ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 118 นี้มันเรียกว่าคนสิ้นคิด!
” ขอไทเฮาทรงตรัสมาเถอะเพคะ” องค์หญิงใหญ่จ้องมองนาง การที่ตู๋กูซิงหลันมิได้กล่าววาจาเกรงอกเกรงใจแม้สักครึ่งคำ ทำให้นางแปลกใจนัก ทั้งยังรู้สึกนับถือขึ้นมาอยู่บ้าง
เมื่อเปรียบเทียบกับพวกอสรพิษที่ชอบทำตนเป็นพยัคฆ์แล้ว ไทเฮาที่ตรงไปตรงมาเช่นนี้ยังถูกใจนางมากกว่านัก
ได้ฟังแล้ว ตู๋กูซิงหลันก็หันกลับไปมองดูพี่ชายของตนเองแวบหนึ่ง
ตู๋กูจุนชะงักไปเล็กน้อย ค่อยตัดสินใจเขยิบมายืนข้างตัวนาง ตู๋กูซิงหลันปล่อยเขาไว้เช่นนั้น
นางรีบหันกลับมามองดูองค์หญิงใหญ่
การกระทำก่อนหน้านี้ขององค์หญิงใหญ่ ตู๋กูซิงหลันมิได้รู้สึกโกรธเคืองเลย ไม่ว่าเป็นแม่คนใด เมื่อเป็นเรื่องความเป็นความตายของลูกแล้วก็ย่อมจะสูญเสียเหตุผลที่เคยมีได้ด้วยกันทั้งนั้น
เรื่องนี้นางย่อมเข้าใจได้ อย่าว่าแต่สตรีที่สามารถอบรมสั่งสอนซุ่นเอ๋อร์ให้เป็นเด็กน้อยน่ารักได้เช่นนี้ ย่อมมิใช่คนไม่ดีไปได้เด็ดขาด
นางยิ่งคิดไม่ถึงว่า องค์หญิงใหญ่ผู้หนึ่ง จะยินยอมคุกเข่าลงต่อหน้าผู้คนเพื่อขออภัยต่อนาง เพียงแค่ข้อนี้ข้อเดียว ตู๋กูซิงหลันก็อยากจะเพิ่มคะแนนให้องค์หญิงใหญ่อีกไม่น้อยแล้ว
นางลดเสียงลง เขยิบเข้าไปจนใกล้ กระซิบลงที่ข้างพระกรรณขององค์หญิงกล่าวว่า “ข้าเพียงอยากรู้ว่า ระหว่างพี่ใหญ่และองค์หญิงเกิดข้อเข้าใจผิดอันใดกันหรือ? “
นางกล่าวเพียงประโยคเดียว สีพระพักตร์ของจีฉุนก็เปลี่ยนไปในทันที แม้แต่แววตาก็หม่นหมองลงไปด้วย
นางค่อยๆ ปิดตาลง ส่ายหน้าน้อยๆ “ขอไทเฮาทรงเปลี่ยนคำถามเป็นเรื่องอื่นเถอะเพคะ เรื่องระหว่างข้าและพี่ชายของท่านนั้น ข้าไม่มีคำพูดจะกล่าว”
“องค์หญิง บุญคุณที่เราต้องการให้ท่านตอบแทนนั้น ก็คือคำพูดที่ชัดเจนไม่กี่คำเท่านั้น ” ตู๋กูซิงหลันตอบกลับ “ขององค์หญิงใหญ่ทรงตรัสอย่างรวบรัดชัดเจนเถอะ”
องค์หญิงใหญ่ลืมเนตรขึ้นมองนางอย่างละเอียดละออ สตรีน้อยตรงหน้าอายุเพียงสิบหน้าปีเท่านั้น แต่ความอาจหาญเจรจาเช่นนี้ทำให้นางประหลาดใจอย่างคาดไม่ถึง
