ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 115 หมากกระดานสำคัญ!
เสียนไท่เฟยหันไปทอดเนตรมองดูขลุ่ยสั้นที่หล่นอยู่บนพื้น เมื่อประกอบกับเสียงร่ำไห้ของท่านหญิงน้อย ต่อให้นางเคยสงบนิ่งเพียงไร ยามนี้ก็จิตใจก็ร้อนรนไปหมดแล้ว
นี่คือขลุ่ยคุมวิญญาณ เพียงแต่นี่เป็นสิ่งของเลียนแบบ เสียงขลุ่ยสามารถควบคุมเด็กเล็กๆ ขลุ่ยเลานี้นางให้ชิงผิงไปเพื่อช่วยให้นางสามารถควบคุมเด็กๆ ได้ง่ายขึ้น
แต่ว่าขลุ่ยเลานี้ถูกเอามาซ่อนไว้ที่ตัวนางตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
นางอดที่จะหันไปมองชิงผิงไม่ได้ แต่ ‘ชิงผิง’ ในตอนนี้กลับถอยห่างจากนางไปไกล ท่าทางไม่สนใจไยดีใดๆ ทั้งสิ้น
สายลมยังไม่ยอมหยุด เสียงร่ำร้องของเด็กบริสุทธิ์ที่ตายไปราวกับว่ากำลังรายล้อมอยู่รอบตัวของนาง ทำให้เสียนไท่เฟยจิตใจว้าวุ่นไปหมด
” ดูท่า นี่คงจะเป็นแรงอาฆาตของเด็กที่ตายไปแล้ว พอขลุ่ยนี้ปรากฎขึ้นก็ดึงดูดพวกเขาออกมา คงเพราะต้องการหาตัวฆาตกรมาล้างแค้น ” อู๋เจินไม่ปล่อยเวลาให้เสียนไท่เฟยได้ทันตั้งตัว ก็สาดน้ำมันลงไปบนกองเพลิงในทันที
เขาในตอนนี้ยิ่งทียิ่งทวีความเคารพนับถือในองค์ไทเฮาขึ้นไปอีก วิญญาณของเด็กๆ เหล่านี้ถูกอักขระดึงดูดจิตนั้นดึงดูดมารวมกันเป็นแน่ ในบรรดาผู้ที่เขารู้จักนั้น ก็มีแต่ท่านเจ้าอารามเท่านั้นที่สามารถใช้วิชาดึงดูดวิญญาณเช่นนี้ได้
ท่านเจ้าอารามนั้นมีอายุร้อยกว่าปีแล้ว แต่ว่าไทเฮาน้อยอายุเพียงสิบหน้าปีเท่านั้น!
หากนางอายุถึงร้อยปีเมื่อใด เกรงว่านางคงจะสำเร็จกลายเป็นเทพเซียนไปแล้ว
เมื่อมีคำพูดของอู๋เจินสกัดไว้ก่อน เสียนไท่เฟยก็ไม่อาจหาข้ออ้างมาชำระล้างความบริสุทธิ์ได้แล้ว
นางยังคงยืนอยู่ที่เดิม พอจะขยับไปก้าวหนึ่ง ก็ปรากฎวิญญาณเกรี้ยวกราดของเด็กน้อยออกมายื้อยุดนางไว้
เสียนไท่เฟยหรี่เนตรมอง หัตถ์กำแน่นเป็นหมัด ที่จริงวิญญาณของเด็กๆ พวกนี้ไม่ได้น่ากลัวอันใด ที่นางกริ่งเกรงก็คือผู้ที่สามารถเรียกวิญญาณพวกนี้มาได้ต่างหาก
อู๋เจิน…….เขารึมีความสามารถถึงเพียงนั้น? เกรงว่าคงจะไม่ใช่แล้ว
สุดท้ายสายตาของนางก็หันไปยังตู๋กูซิงหลัน
