ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 124 นางมารที่หุ้มหนังมนุษย์
ตู๋กูซิงหลันรีบกล่าวเสียงเบาว่า ” ฝ่าบาท เป็นพระองค์รับสั่งให้หม่อมฉันถอดรองเท้าถุงเท้าออกให้หมดเอง แถมยังตรัสว่าหม่อมฉันไม่มีความผิด “
วิญญาณทมิฬ “ข้าก็ว่านะ จะอย่างไรเจ้าก็ถือว่าเป็นโฉมงามผู้หนึ่ง ทำไมถึงได้ไม่รู้จักระวังรักษาภาพลักษณ์สักนิดเฮ่อ? “
แต่ว่าอยู่ดีๆ ได้เห็นเจ้าฮ่องเต้สุนัขนั่นถูกรังแกเช่นนี้ มันก็รู้สึกสะใจขึ้นมาเหมือนกัน
” หม่อมฉันก็อยากจะระวังรักษาภาพลักษณ์อยู่เหมือนกัน แต่ว่าร่างกายนี้ซื่อตรงเกินไป ไม่ยอมถูกควบคุมแม้แต่น้อย”
นางพูดพลางก็ถอยหลังไปพลางๆ เดิมทีฝืนๆ อยู่ก็ยังพอได้ไม่หนักหนา แต่ว่าพอสัมผัสถูกยาแช่ตัวของหมอหลวงซุนเข้า ก็ได้เรื่องใหญ่ขึ้นมาเลย
แม้แต่ตัวนางเองยังรู้สึกสกปรกจะแย่
เกรงว่ายามนี้ฮ่องเต้ทรงตั้งพระทัยจะฆ่านางเสียให้ได้แล้ว
พอนางพึ่งจะขยับตัวได้ ก็ถูกจีเฉวียนคว้าข้อเท้าเข้าในทันที ดึงเอาตัวนางทั้งร่างลงไปในสระน้ำ
ตู๋กูซิงหลันไม่ทันระวังตัวก็ล้มก้นกระแทก ก้นกบกระแทกขอบสระ เจ็บจนนางร้องออกมาคำหนึ่ง
น้ำยาในสระเปียกไปทั้งตัว ซึมเข้าเสื้อและกระโปรงของนางจนชุ่มโชก ทันใดนั้นนางก็รู้สึกว่าร่างกายหนักขึ้นเกือบร้อยชั่ง
น้ำในสระลึกเกือบหนึ่งจุดแปดเมตร ถึงใต้เท้าจะมีหินหยกวางอยู่ใกล้ๆ แต่เพราะตัวนางถูกจีเฉวียนคว้าไว้ จึงเหยียบไม่โดนหินหยก คนจมลงไปทั้งตัว ทั้งยังสำลักดื่มน้ำเข้าไปอีกอึกใหญ่
“อะคะๆ …” พอเห็นนางสำลักอย่างรุนแรง จีเฉวียนถึงได้ลากนางไปที่ริมขอบสระ สองหัตถ์โอบเอวของนางไว้ ยกเพียงเบาๆ ก็วางนางลงบนขอบสระได้
ตู๋กูซิงหลันนั่งอยู่บนขอบสระ สองขาแช่อยู่ในน้ำ นางว่ายน้ำไม่เป็น ริมฝีปากแดงเปิดกว้างหอบหายใจเข้าไป
ทั้งที่เห็นว่านางเปียกโชกไปทั้งร่าง จีเฉวียนกลับคว้าเอาขาของนางขึ้นมา ยกชายกระโปรงของนางขึ้น สองพระเนตรมองดูเท้าของนางอย่างเย็นชา
ฝ่าเท้าของนางมีขนาดใกล้เคียงกับความยาวของฝ่าพระหัตถ์ เป็นเท้าของมนุษย์ธรรมดาผู้หนึ่ง
พระองค์ยกพระหัตถ์ขึ้นมา ขูดลงไปบนหลังเท้าของนางรอยหนึ่ง ก็อุ่นๆ นุ่มๆ ดี ให้ความรู้สึกเหมือนผิวหนังมนุษย์
แรงที่ทรงใช้ออกนั้นค่อนข้างหนักมือ หลังเท้าของตู๋กูซิงหลันถึงกับแดงเถือกขึ้นมา นางงงงันอยู่บนขอบสระ ดวงตาดอกท้อปรากฎน้ำตาคลอในทันที