นางก้มศีรษะลง ถอดถอนหายใจยาวเหยียด “ไทเฮาประสงค์จะทรงทราบให้จงได้หรือเพคะ? “
ตู๋กูซิงหลัน พยักหน้ารับ “ใช่แล้ว”
ดวงพักตร์ขององค์หญิงใหญ่ซีดขาวยิ่งกว่าเดิม นานครู่ใหญ่จึงได้ยอมตรัสออกมา ” ฉางซุนซู่ ราชบุตรเขยของข้า เมื่อหกปีก่อนถูกพี่ชายของท่านสังหาร ความเกลียดชังนี้คงไม่อาจสลายได้ทั้งชาติ ดังนั้น ระหว่างข้าและท่านแม่ทัพผู้พิชิตมิได้มีข้อผิดใจอันใดกัน”
วาจาประโยคเดียวกลับคล้ายว่าเผาผลาญพลังงานที่นางมีอยู่ทั้งหมดจนสิ้นไป ทำให้นางเจ็บปวดจนถึงขนาดลมหายใจยังสั่นสะท้าน ผ่านไปครู่ใหญ่นางจึงถวายคำนับลากับตู๋กูซิงหลัน “จีฉุนรู้สึกร่ายกายไม่สู้ดี ขอทูลลาแล้วเพคะ วันหน้าจะต้องเข้าวังไปขอบพระทัยไทเฮาอีกครั้งแน่นอน “
กล่าวแล้ว นางก็เข้ามาอุ้มตัวซุ่นเอ๋อร์กลับไป จากนั้นก็ไปจากจวนตระกูลตู๋กูอย่างรวดเร็ว
ตู๋กูจุนหยุดอยู่ที่เดิม มองดูเงาหลังของนางจากไป ก็ได้แต่อ้าปากค้าง แต่กลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาสักคำ
ตู๋กูซิงหลันเองก็ละล้าละลัง แต่ก็ไม่กล้าบังคับรั้งนางเอาไว้ น้ำหนักของเรื่องนี้ดูท่าจะรุนแรงเกินไปแล้ว มิน่าเล่าพี่ใหญ่ถึงได้ไม่กล้าบอกกับนางมาโดยตลอด
เมื่อมองดูพี่ชายตนเองที่ท่าทางเหมือนกับว่าวิญญาณได้หลุดลอยไปแล้ว นางก็รู้สึกปวดใจขึ้นมาอีกหลายส่วน เรื่องนี้ใช่ว่ายังมีเงื่อนงำอะไรอีกหรือไม่?
“พี่ใหญ่ เรื่องราวในปีนั้น ท่านหาเวลามาพูดกับข้าให้ละเอียดเถอะ ข้าเป็นน้องสาวของท่าน ข้าเชื่อว่าท่านไม่มีทางฆ่าคนอย่างไร้เหตุผลหรอก นี่จะต้องมีเหตุจำเป็นอันใดให้ท่านต้องกระทำเป็นแน่ ” ตู๋กูซิงหลันย่ำเท้าลงไปพลางตบบ่าของเขาเบาๆ “ชีวิตคนเรานั้นแสนสั้น อย่าได้ปล่อยให้มีเรื่องต้องเสียดาย”
เพียงแค่ประโยคเดียวของนางกลับทำให้ตู๋กูจุนรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาอีกหลายส่วน น้องเล็กไปได้รับประสบการณ์เช่นไรมา ถึงได้สามารถเกิดความเข้าอกเข้าใจได้ถึงเพียงนี้