ตู๋กูซิงหลันไขว้สองมือเอาไว้ด้านหลัง ในมือมีกระดาษยันต์แผ่นหนึ่งที่เขียนขึ้นด้วยเลือดของนางเอง ยันต์แผ่นนี้มีลูกไฟสีน้ำเงินลุกไหม้อยู่ แต่ว่ากลับไม่ได้ทำร้ายผิวของนางแม้แต่น้อย
ใช่แล้ว วิญญาณของเด็กๆ เหล่านั้นเป็นนางที่เรียกมาเอง มีแค้นพยาบาทล้วนต้องชำระ มีแต่ให้พวกเขาได้ระเบิดความแค้นลงที่ฆาตกร เด็กๆ พวกนี้จึงจะได้ระบายความทุกข์ออกไป ค้นพบทางหลุดพ้น
ตู๋กูซิงหลันทางหนึ่งควบคุมบังคับยันต์ดึงดูดวิญญาณ ทางหนึ่งกลับจับจ้องมองดูเสียนไท่เฟยอย่างเงียบงัน นับตั้งแต่ที่นางได้ไปตำหนักฉางเล่อ และได้ใกล้ชิดเสียนไท่เฟยตั้งแต่ครั้งแรก ก็พบแล้วว่านางไม่ปกติธรรมดา
บรรยากาศของตำหนักฉางเล่อเสมือนสุสานหลังหนึ่ง อีกทั้งเสียนไท่เฟยยังใช้เครื่องหอมจากเฉิงเซียง (ไม้จันทน์) อยู่ตลอดเวลา ก็เพื่อกลบกลิ่นสาบศพของตนเอง
คราวก่อนที่อยู่นอกตำหนักเฟิ่งหมิงกง ตอนที่เสียนไท่เฟยคว้ามือนางไว้ แล้วใช้วิชาวิญญาณหุ่นไม้กับนางนั้น นางก็อาศัยพลังของหยกสรรพชีวิตตรวจสอบฐานะที่แท้จริงของนาง
ถึงแม้ว่าผู้คนทั้งหลายจะมองไม่เห็นวิญญาณอาฆาตเหล่านั้น แต่ก็สามารถได้ยินเสียงของเด็กๆ ที่ร้องไห้อย่างโหยหวน ดังนั้นต่างก็พากันตาโตมองมายังนาง
เส้นผมของไท่เฟยพลิ้วไหวอยู่ท่ามกลางสายลม ใจกลางฝ่ามือของนางปรากฎไอสีดำขึ้นมากลุ่มหนึ่ง วิญญาณของเจ้าเด็กพวกนี้ไม่อยู่ในสายตาของนางแม้แต่น้อย คิดจะอาศัยกำลังเพียงเท่านี้มาจัดการนางนะหรือ ฝันไปเถอะ!
แต่ว่าในทันทีที่นางคิดจะขยับตัวนั้น ใต้ฝ่าเท้าก็รู้สึกเหมือนกับว่าถูกสิ่งใดดึงดูดเอาไว้ ราวกับจะดึงดูดนางลงไปยังใต้พื้นดิน
นางก้มลงมองดู ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่กองหิมะหนาใต้ฝ่าเท้ากลายเป็นกองข้าวสารมากมาย ใต้กองข้าวสารยังเป็นแผ่นไม้ท้อรูปยันต์แปดทิศ ตัวนางกำลังยืนอยู่บนกองข้าวสารที่มียันต์แปดทิศรองเอาไว้อย่างพอดิบพอดี
สิ่งเหล่านี้คือของที่สามารถสะกดข่มนางได้!
ไอสีดำบนฝ่ามือของนางมอดดับสนิท ร่างกายไม่อาจขยับเขยื้อนได้แม้แต่น้อย
ในที่สุดสีหน้าของเสียนไท่เฟยก็เปลี่ยนไปจริงๆ แล้ว
นางพึ่งจะนึกขึ้นมาได้ว่า เป็นชิงผิงที่พานางมายืนอยู่ตรงนี้
หลุมพรางนี้ ถูกขุดเอาไว้เพื่อรอนางตั้งแต่แรกแล้ว!
ช่างเป็นหมากที่ลึกล้ำยิ่งนัก!