” อืม ก็เหมือนคนทั่วไป ” จีเฉวียนไม่ทันได้สังเกตสนใจ ขณะที่เขาเกาะกุมข้อเท้าของนางเอาไว้นั้น ในใจกลับไม่เกิดความรังเกียจแม้แต่น้อย
” เสียนไท่เฟยพูดอะไร ท่านก็เชื่อหรอ? ” ตู๋กูซิงหลันมีโทสะขึ้นมาบ้างแล้ว นางคิดจะชักเท้าตนเองกลับมา
แต่ว่าพอนางขยับตัว จีเฉวียนกลับกระชับมือเอาไว้แน่น เขาเงยพระพักตร์ขึ้นมอง ก็ทอดพระเนตรเห็นนางทำท่าน่าสงสาร ” นี่เจ้ากลายเป็นคนเจ้าน้ำตาตั้งแต่เมื่อไหร่ เราถูกเจ้าเอาของสกปรกราดรดทั้งศีรษะ เรายังมิได้ร่ำร้องออกมา เจ้าจะร้องไปทำไม? “
หากเขาไม่พูดยังถือว่าแล้วไป พอกล่าวขึ้นมา น้ำตาของตู๋กูซิงหลันก็ไหลพลั่กๆ ออกมาไม่ได้หยุด
ในโลกมิติก่อนนางมีศิษย์น้องที่เป็นบุรุษผู้หนึ่ง ต้องสิ้นชีวิตไปในท้องทะเล นางได้แต่มองดูโดยไม่อาจช่วยชีวิตเขาเอาไว้ได้ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาในใจของนางก็มีความกังวลเรื่องน้ำลึกมาโดยตลอด
เมื่อครู่พอจมลงไปในน้ำ ในสมองของนางก็บังเกิดภาพยามที่ศิษย์น้องผู้นั้นยังมีชีวิตอยู่ขึ้นมา ความเสียใจที่ซุกซ่อนไว้ก็พังทลายออกมาดุจสายน้ำ
พอนางร้องไห้ออกมา ตอนแรกจีเฉวียนเพียงชะงักไปครู่หนึ่ง แต่ครั้งเห็นว่าไข่มุกน้ำตาของนางรินไหลราวกับไม่ต้องการเงินทอง เขาก็ชักจะทำสิ่งใดไม่ถูกแล้ว
” ถ้าเป็นถึงเพียงนี้ เราไม่เอาความเจ้าก็แล้วกัน เจ้า……..อย่าร้องไห้อีกเลย” จีเฉวียนตรัสพลาง ก็กระทำพระองค์ไม่ถูกไปพลาง ผ่านไปอีกพักใหญ่ ค่อยยื่นปลายพระหัตถ์ออกมา ปาดเช็ดน้ำตาให้นางอย่างเบามือ
ปลายพระหัตถ์ของพระองค์มีรอยด้านอยู่ชั้นหนึ่ง พอลูบผ่านหางตาของนาง ก็ทำให้เจ็บนิดๆ
ตู๋กูซิงหลันได้สติกลับมา นางยกมือขึ้นปัดพระหัตถ์ข้างนั้นออกไป พึ่งจะลูบเท้าของนางอยู่หยกๆ …….มาจับหน้าของนางทำไม
” เสียนไท่เฟยยังบอกอะไรกับท่านอีก? บอกว่าข้าเป็นผู้สืบสายเลือดของราชวงค์แคว้นกู่เย่ว์ เป็นปีศาจ ฉางซุนฮองเฮาสิ้นพระชนม์เพราะถูกครอบครัวของข้าทำร้าย คนทั้งตระกูลของข้าต่างก็คิดไม่ซื่อกับท่าน หากเก็บข้าเอาไว้ก็เท่ากับเตรียมสุสานให้ตนเอง? “
แรงที่นางสะบัดมือลงไปรุนแรงเสียจนบนหลังพระหัตถ์ของจีเฉวียนปรากฎรอยแดงขึ้นมาบ้าง พระองค์ประทับยืนอยู่ในน้ำ ตู๋กูซิงหลันนั่งอยู่บนขอบสระ พระเศียรของพระองค์ก็สูงระดับเดียวกับเอวช่วงบนของนางพอดี สตรีผู้นี้ อยู่ดีๆ ทำไมมีโทสะขึ้นมาได้?