ที่ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้บอกนาง ก็เพราะว่าไม่อยากให้นางต้องวิตกกังวลใจไปเปล่าๆ บุรุษตระกูลตู๋กูเช่นพวกเขาแต่ไหนแต่ไร ก็ไม่อาจทนเห็นนางทุกข์ใจได้แม้แต่น้อย กลับคิดไม่ถึงว่าน้องเล็กจะจดจำเรื่องนี้ไว้ในใจมานานแล้ว
นางในตอนนี้กับก่อนหน้านั้น ช่างแตกต่างราวกับเป็นคนละคนกันทีเดียว
ก่อนหน้านี้น้องเล็กไม่เคยจะใส่ใจเขาแม้แต่น้อย
ในใจของเขาทั้งซาบซึ้ง ทั้งรู้สึกภาคภูมิใจขึ้นมา คิดว่าเรื่องนี้ถึงเขาไม่พูดออกมา นางก็คงหาทางรู้เข้าจนได้
หากต้องปลอยให้นางว้าวุ่นใจ โดยไม่อาจหาคำตอบที่แน่ชัดได้เช่นนี้ต่อไป มิสู้ให้เขาบอกกับนางด้วยตนเองจะดีกว่า
เมื่อคิดได้แล้ว ตู๋กูจุนก็พยักหน้าติดๆ กัน “ตกลง”
…………………………
บนเก้าอี้กุ้ยเฟย ฮ่องเต้ผู้ทรงมิได้รับความสนใจไยดีใดๆ จากไทเฮาแม้แต่น้อยกลับมิได้ทรงมีโทสะ นับตั้งแต่ที่เสียนไท่เฟยเดินออกไป สายพระเนตรของพระองค์ก็มีแต่ความเย็นชา ถึงแม้ตู๋กูซิงหลันและองค์หญิงใหญ่จะกล่าวเรื่องอันใดแก่กันก็ไม่ได้ทรงสนพระทัย
หลี่กงกงได้แต่ขุดความกล้าหาญขึ้นมาเข้าไปสอบถามรับสั่ง ” ฝ่าบาทพะยะค่ะ เวลาไม่เช้าแล้ว ยามนี้ใช่สมควรเสด็จกลับวังเลยหรือไม่พะยะค่ะ? “
จีเฉวียนถึงได้ค่อยๆ เรียกสติกลับมา เขาหันไปทอดพระเนตรมองไทเฮาน้อยที่ข้างกายชั่วแวบหนึ่ง ” กลับ”
เขาขยับตัวอย่างรวดเร็ว ลืมเรื่องที่ตนเองเจ็บตรงนั้นไปชั่วขณะ ลุกขึ้นประทับยืนในคราเดียว เมื่อขยับตัวมากถึงเพียงนี้ ย่อมเกิดความเจ็บปวดไปถึงขั้วหัวใจ เรียกว่าเกือบจะส่งเขาขึ้นสวรรค์ไปเลยทีเดียว!
ฮ่องเต้สีพระพักตร์ย่ำแย่ พระบาทอ่อนล้าไร้กำลัง ได้แต่กลับมาประทับนั่งบนเก้าอี้กุ้ยเฟยอีกครั้ง กัดพระทนต์ตรัสว่า “แบกเรากลับไป”
หลี่กงกง “??? ” ยามนี้เขาชักสงสัยขึ้นมาเสียแล้วว่าฝ่าบาททรงประชวรขึ้นมาอย่างกระทันหันหรือไม่ ยามมานั้นองอาจดุจมังกรคึกคักดุจพยัคฆ์ ทำไมบทจะไปถึงกับยืนไม่ขึ้นเสียอย่างงั้น?
พอคิดถึงว่าก่อนหน้านี้เขาได้ยินซุ่มเสียงแปลกๆ ที่พาให้คนต้องขบคิดมากความมาจากในห้องของไทเฮาน้อย หลี่กงกงก็รู้สึกเหน็บหนาวขึ้นมาเลยทีเดียว
คงไม่ใช่ว่า…..ฝ่าบาททรงถูกไทเฮาน้อย…….สูบจนแห้งไปแล้ว!
