ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 120 เจ้าเดาสิว่านางพูดกับเราว่าอย่างไร?
จีเย่ว์มิได้รอให้ตู๋กูซิงหลันกล่าวคำใดออกมา เขาเผยยิ้มอย่างจืดเจื่อ ” เมื่อสามปีก่อน พระมารดาถึงได้ค่อยๆ กลายเป็นศพมีชีวิต ช่วงก่อนหน้านั้น นางมิได้ต่างจากคนธรรมดาแม้แต่น้อย หลังเปลี่ยนเป็นศพมีชีวิตแล้ว นางก็สูญเสียประสาทสัมผัส ประสาทการรับรส ประสาทการดมกลิ่น จากนั้นก็สูญเสียโลหิตในกายทั้งหมดไป เนื้อตัวเปลี่ยนเป็นเย็นแข็ง ในร่างมีแต่กลิ่นไอความตาย เช่นเดียวกับกลิ่นศพ ทั่วทั้งแคว้นต้าโจวอันยิ่งใหญ่ในเลยจะมีที่ให้ศพมีชีวิตได้อยู่อย่างปกติได้? “
“มีแต่กลายเป็นผู้ครองแผ่นดินแห่งนี้ เปลี่ยนแปลงกฎบัญญัติชี้เป็นชี้ตายทั้งหลาย ถึงจะมีโอกาสรักษาชีวิตรอดไว้ได้ ” จีเย่ว์กล่าวไป ความเจ็บปวดในดวงตาของเขาก็ยิ่งพลุ่งพล่านขึ้นมา “ดังนั้นพระมารดาจึงไม่อาจรอได้อีกแล้ว หากรอไปอีกวันหนึ่ง โอกาสที่นางจะถูกพบว่าเป็นศพมีชีวิตก็ยิ่งมากขึ้น ยามนี้เอง ที่นางตัดสินใจเสียสละเจ้าไป “
และเขา……ก็ไม่ได้ปกป้องนางเอาไว้ให้ดี
จีเย่ว์พูดจบแล้ว ตู๋กูซิงหลันยังคงครุ่นคิดอยู่อีกพักใหญ่ คำพูดของเขาฟังดูคล้ายกับไม่มีปัญหาใดผิดปกติ แต่นางกลับรู้สึกว่ามีบางสิ่งที่ไม่ถูกต้องแฝงอยู่
เสียนไท่เฟย …..คล้ายกับมิใช่บุคคลประเภทที่ทำการใดเพื่อให้ตนได้มีชีวิตสืบต่อไป
นางหรี่ตามอง จดจ้องไปยังจีเย่ว์ไม่คลาย “เจ้าสามารถยืนยันได้หรือว่า คำพูดที่กล่าวกับข้าในวันนี้เป็นจริง ไม่มีโป้ปดแม้เพียงครึ่งคำ? “
จีเย่ว์ยกสองนิ้วขึ้นมาสาบาน “ไม่มีแน่นนอน”
ว่าแล้ว จีเย่ว์ก็ค่อยๆ ลดมือลง เขาแตะลงไปบนถ้วยชาาอุ่นๆ ที่นางรินไว้แต่เพียงเบาๆ ยามนี้ เขายังสามารถรู้สึกถึงไออุ่นจากมันได้เป็นอย่างดี
แต่ไม่รู้ว่า สำหรับตัวเขาแล้วความอบอุ่นนี้ จะคงอยู่ได้นานเพียงไร
สักวันหนึ่งเขาเองก็จะต้องเปลี่ยนร่างกลายเป็นศพไป กลายเป็นปีศาจที่ปราศจากความรู้สึกใดๆ เมื่อถึงยามนั้น นางจะยังคงยินยอมหันมามองเขาบ้างหรือไม่? “
” หลันเอ๋อร์ วันนี้เจ้าได้รู้ฐานะที่แท้จริงของข้าแล้ว เจ้าคิด….รังเกียจข้าบ้างหรือไม่? “
ยามที่ถามคำถามนี้ออกไป หัวใจของเขาก็กระดอนขึ้นลงไม่มีหยุด ทั้งอยากจะรู้คำตอบ แต่ก็กลัวว่าจะได้ยินคำตอบที่ตนเองไม่ต้องการ
ตู๋กูซิงหลันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ตอบว่า ” ที่ผ่านมาตู๋กูซิงหลันย่อมไม่เคยรังเกียจเจ้า “
หัวใจของจีเย่ว์อบอุ่นวาบ แม้กระทั้งดวงตาที่มีแต่ความมืดมิดคู่นั้นยังทอประกายสว่างวาวขึ้นมา
