมากเพียงใด
“ผู้คนเหล่านี้เป็นรากฐานที่สําคัญของความสําเร็จ ผู้ที่สามารถใช้เงินทองติดสินบนได้เขาก็จะทํา แต่ถ้าไม่…เขาก็จะพยายามโน้มน้าวผู้คนเหล่านั้นและหากทั้งสองวิธีนี้ใช้ไม่ได้ผลเขาก็จะฆ่าทิ้ง
ข้ารู้ดีว่าองค์ชายทุกพระองค์มีอานาจและสายลับของตนเอง ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถซื้อได้ด้วยเงินทอง อย่างไรก็ตามความจงรักภักดีไม่สามารถแลกมาด้วยทรัพย์สินหรือเงินทองที่ล้ําค่า
ดังนั้นข้าจึงกล้ากล่าวได้ว่า มิมีผู้ใดที่มีเจตนาอันแน่วแน่และอดทนเท่ากับหัวเป่าเจิ้น…เพราะแน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่เห็นแก่เงิน
และหากเป็นท่าน…ถ้าท่านล้มเหลวในการใช้เงินซื้อคน ท่านสามารถอดหลับอดนอนถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน เพื่อค้นหาสมบัติซึ่งเป็นเป้าหมายมามอบให้กับบุคคลที่ท่านต้องการเข้ามาเป็นพวกได้หรือเปล่า?
หญิงสาวไม่รอคําตอบจากบุรุษตรงหน้าและกล่าวต่อไปว่า
“ท่านยินดีที่จะเดินทางไปแสดงความเคารพบรรพบุรุษของผู้อื่นที่สุสานในนามของคนผู้นั้นทุกเทศกาลเช็งเม้ง เพียงเพื่อโน้มน้าวให้เขาเข้าร่วมแผนการกับท่านหรือไม่?”
เนื่องจากท่านเกิดจากเชื้อพระวงศ์ที่สูงศักดิ์ ท่านมิจําเป็นต้องกล่าวอันใดด้วยซ้ํา ผู้คนทั้งแผ่นดินก็เต็มใจจะให้ความช่วยเหลือท่าน อีกทั้งพวกเขาจะจงรักภักดีต่อท่านอย่างไม่มีเงื่อนไขและสามารถตายแทนท่านได้หากจําเป็น!
อย่างไรก็ตามเพียงแค่อาศัยสิ่งนี้เพียงอย่างเดียว ไม่ว่าจะเป็นท่านหรือองค์ชายห้า แม้กระทั่งองค์รัชทายาทก็ไม่มีทางที่พวกท่านจะเทียบกับทัวเป่าเจิ้นได้”
เมื่อหญิงสาวกล่าวจบ หัวเป่าหยก็มีอาการสั่นสะท้าน ราวกับอยู่ในจุดที่กาลังจะตกลงไปในหุบเหวลึก เนื่องจากเดิมที่เขามีความคิดว่าหัวเป่าเจิ้นละทิ้งความทะเยอทะยานและเปลี่ยนใจมาช่วยเหลือองค์รัชทายาท
แต่ผู้ใดจะทราบว่าเขาได้วางแผนเอาไว้แล้วตั้งแต่ต้น โดยใช้องค์รัชทายาทและจักรพรรดินีเป็นหมากในเกมของเขา!
ไม่น่าแปลกใจที่บุรุษผู้นี้สามารถทําตัวเป็นลูกกตัญญอย่างสมบูรณ์แบบต่อหน้าองค์จักรพรรดินี อีกทั้งยังเชื่อฟังรัชทายาทในทุกกรณี
เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นหมาป่าที่อยู่ในคราบแกะน้อย!