พอความคิดนี้ผุดขึ้นมา หลี่กงกงก็พลันรู้สึกว่าศีรษะที่ขวัญกล้าบังอาจของตนชักจะไม่มั่นคงเท่าไหร่แล้ว
พอเหล่าองครักษ์เข้ามายกเก้าอี้กุ้ยเฟยขึ้น ก็ได้ยินจีเฉวียนตรัสกับตู๋กูซิงหลันว่า “ไทเฮา ติดตามเรากลับวังด้วยกัน”
สายตาของตู๋กูซิงหลันจับจ้องอยู่บนเก้าอี้กุ้ยเฟยตัวนั้น
เก้าอี้กุ้ยเฟยตัวนี้เป็นผลงานของร้านเครื่องเรือนอันดับหนึ่งในแคว้นต้าโจว ใช้ไม้สักทองสร้างขึ้นทั้งตัว พนักพิงและที่วางแขนสลักลายลงทองฝังอัญมณีไว้ แม้แต่เบาะนุ่มที่ใช้รองบนเก้าอี้ก็ทำจากผ้านวมอ่อนนุ่มชั้นดีและผ้าต่วนเมฆไหล
เจ้าฮ่องเต้สุนัข……บัลลังก์ของตนเองมีไม่นั่ง กลับจะมายึดเอาเก้าอี้กุ้ยเฟยของนางไปหรือ?
นางค่อยๆ กลืนน้ำลายลงไป ตอบว่า “เก้าอี้ตัวนี้ ฝ่าบาทจะทรงคืนให้หม่อมฉันใช่ไหมเพคะ? “
จีเฉวียนพระพักตร์เขียวขึ้นมาทันที พูดตามจริงเลย ตอนนี้เขาคิดจะฆ่านางเสียด้วยซ้ำไป!
ในสายตาของนาง เกียรติของบุรุษเช่นเขาเทียบไม่ได้กลับเก้าอี้ตัวหนึ่งหรือไง?
” เจ้าคิดเช่นไรละ? ” นิ้วเรียวยาวของเขาลูบไล้ไพลินบนที่วางแขนไปมาคล้ายตั้งใจและไม่ตั้งใจอยู่ตลอด
ตู๋กูซิงหลัน “……….”
……………..
ในพระตำหนักตี้หัว หมอหลวงซุนกำลังตรวจสอบดูไข่ใบสำคัญของฝ่าบาท เขาพลันรู้สึกว่าตนได้มาถึงสุดสูงในอาชีพของหมอของตนแล้ว
อีกหน่อยยามที่เขาแก่ชรากลับบ้านเกิดไป อยู่ในหุบเขาห่างไกลจากฮ่องเต้ จะสามารถคุยอวดกับผู้คนได้หรือไม่ ว่าเขาได้เคยเห็นไข่มังกรมาแล้ว อีกทั้งยังเป็นหมอหลวงผู้ทรงคุณวุฒิที่สามารถรักษาไข่มังกรจนหายดีอีกด้วย?
” ทูลฝ่าบาท ยังดีที่ไม่ได้หักเสียหาย มิได้บาดเจ็บจนถึงแก่นสำคัญ กระหม่อมจะฝังเข็มถวายสักหลายครั้ง จากนั้นจัดเทียบยาให้ทรงดื่ม ไม่เกินเจ็ดวันก็จะกลับคืนมาดีดังเดิมพะยะค่ะ” หมอหลวงซุนพูดไป ก็หยิบเอาเข็มเงินออกมา
พูดตามตรง เขาเองก็ประหลาดใจอยู่มาก ฝ่าบาททรงไปกระทำการใดมากันแน่ ถึงได้ทำให้พระองค์เองกลายเป็นเสียอย่างนี้
คงมิใช่ว่าสมองกลับตาลปัตรคิดว่าตนเองมีไข่เหล็กหรอกนะ?