แต่ว่าหัวใจของเขายังไม่ทันจะอบอุ่นดี ก็ได้ยินตู๋กูซิงหลันตอบว่า “น่าเสียดาย ตู๋กูซิงหลันในอดีตคนนั้นได้ตายไปเสียแล้ว ข้าในวันนี้ไม่คิดยึดครองเจ้าอีก ย่อมไม่จำเป็นต้องพูดถึงรังเกียจแล้ว “
จีเย่ว์พลันรู้สึกว่าหัวใจถูกแทงลงไปดาบหนึ่ง ความอบอุ่นที่ได้รับเมื่อครู่สลายไปไม่เหลือสิ่งใดอีก ทำให้เขาเจ็บปวดจนแทบหายใจไม่ออก
นับตั้งแต่ที่นางแต่งให้กับเสด็จพ่อไปในวันนั้น ก็ไม่เหลือหัวใจให้กับเขาอีกแล้วหรือ?
” แต่ว่าอี้อ๋อง ตัวท่านเองเถอะ ได้ฟังโหยวหนิงพูดเรื่องที่พระมารดาของท่านถูกทำร้ายด้วยมือของข้า ท่านไม่เกลียดชัง ไม่เคียดแค้นหรือ? “
จีเย่ว์กุมหัวใจตนเองไว้ “ไม่ว่าเจ้าจะทำสิ่งใด ข้าก็จะไม่โทษเจ้า”
ความทุกข์ทรมานที่นางได้รับนับตั้งแต่เข้าวังมา มีมากมายจนเขาคาดคิดไม่ถึง และทั้งหมดนั้นล้วนเกิดจากฝีมือของพระมารดา แต่เขากลับไม่อาจทำสิ่งใดได้ ถึงวันนี้แม้ต้องเผชิญกับผลลัพธ์ที่เช่นนี้ เขาก็ไม่มีสิทธ์จะไปตำหนินาง ยิ่งไม่มีเหตุผลจะไปชิงชังนาง
เขาได้แต่เกลียดตัวเอง ที่ไม่มีอิสระ ไม่มีอำนาจ
เขาเกลียดที่ตนเองไม่แข็งแกร่งเพียงพอ เกลียดที่ตนเองไม่กล้าลงมือให้เด็ดขาด ไม่อาจทำเพื่อนางโดยไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น
เมื่อตู๋กูซิงหลันได้เห็นเขาเปิดเผยจนหมดสิ้นเช่นนี้ หัวใจของนางก็ถูกความรักความผูกพันของเจ้าของร่างเดิมกระตุ้นความรู้สึกขึ้นมา ทำให้ใจของนางสั่นไหวด้วยความเจ็บปวด
เรื่องราวในโลกล้วนไม่ธรรมดา ต้องถือว่าชะตาฟ้าทำร้ายผู้คน
ยามเมื่อตู๋กูซิงหลันจะจากไป นางมอบน้ำมนต์ให้กับจีเย่ว์ขวดหนึ่ง นั่นเป็นสิ่งที่นางใช้โลหิตของวิญญาณทมิฬวาดยันต์กำเนิดชีวิตขึ้นมา และใช้น้ำค้างมาหลอมรวมจนสำเร็จ
ในโลกมิติก่อนหน้านี้ นำมนต์เช่นนี้มักใช้เพื่อล้างพิษทั้งหลาย ถึงแม้ว่าในวันนี้จะไร้หนทางที่จะสะกดพิษที่อยู่ในสายเดือดของจีเย่ว์ แต่ว่าอย่างน้อยก็ยังสามารถยืดเวลาออกไปได้อีกหลายปี ถือว่าเป็นสิ่งที่นางใช้ทดแทนความรักสุดชีวิตสุดจิตใจของเจ้าของร่างเดิมก็แล้วกัน
……………………………………
ยามที่นางกลับไปถึงพระตำหนักตี้หัวนั้น ท้องฟ้าก็มืดมิดไปหมดแล้ว
แต่ว่ายังสามารถมองเห็นฮ่องเต้ที่ประทับอยู่บนเก้าอี้กุ้ยเฟยของนางได้อย่างชัดเจน ท่ามกลายหิมะน้อยๆ กำลังโปรยปราย เขาเอาแต่จดจ้องดูนางจนเสมือนกับวิญญาณตนหนึ่ง
หากนางกลับมาช้ากว่านี้เพียงเล็กน้อย เขาจะต้องให้ราชองครักษ์ประจำตัว ไปจับตัวนางกลับมาตำหนักเย็นเป็นแน่!