ผู้ที่วางหมากเอาไว้ล่วงรู้ฐานะของนางตั้งแต่แรก จึงได้วางแผนลงมือกับนางอย่างละเอียดรอบคอบแม้กระทั้งจุดที่นางจะยืน
เมื่อนางไม่อาจต่อต้าน เหล่าวิญญาณอาฆาตก็ยิ่งลงมือหนักขึ้นเรื่อยๆ
ผู้คนทั้งหลายต่างเห็นเพียงว่าคล้ายกับมีบางสิ่งบางอย่างกำลังฉุดกระชากเสื้อผ้าของเสียนไท่เฟย ชุดกระโปรงสีดำของนางถูกฉีกทึ้งจนไม่มีชิ้นดี แม้แต่ร่มสีขาวนั้นก็ยังขาดเป็นรูโหว่มากมาย
ใบหน้าที่เคยอ่อนโยนก็ถูกตะกุยจนเป็นริ้วรอยหลายแผล ผิวหน้าถลอกออกมาเป็นทางยาวจนเห็นเนื้อขาวๆ แต่ว่ากลับไม่มีเลือดไหลออกมาแม้แต่น้อย
ภาพที่เห็นช่างหน้าสะพรึงกลัวจนทำให้ผู้คนทั้งหลายต่างขนลุกซู่
” ปะๆ … ปี.. ปีศาจ……” รองมหาเสนาตกใจกลัวจนปัสสาวะราดออกมา พอคิดได้ว่าเขากลายเป็นฝ่ายเดียวกับปีศาจไปแล้ว ก็อดตัวหนาวสั่นด้วยความหวาดกลัวไม่ได้
เมื่อมีรองมหาเสนาเปิดปากตะโกนขึ้นมาก่อน คนอื่นๆ ต่างก็พากันร่ำร้องขึ้นมาบ้าง “ปีศาจ! นางคือปีศาจที่ควักหัวใจดื่มโลหิต! “
“เผานางให้ตาย! “
“เผาให้ตาย! “
ทันใดผู้คนทั้งหลายต่างแตกตื่นขึ้นมา ภายใต้สถานะการณ์เช่นนี้ไม่ว่าเสียนไท่เฟยจะพูดเช่นไรก็ไม่อาจหักล้างได้อีกแล้ว
เสียนไท่เฟยได้แต่ยืนอยู่ที่เดิม ตั้งแต่แรกจนถึงบัดนี้นางยังคงมองดูตู๋กูซิงหลันด้วยสายตาลึกล้ำเย็นวาบ
นางไม่อยากจะเชื่อ ว่าเหตุการณ์ทั้งหมดจะเป็นฝีมือวางแผนของสาวน้อยที่เคยนอบน้อมเชื่องเชื่อนางทุกถ้อยคำมาโดยตลอด
เมื่อถูกนางจดจ้องเขม็งเช่นนี้ ตู๋กูซิงหลันก็แสดงอาการหวาดกลัวออกมาโดยทันที นางรีบไปแอบอยู่ด้านหลังของจีเฉวียน กล่าวอย่างอ่อนแอว่า “ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันกลัวจัง…..”
“เจ้าจะกลัวอะไร ไม่ใช่ว่าเจ้าช่วยซุ่นเอ๋อร์เอาไว้ ไล่ตีปีศาจไปหรอกหรือ? “
” หม่อมฉันไหนเลยจะรู้ว่านั่นคือปีศาจเล่าเพคะ เป็นเพราะยามนั้นคิดว่าเป็นสตรีชุดดำผู้หนึ่งต่างหาก อีกทั้งยังไม่ได้เห็นใบหน้า….หม่อมฉันอายุเพียงสิบห้าปีเท่านั้น เป็นเพียงสตรีอ่อนแอเปราะบางผู้หนึ่ง ” ตู๋กูซิงหลันร้องทุกข์ เจ้าฮ่องเต้สุนัขช่างสมเป็นบุรุษหยาบคาย!