ไปใช้งานอะไรรุนแรงถึงเพียงนี้……
ดูสิว่าบวมถึงเพียงไหน จุ๊ๆๆ ….ยังดีที่พระวรกายของฝ่าบาทแข็งแรงมาตลอด หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่น มีหวังเละเป็นเต้าหู้ไปเสียแล้ว
จีเฉวียนสาดพระเนตรเย็นชาออกไป ทอดพระเนตรไปยังไทเฮาน้อยที่ถูกพากลับมาอย่างดี เงาของนางทอดอยู่บนฉากบังลมวิหคเพลิง คนตัวสั่นสะท้านแอบอยู่หลังฉากอย่างเงียบๆ เรียบร้อย
สตรีผู้นี้ พอรู้ว่าเรื่องราวหนักหนาก็เกิดความกลัวขึ้นมาเป็นเหมือนกันรึ
ที่ด้านนอกของฉากบังลม ตู๋กูซิงหลันได้พยายามหุบปากกลั้นยิ้มเอาไว้สุดความสามารถ นางปิดปากเสียแน่น ไม่ยอมให้เสียงของตนเองเล็ดลอดออกไป จนทั้งร่างได้แต่สั่นสะท้าน
พอกลับมาถึงวัง ฮ่องเต้ก็มีรับสั่งให้นางเตรียมเข้าเฝ้าอยู่ในตำหนักตี้หัว รอหมอหลวงซุนมาตรวจอาการให้เขา
แต่พอได้ยินว่าหมอหลวงซุนจะฝังเข็มลงบนไข่มังกร ……สมองของตู๋กูซิงหลันก็อดที่จะจินตนาการภาพเหตุการณ์ขึ้นมาไม่ได้ นางรู้สึกว่าลมพัดเย็นจัดจนขนลุกกราวขึ้นมา เจ็บจี๊ดไปทั้งตัวเลยทีเดียว
ถึงแม้ว่าในใจของนางจะปรากฎความละอายในความผิดขึ้นมาบ้างเล็กน้อย แต่สุดท้ายแล้วก็ยังคงอดจะอยากหัวเราะอย่างสะใจไม่ได้
ช่างสมกับที่ตัวนางเคยมีฉายาว่าบงกชดำจริงๆ
ไม่รู้ว่าฝ่าบาทจะได้รับการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์หรือไม่ พระองค์จะได้กลายเป็นฮ่องเต้พระองค์แรกที่พงศาวดารจารึกไว้ว่ามีการฝังเข็มไข่มังกร
“ฝ่าบาท กระหม่อมขอประทานอนุญาตล่วงเกินแล้ว…..” หลังฉากบังลม หมอหลวงซุนกำเข็มเงินเอาไว้ในมือ ทั้งตื่นกลัวและทั้งตื่นเต้นไปพร้อมๆ กัน
การรักษาด้วยวิธีฝังเข็มไข่มังกรเช่นนี้ คงจะกลายเป็นแรงผลักดันให้เขาได้กลายเป็นสุดยอดหมอหลวงในประวัติศาสตร์เป็นแน่
จีเฉวียนสีพระพักตร์เย็นเฉียบ ฝ่าพระหัตถ์ตวัดออกไป ก็ฟาดจนมือของหมอหลวงซุนสั่นสะท้าาน เข็มเงินปักใส่หลังมือของตนเอง ลึกลงไปในเนื้อถึงสามส่วน เขาเจ็บปวดจนร่ำร้องออกมา
เขาไม่รู้จริงๆ ว่าตนเองกระทำผิดต่อฝ่าบาทในที่ใด ได้แต่ตระหนกตกใจจนคุกเข่าลงกับพื้นด้วยความหวาดผวา บนศีรษะหลั่งเหงื่อเย็นออกมามากมาย
” ไสหัวไปให้เราเดี๋ยวนี้ ” จีเฉวียนทรงกำเข็มขัดเอาไว้แน่น ใครก็อย่าได้คิดจะแต่ต้องไข่มังกรของเขาแม้แต่น้อย!