ตู๋กูซิงหลันระเบิดอารมณ์พูดออกไปในคราเดียวจนหมด จากนั้นก็จดจ้องมองเขาตรงๆ “ฝ่าบาททรงเห็นว่าข้าเป็นปีศาจหรือไม่? “
สายตาที่มองมาของนางราวกับว่าต้องการจะมองทะลุเข้าไปถึงหัวใจของเขา ดวงตาที่พึ่งผ่านคราบน้ำตามาหมาดๆ ก็ยิ่งสุกสกาวแวววาว นัยตาสีดำก็ยิ่งดูลึกล้ำกว่าเดิม
พระหัตถ์ข้างหนึ่งของจีเฉวียนยังกุมข้อเท้าของนางเอาไว้ ขยับเพียงเบาๆ ก็สามารถกุมเอาไว้ในฝ่ามือได้หมด ความรู้สึกที่นุ่มนวลเป็นพิเศษนั้น คล้ายจะซึมซาบจากฝ่ามือเข้าไปภายในหัวใจของเขา
หากว่าสตรีผู้นี้จะเป็นมารปีศาจ ก็คงจะเป็นนางมารที่ร้ายกาจอย่างยิ่ง! สามารถทำให้เขาเกิดความคิดฆ่าฟันขึ้นมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ว่าสุดท้ายแล้วกลับไม่ได้ทำร้ายนางแม้สักรูขุมขนหนึ่ง
นี่คือนางมารที่หุ้มหนังมนุษย์เอาไว้! ทั้งยังล่อลวงผู้คนได้เก่งนัก!
” เราไม่ได้บอกว่าจะทำสิ่งใดกับเจ้าเสียหน่อย เจ้าทำท่าน้อยอกน้อยใจไปทำไม ” จีเฉวียนมิได้ตรัสตอบนางตรงๆ ” ต่อให้เจ้าเป็นนางมาร เราก็เป็นบุตรมังกรโอรสสวรรค์ มีหรือจะปราบเจ้าไม่ได้? “
” เราเรียกตัวเจ้ามา ก็เพราะต้องการให้โอกาสเจ้าสักครั้ง ให้เจ้าได้พิสูจน์ว่าตระกูลตู๋กูมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสิ้นพระชนม์ของพระมารดา ขอเพียงตระกูลเจ้าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง ต่อไปเราย่อมยอมรับตระกูลของเจ้า “
จีเฉวียนทอดพระเนตรดูนางที่ร้องไห้เสียจนจมูกแดง ปอยผมที่เปียกชื้นลีบติดใบหน้า ยังมีน้ำหยดอยู่มิได้ขาด ท่าทางประหนึ่งสะใภ้ตัวน้อยที่ถูกรังแกอย่างน่าสงสาร ไม่รู้เพราะเหตุใด ดูไปแล้วพาให้เขารู้สึกใจอ่อนขึ้นมา
อยู่ๆ น้ำเสียงของเขาก็เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนลงอีกหลายส่วน แม้แต่พระพักตร์ที่เคยดำดุจก้นหม้อยามนี้ก็อ่อนโยนลงด้วยเช่นกัน “เอาเถอะ อย่ามัวน้อยใจไปเลย “
ตอนนี้ตู๋กูซิงหลันมิได้รู้สึกน้อยใจอันใดเสียหน่อย หัวใจดวงน้อยของนางกำลังสั่นไหวต่างหาก
เมื่อครู่พอคิดถึงศิษย์น้องในโลกมิติโน้นขึ้นมา ถึงได้โศกเศร้าจนน้ำตาไหล ถึงได้เกิดอารมณ์พลุ่งพล่านกล้าถามโพล่งออกไปหลายข้อ
ยามนี้จึงได้แต่รอให้เขาระเบิดอารมณ์ดั่งพายุหิมะขึ้นมา จับนางเตะกระเด็นออกไป
ถึงแม้ว่ายามนี้จะมีสติขึ้นมาแล้ว แต่ทว่าปฏิกิริยาของเจ้าฮ่องเต้สุนัขกลับทำเอานางตระหนกแทบตาย นี่เขากำลังวางแผนจะใช้กับดักแบบนุ่มนวลใช่ไหม เหมือนกับเวลาที่ค่อยๆ ต้มกบในน้ำอุ่นอะไรแบบนั้นหรือ?