หลี่กงกงยืนอยู่ข้างองค์ฮ่องเต้ คอยถือร่มถวาย สองมือของเขาเย็นแข็งดุจเดียวกับหัวไชเท้าไปแล้ว ทันทีที่มองเห็นไทเฮาน้อยเสด็จกลับมา สองตาก็เขาก็เป็นประกายวิบวับ รีบกราบทูลว่า “ไทเฮาพะยะค่ะ พระองค์เสด็จกลับมาแล้วว~”
หากว่าช้าไปอีกนิดละก็ เขาคงกลายเป็นน้ำแข็งไปแล้ว!
ไม่รู้ว่าฝ่าบาททรงเป็นอะไรไปกันแน่ จะต้องเสด็จลงมาตากหิมะรออยู่ตรงนี้ให้จงได้ ไม่ว่าเขาจะคะยั้นคะยอขอร้องเพียงไรก็ล้วนไม่ได้ผล
ดูเอาถอะ……ตั้งแต่ตอนที่อยู่ในจวนตระกูลตู๋กูแล้วโดนไทเฮาน้อยกระทำเรื่องพรรค์นั้นเข้า……พอกลับมาก็ไม่ยอมห่างจากไทเฮาเลย
” ไทเฮาพะยะค่ะ หมอหลวงซุนได้ส่งยาของวันนี้มาแล้ว น้ำร้อนในพระตำหนักตี้หัวก็ต้มไปถึงห้ารอบแล้ว ยามนี้เพียงแต่รอพระองค์ลงมือผสมเท่านั้น “
ตู๋กูซิงหลันฟังดูคำพูดเหล่านี้แล้วอดจะทำหน้าแปลกๆ ไม่ได้ ว่าไงนะ จะให้นางไปช่วยต้มน้ำหรือไง?
จีเฉวียนสวมใส่ฉลองพระองค์ชุดยาว พระพักตร์ที่สง่างามนั้นมีละอองหิมะเกาะอยู่บางๆ เมื่อตู๋กูซิงหลันเดินเข้าไปใกล้ถึงได้ตรัสว่า “เข้าไปด้านใน”
ทันทีที่มีรับสั่ง หลี่กงกงก็สั่งให้คนเข้ามายกฮ่องเต้ไปทั้งเก้าอี้เข้าไปยังเรือนปีกข้างของพระตำหนัก
ที่นี่เป็นห้องสรงที่จีเฉวียนทรงใช้อยู่เป็นประจำทุกวัน เรียนว่าสระเย่วหัว
สระน้ำจัดสร้างเป็นรูปดอกกุ้ยฮวา (ดอกไม้หอมห้ากลีบ) สามารถให้ผู้คนยี่สิบคนลงแช่น้ำได้พร้อมๆ กัน
ทั้งสี่ด้านล้อมด้วยกำแพงกระจกสีกระทั่งหลังคาก็ยังเป็นกระจกแก้ว ทำให้แสงเดือนและแสงดาวสามารถส่องสว่างลงมาได้ จนทั้่วทั้งห้องสรงดูเรืองรองระยิบระยับ
ภายในสระมีไอน้ำหมุนวน ทั้งยังมีกลิ่นยาสมุนไพรเข้มข้นไม่น้อย
ฮ่องเต้ทรงถอดฉลองพระองค์ตัวนอกออกไป เหลือเพียงฉลองพระองค์ตัวในที่บางและขาวดุจหิมะ ชาววังเข้ามาประคองพระองค์ลงไปในสระน้ำ จากนั้นก็โปรยกลีบดอกกุ้ยลงไปอีกชั้นหนึ่ง ภาพที่ปรากฎเบื้องหน้างดงามเหนือธรรมดายิ่ง