หมอหลวงซุนได้แต่ยอมถูกระทำเสียแล้ว ดูเอาเถอะ อาชีพหมอหลวงนั้นต้องเสี่ยงเพียงไร คนไข้อารมณ์ไม่ดี เขาก็ไม่อาจพูดมากความได้
“ทูลฝ่าบาท หากว่าไม่ได้รับการฝังเข็ม อาศัยการดื่มยาแต่เพียงอย่างเดียว พระองค์จะทรงฟื้นตัวได้ช้าอย่างยิ่ง เกรงว่าจะต้องใช้เวลากว่าหนึ่งเดือนพะยะค่ะ หากว่าระหว่างนั้นเกิดเหตุอันใดขึ้นมาละก็ จะเกิดผลกระทบต่อเชื้อสายของราชวงค์ต้าโจวได้นะพะยะค่ะ ” หมอหลวงซุนยึดเอาหลักการแพทย์มากล่าวอ้าง น้อมเตือนฝ่าบาทอย่างไม่กลัวตายเลยทีเดียว
” นอกจากฝังเข็มแล้ว ไม่มีวิธีอื่นเลยหรือ? ” จีเฉวียนพระพักตร์เย็นชา แทบจะขู่ขวัญหมอหลวงซุนจนร้องไห้ออกมา
หมอหลวงซุนลูบคอของตนเอง เค้นสมองครุ่นคิด จากนั้นค่อยกราบทูลเสียงเบาๆ ว่า “ฝ่าบาทสามารถใช้วิธีแช่พระองค์ในอ่างน้ำร้อนผสมตัวยาเป็นประจำทุกวัน ….วิธีนี้ก็จะช่วยคลายความเจ็บปวด ร่วมกับการดื่มยา ใช่เวลาประมาณครึ่งเดือนก็น่าจะฟื้นฟูได้พะยะค่ะ”
” ถ้าเช่นนั้นก็ให้ใช้วิธีนี้ เรื่องนี้หากว่าเราได้ยินข่าวลือออกไปแม้เพียงครึ่งคำ ศีรษะของเจ้าได้ตกดินเป็นแน่”
หมอหลวงซุนอยากจะร้องไห้ออกมาเหลือเกิน …….เป็นหมอหลวงช่างไม่ง่ายดายเลย หากว่าไม่ระวังมีหวังได้เผาผีไปจริงๆ
พอฝ่าบาทตรัสจบแล้ว ก็ทรงไล่หมอหลวงซุนออกไป
เหลือเพียงตู๋กูซิงหลันที่แอบอยู่นอกฉากบังลม
หลังจากนั้นก็ได้ยินฮ่องเต้ตรัสด้วยสุรเสียงเย็นชาว่า “ไทเฮา เจ้าสำนึกผิดหรือยัง ครึ่งเดือนให้หลังนี้ เจ้าต้องคอยดูแลเราแช่ยา เราจะยอมให้อภัยที่เจ้าทำให้เราบาดเจ็บสาหัส”
ตู๋กูซิงหลัน “? “
” เจ้าคงจะไม่อยากให้ผู้อื่นรู้ว่า เจ้าทำกับเราเช่นไรใช่ไหม? “
ตู๋กูซิงหลัน “……..” นางพอจะปฎิเสธได้ไหม?
จีเฉวียน “นี่เป็นราชโอการ ไม่อาจปฎิเสธ”
………………………………………….
สามวันหลังจากนั้น
ข่าวที่ว่าเสียนไท่เฟยคือศพมีชีวิตก็โด่งดังไปทั่วเมื่องหลวงอย่างรวดเร็ว
ไม่ว่ากลางถนนใหญ่ในตรอกซอกซอยโรงเตี๊ยมร้านน้ำชาต่างก็ไม่พลาดที่จะวิพากษ์วิจารณ์นาง
ปีศาจเช่นนี้กลับสามารถเข้าไปอยู่ในวัง ทั้งยังกลายเป็นถึงพระสนมกุ้ยเฟย ซ้ำยังคลอดราชโอรสออกมา คิดๆ ดูแล้วช่างน่าหวาดกลัวนัก ไม่รู้ว่าหากอดีตฮ่องเต้ยังทรงพระชนม์อยู่ละก็ จะส่งดำริเช่นไร
มิน่าเล่านางถึงสามารถไต่เต้าจากนางกำนัลเล็กๆ ไปเป็นพระสนมคนโปรดของอดีตฮ่องเต้ได้ คิดๆ ดูแล้วนี่ย่อมจะต้องเกี่ยวเนื่องกับฐานะปีศาจของนางเป็นแน่
ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องที่ทำให้ทุกผู้ต่างพากันกังวลใจก็คือ ในเมื่อเสียนไท่เฟยเป็นศพมีชีวิต เช่นนั้นอี้อ๋องจีเย่ว์เล่า?