เจ้าจิ้งจอกเฒ่าใจดำผู้นี้ ในท้องของเขาย่อมไม่เคยมีน้ำสะอาดมาก่อน นางได้แต่เตรียมป้องกันแล้วป้องกันอีก
จีเฉวียนทอดพระเนตรเห็นท่าทางอเน็จอนาถใกล้ตายของนาง ก็ปวดพระเศียรขึ้นมา
” ช่างเถอะ เจ้ากลับไปเสียก่อน ลองค่อยๆ คิดทบทวนสิ่งที่เราพูดกับเจ้าให้ดี “
จีเฉวียนตรัสแล้วก็รับสั่งให้นางกำนัลสองคนเข้ามา ” เปลี่ยนเสื้อผ้าที่สะอาดให้ไทเฮา”
นางกำนัลทั้งหมดเดินก้มศีรษะเข้ามา แม้แต่เหลือบมองฝ่าบาทเพียงชั่วพริบตาก็ยังไม่กล้า ในใจของพวกนางต่างตื่นตระหนกจนแทบจะกระดอนขึ้นฟ้าอยู่แล้ว แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าถามออกมาแม้สักคำเดียว
พวกนางรีบเข้ามาประคองตู๋กูซิงหลันออกไปจากสระเย่วหัว
จีเฉวียนพิงพระองค์อยู่ที่ริมสระ ทอดพระเนตรมองดูเงาหลังของนางจากไป ค่อยก้มพระพักตร์ลงทอดพระเนตรดูเงาของพระองค์เองในน้ำ………พระพักตร์ที่งดงามนั้นเปลี่ยนเป็นมืดครึ้มอีกครั้ง
ทำไมตอนหลังสถานการณ์ถึงได้กลายเป็นผู้สูงศักดิ์เปี่ยมบารมีเช่นเขาต้องคอยปลอบนางกัน?
ทั้งๆ ที่ผู้ที่โดนกระทำจนสกปรกไปทั้งตัวคือเขาต่างหาก!
ช่างเถอะ…….นางเองก็ดื่มน้ำล้างเท้าตนเองไปอึกหนึ่ง ถือว่าเสมอกันไป
………………………………..
ที่สระเย่วหัว ตู๋กูซิงหลันพึ่งจะเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อบก็ออกมาที่ด้านข้างของตำหนัก บังเอิญได้พบกับท่านราชครูเข้าพอดี
เขายังคงสวนชุดสีม่วงตลอดทั้งตัว ใบหน้างดงามดุจภาพวาด รูปร่างยังคงเป็นหมูสามชั้นเช่นเคย
ยามเมื่อพบเห็นตู๋กูซิงหลันเข้า หว่างคิ้วของเขาก็ยังเรียบนิ่ง เขาถวายคำนับนางครั้งหนึ่ง “ถวายพระพรไทเฮา ขอทรงพระเกษมสำราญ “
ตู๋กูซิงหลันก้มศีรษะรับคำนับจากเขา นางกวาดตามองดูครั้งหนึ่ง ก็เห็นบนนิ้วหัวแม่มือของเขามีแหวนหยกที่ดูคุ้นเคยอย่างมาก
เหมือนกับแหวนหยกที่จีจวนเคยมอบให้นางอย่างไรอย่างนั้น
ท่านราชครูเห็นนางมองอย่างพิจารณา ก็คลี่ยิ้มบางๆ สอดมือเข้าไปในแขนเสื้อ ” เมื่อยามเยาว์วัยฝ่าบาททรงประทานให้กระหม่อมเป็นของขวัญ เมื่ออยู่เบื้องพระพักตร์ไทเฮาก็เป็นที่น่าขายหน้าแล้ว “