ค่ำคืนนี้ไร้แสงจัทร์ ในห้องจึงจุดเทียนมากมาย ภายใต้แสงสะท้อนกระจกแวววาม ทั่วทั้งสระน้ำเย่วหัวจึงงดงามเหนือบรรยาย
ฮ่องเต้เจ้าชีวิตทรงสนานอยู่ในสระน้ำ พระวรกายตลอดพระองค์อยู่ในน้ำ แต่สระไม่ลึก ไม่ได้ท่วมถึงไหปลาร้าของพระองค์ พระเกศาทั้งหมดถูกปล่อยออกมา ดูราวกับสาหร่ายที่หมุนพันอยู่ในน้ำ ดวงพักตร์ที่งดงามล้ำเลิศนั้นเพราะถูกความร้อนในน้ำเข้า จึงปรากฎสีสันที่ธรรมดาไม่เคยได้เห็นขึ้นมา
ในช่วงเวลานั้นเอง ในสมองของตู๋กูซิงหลันพลันปรากฎคำหนึ่งขึ้นมา — จอมมาร
เจ้าฮ่องเต้ที่น่ารังเกียจผู้นี้ กลับเป็นไอ้หนุ่มที่ได้รับใบหน้าอันล้ำเลิศจากสรวงสวรรค์ ทั้งรูปโฉมและเรือนร่างเช่นนี้ช่างล้ำเลิศนัก เมื่อปลดเปลี้องเครื่องทรงประจำพระองค์ฮ่องเต้ออกไป เหลือเพียงรูปลักษณ์ตามธรรมชาติ ก็ดูเย้ายวนน่ามองไปจนถึงแก่นกระดูก
นางยืนอยู่ที่ริมสระเย่วหัวอย่างไม่รู้ว่าตนเองสมควรจะทำสิ่งใดดี
ไอ้หนุ่มนั่นสั่งให้นางมาคอยรับใช้เวลาแช่ยาตลอดครึ่งเดือนนี้ แต่พอนางมาถึงกลับไม่มีเรื่องใดให้นางต้องลงมือกระทำแม้แต่น้อย จะปล่อยให้นางได้ชมดูพระพักตร์ที่งามล้ำหาใดเปรียบและพระวรกายที่ล้ำค่าดุจทองคำแบบนี้นะหรอ?
หลังจากที่ชาววังทั้งหลายจัดแจงทุกสิ่งเรียบร้อยแล้ว ก็พากันถอยออกไป เพียงชั่วขณะเดียวทั่วทั้งพระตำหนักเย่วหัวก็เหลือเพียงพวกเขาสองคน
ฮ่องเต้ประทับนั่งอยู่ในสระ สองพระหัตถ์พาดอยู่บนขอบสระ ดวงเนตรหงส์ปิดลง ตรัสถามออกมาเบาๆ ว่า ” ไปเจออี้อ๋องมาหรือ? “
ตู๋กูซิงหลัน “อืม”
” เขาทำให้เจ้าลำบากใจหรือไม่”
” ไม่มีหรอก ” ตู๋กูซิงหลันส่ายศีรษะ
เจ้าจัดการพระมารดาของเขาเสียจนเป็นเช่นนี้ เขากลับไม่ตัดพ้อแม้เพียงครึ่งคำ นี่เป็นความรักแท้หรือว่าแสร้งเป็นน่าสงสารกันแน่? “
ตู๋กูซิงหลัน “…..” นี่เขากำลังพูดเรื่องประหลาดอันใดอยู่กันแน่?
ครู่ต่อมา จึงเห็นพระองค์ลืมพระเนตรขึ้น จดจ้องมองนางอย่างตรงไปตรงมา “วันนี้เราได้พบเสียนไท่เฟยอีกครั้ง เจ้าเดาดูสิว่านางกล่าววาจาใดกับเรา? “