เขาก็เท่ากับว่าเป็นบุตรของศพมีชีวิตนะสิ!
……………………………………………..
ในตำหนักเย็นโหยวหนิงนำเรื่องที่เล่าลือกันบนถนนใหญ่และตรอกซอยนี้บอกเล่าให้จีเย่ว์ฟัง
ถึงแม้ว่าตัวนางจะอยู่ในตำหนักเย็น แต่ว่ายังดีที่มีซิ่วเหอผู้จงรักภักดีอยู่ และค่อยหาเวลามาเยี่ยมเยียนนางอยู่เสมอ ทั้งยังเอาข่าวคราวจากภายนอกมาเล่าให้นางฟังด้วย
ข่าวดีเช่นนี้ นางย่อมอยากจะแบ่งบันแก่จีเย่ว์เป็นคนแรกอยู่แล้ว
” คิดไม่ถึงเลยว่า สตรีที่ท่านรักมากที่สุด จะเป็นคนที่แทงดาบใส่มารดาของท่านเอง ” นางยกมุมปาก มองดูพระพักตร์ของจีเย่ว์ที่มีแต่ความเคร่งขรึม “เสียนไท่เฟย ผู้ที่อี้อ๋องท่านใช้ชื่อเสียงของตนเองทั้งหมดปกป้องเอาไว้ “
จีเย่ว์ประทับอยู่บนแผ่นหินสีเขียวที่เปียกชื้นในตำหนักเย็น หิมะตกอีกแล้ว หิมะตกลงบนตัวของเขา ทำให้ร่างของเขาก็เปียกชื้นไปด้วยเช่นกัน
ดวงพักตร์ที่งดงามดุจภาพวาดของเขา มีหยดน้ำที่เปียกชื้นอยู่ชั้นหนึ่ง ริมฝีปากไร้สีเลือด กลายเป็นความงามที่อมโรค
โหยวหนิงมองดูเขา พลางเขยิบหลายก้าวเข้ามาใกล้ “ฟังว่า ต้นเดือนหน้า ฝ่าบาทจะเสด็จไปควบคุมการจุดเพลิงด้วยพระองค์เอง จะทรงเผานางให้ตายบนลานจูเสียไถในอารามเทียนเก๋อกวน “
ประโยคนี้พอนางพูดออกไป จีเย่ว์ถึงได้มีปฎิกิริยาขึ้นมาบ้าง เงยพระพักตร์ขึ้นมาจ้องดูนางครู่หนึ่ง
โหยวหนิงกลับไม่เกรงกลัว นางย่อตัว นั่งลงที่ข้างกายของเขา สองตาจ้องมองเขาอย่างแน่วแน่ “ท่านอ๋อง ท่านยังดูไม่ออกอีกหรือ? ข้ามิได้เกรงกลัวว่าท่านจะเป็นทายาทของศพมีชีวิต มีแต่ข้าเท่านั้นที่จริงใจต่อท่าน “
จีเย่ว์จ้องนางด้วยสายพระเนตรเย็นชา “เจ้าคิดว่า อ๋องเช่นข้าจะตกต่ำจนถึงขนาดให้เจ้าต้องมาสมเพชเวทนาหรือ? “
” ข้ารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่า เสียนไท่เฟยมิใช่คนธรรมดา ย่อมต้องรู้ว่า ท่านอ๋องเองก็ไม่ใช่คนปกติทั่วไป แต่ไม่ว่าท่านจะเป็นอะไร โหยวหนิงก็ชอบท่าน ของเพียงท่านอ๋องยินยอมอยู่เคียงข้างข้าตลอดไป ข้ายินดีทำทุกอย่างเพื่อท่าน “