พอได้ฟังแล้ว จีเฉวียนกลับตรัสอย่างอ่อนโยนอย่างยากที่จะได้ยินมาก่อนว่า
” มาแอบที่ข้างกายเรานี่ เราเป็นโอรสสวรรค์ ไม่ว่าภูติผีปีศาจใดต่างต้องถูกสยบ”
หากมิใช่ว่าเขาเจ็บ “ตรงนั้น” เสียจนยืนไม่ไหว คำพูดเหล่านี้จะต้องทำให้เขาดูองอาจกล้าหาญอย่างที่สุด
” อืม จริงด้วยเพคะ” ตู๋กูซิงหลันตอบรับคำหนึ่งอย่างว่าง่าย
กิริยาเช่นนี้ของนาง ทำให้เสียนไท่เฟยหักเลี้ยวความคิดของตนเองเมื่อครู่ ตู๋กูซิงหลันที่โง่เขลาถึงเพียงนี้ มีหรือจะสามารถวางหลุมพรางได้เจนจัดถึงเพียงนี้
ดูท่าแล้ว….จะต้องเป็นจีเฉวียนเสียมากกว่า
หรือไม่ก็ จีเฉวียนจะต้องมอบข้อเสนอดีๆ อันใดให้แก่ตู๋กูซิงหลัน พวกมันถึงได้ตกลงร่วมมือกัน
นี่จึงจะสมเหตุสมผล ว่าทำไมจีเฉวียนถึงได้เปลี่ยนแปลงท่าทีที่มีต่อตู๋กูซิงหลันไปอย่างมากมาย
ยามนี้ องค์หญิงใหญ่เองก็บังเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาแล้ว ซุ่นเอ๋อร์ของนางเกือบจะตรงไปอยู่ในเงื้อมือมารแล้วจริงๆ!
นางตรัสถามออกไปว่า “ท่านนักพรตอู๋เจิน ปีศาจตนนี้…..ตกลงแล้ว ตกลงแล้วคือตัวอะไรกันแน่? “
นักพรตอู๋เจินและบรรดาลูกศิษย์ต่างก็พากันรายล้อมเสียนไท่เฟยเอาไว้อย่างแน่นหนา อู๋เจินลูบไล้ลูกประคำในฝ่ามือ กล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “มีเนื้อแต่ไร้เลือด ร่างกายเย็นเฉียบอยู่ตลอดเวลา โปรดปรานกินหัวใจและดื่มโลหิต …..หากว่าข้านักพรตดูไม่ผิดละก็ นางคือศพมีชีวิต คนตายที่ยังมีชีวิตและเคลื่อนไหวได้ “
ระหว่างศพเดินได้กับศพมีชีวิต นั้นเป็นคนละเรื่องกัน
อย่างแรกนั้นมีร่างเป็นศพ อย่างหลังนั้นมีร่างที่มีชีวิต มีความนึกคิดของตนเอง ทั้งยังสืบทอดเผ่าพันธุ์กันมา ปะปนอยู่ในหมู่ฝูงชน
หากว่ากันตามคำเล่าลือที่โจษจันกันมา บรรพบุรุษของพวกเขาเคยได้รับพิษที่รุนแรงชนิดหนึ่ง แต่ว่าด้วยภูมิต้านทานที่แข็งแกร่ง ทำให้ร่างกายเปลี่ยนแปลงเป็นร่างที่มีพิษ กลายเป็นร่างกายอีกรูปแบบหนึ่ง
ร่างศพมีชีวิตชนิดนี้สามารถสืบทอดเผ่าพันธุ์ได้ มีลูกหลานร่วมกันคนปกติได้ แต่ภายในร่างจะมีพิษชนิดนั้นอยู่ เมื่อเติบโตจนถึงช่วงระยะเวลาหนึ่งร่างกายก็จะเกิดความเปลี่ยนแปลง จากนั้นก็ค่อยๆ กลายสภาพไปจนกลายเป็นศพอย่างสมบูรณ์
เมื่ออู๋เจินกล่าวออกมาเช่นนี้ ผู้คนทั้งหลายต่างก็พากันตกตะลึงไป ในบรรดาผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ก็มีผู้ที่เป็นขุนนางเก่าแก่รวมอยู่ด้วย
พวกเขาอดไม่ได้ที่จะคิดย้อนไปยามที่ปฐมกษัตริย์ยังทรงพระชนม์อยู่ เคยทรงปราบปรามแว่นแคว้นหนึ่งจนสิ้นสูญไป