โหยวหนิงพูดไป สองมือก็ค่อยๆ ขยับขึ้นไปอย่างอาจหาญ “ท่านอ๋อง ข้าเคยได้ยินมาว่า ขอเพียงโดนศพมีชีวิตกัดบนลำคอคำหนึ่ง ผู้ที่โดนกัดก็จะกลายเป็นศพมีชีวิต โหยวหนิงยินดีกลายเป็นศพมีชีวิตเพื่อท่าน อยู่เคียงข้างท่านไปตลอด “
นางกล่าวอย่างจริงใจ ในดวงตายังมีประกายน้ำแห่งความยินดี
นางที่ได้แต่กอดหม้อยามาจนโต หมอทั้งหลายต่างก็บอกว่านางอาจมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่กี่ปี หากจะต้องรอความตายอยู่ในตำหนักเย็นเช่นนี้ มิสู้กลายเป็นศพมีชีวิตไปเสียดีกว่า จะได้มีชีวิตยืนยาวต่อไป
พอเห็นว่าจีเย่ว์ไม่มีปฎิกิริยาใดๆ ทั้งไม่ได้ผลักนางออก โหยวหนิงก็รำพึงรำพันต่อไปว่า
“ท่านอ๋องพอได้ทรงฟังเรื่องของเสียนไท่เฟยแล้ว ทั้งไม่ประหลาดพระทัย และไม่มีโทสะ นี่แสดงว่าท่านทราบฐานะของไท่เฟยมาตั้งนานแล้ว และวันข้างหน้าของท่านก็คงจะหนีไม่พ้นเช่นกัน “
” ยามนี้ตู๋กูซิงหลันเองก็ล่วงรู้ฐานะของท่านแล้ว ท่านคิดว่านางจะยินดีกลายเป็นศพมีชีวิตเช่นเดียวกับท่านไหม? “
โหยวหนิงพูดจบแล้ว ก็เอนร่างพิงจีเย่ว์ลงไปทั้งตัวหันลำคอที่ขาวผ่องของตนเองไปยังริมโอษฐ์ของเขา “ท่านอ๋องเพคะ ข้าชอบท่านด้วยใจจริง ข้ายินดีจะอยู่เคียงข้าท่านไปตลอดชั่วชีวิต “
จีเย่ว์ทอดเนตรมองดูลำคอระหงกระจ่างประดุจหยกของนาง ในสมองก็ปรากฎภาพตู๋กูซิงหลันที่งดงามนุ่มนวลขึ้นมา
เขาขมวดคิ้วขึ้น ผลักโหยวหนิงลงไปบนพื้นทันที น้ำเสียงที่กล่าวออกมานั้นเย็นชาอย่างที่สุด ” เจ้าเป็นพี่สะใภ้ของอ๋องเช่นข้า โปรดรู้จักเคารพฐานะตนเองด้วย “
โหยวหนิงล้มลงไปบนลานกว้างอย่างแรง ฝ่ามือกระแทกจนถลอกปอกเปิก นางก็เกรี้ยวกราดขึ้นมาทันที “เช่นนั้นตู๋กูซิงหลันก็เป็นมารดาเลี้ยงของท่าน ไยจึงไม่เห็นท่านรู้จักเคารพตนเองบ้าง? “
จีเย่ว์พระพักตร์เคร่งขรึม “นางไม่เหมือนกัน “
“นางไม่เหมือนกัน! นับตั้งแต่ที่ท่านมาอยู่ในตำหนักเย็นจนถึงตอนนี้ นางไม่เคยมาเยี่ยมเยียนท่านเลยสักครั้ง! ” ท่านก็ยังทนได้อีก! ท่านอ๋อง ท่านรู้หรือไม่ว่านี่เรียกว่าอะไร? เรียกว่า สิ้นคิด! “
ทันทีที่โหยวหนิงกล่าวออกไป ก็ได้ยินน้ำเสียงเย็นชาของสาวน้อยผู้หนึ่งดังมาจากประตูตำหนักเย็น……..