ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 127 อาหลัน
ตู๋กูซิงหลันเองก็มีสีหน้าเหวอไปแล้ว ….นางแทบจะอยากเรียกจิตวิญญาณที่ยังหลงเหลืออยู่ของเจ้าของร่างเดิมออกมาซักถามเสียเดี๋ยวนี้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ที่แท้คือคนงามต่างก็ชอบเล่นกุ๊กกิ๊กกับคนงามด้วยกันใช่ไหม?
ผู้อื่นต่างก็อ้ำอึ้งไปตามๆ กัน ท่ามกลางสายตาผู้คนหลายคู่ กุ้ยเฟยกลับแสดงออกเช่นนี้……ไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่กระมั้ง?
“องค์หญิงใหญ่เพคะ กุ้ยเฟยเพคะ พวกท่านจำคนผิดไปแล้วหรือไม่ นางเป็นแค่นางกำนัลคนหนึ่งเท่านั้น! ” อันหว่านจือชักร้อนรนขึ้นไปอีก “นังบ่าวไพร่ผู้นี้ ยังคิดจะเอางูพิษมากัดหม่อมฉันด้วยนะเพคะ! “
พอนางกล่าวออกไป ผู้คนทั้งหลายต่างก็หันไปมองดูเจ้าไก่ขนฟูที่อยู่ข้างตัวตู๋กูซิงหลัน
อุ้งเท้าของเจ้าไก่ขนฟูยังคงยังคงคีบเจ้างูสีแดงตัวนั้นเอาไว้ งูตัวนั้นเองก็ใกล้จะตายมิตายแหล่ หายใจร่อแร่เต็มทน
เล่าลือกันว่าไทเฮาและหยวนเฟยสนิมสนมกันมาก งูตัวนั้นอาจจะเป็นนางได้รับมาจากหยวนเฟย เพื่อก่อเรื่องร้ายบางประการก็เป็นได้?
ตู๋กูซิงหลันได้ยินดังนั้นก็หัวเราะออกมา “เรื่องที่เราไม่เคยกระทำมาก่อน เจ้ากลับพยายามยกขึ้นมากล่าวหาว่าเราทำ ถ้าเช่นนั้นไยเราจึงไม่ทำไปเสียเลยละ จะได้ไม่เสียน้ำใจเจ้า “
พอนางพูดจบก็หันไปสบตากับเจ้าไก่ขนฟูนั้นครั้งหนึ่ง เจ้าไก่ขนฟูก็ใช้เท้าของมันสะบัดออกไป โยนเจ้างูตัวนั้นเข้าใส่อันหว่านจือ
เจ้างูได้รับความตระหนกมาแต่แรก อีกทั้งบนร่างของอันหว่านจือก็มีกลิ่นโลหิตสด มันจึงอ้าปากกัดเข้าที่แขนของนางไปคำหนึ่ง
อันหว่านจือกรีดร้องขึ้นมาครั้งหนึ่ง ริมฝีปากของนางก็เปลี่ยนเป็นสีม่วงไปในทันที นางรีบล้วงเอาขวดใบหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ เทเม็ดยาสีขาวออกมาจากด้านใน กลืนยาเม็ดนั้นลงไปต่อหน้าต่อตาผู้คนทั้งหลาย
เพียงไม่นานริมฝีปากของนางก็เปลี่ยนกลับเป็นสีเดิมตามธรรมชาติอีกครั้ง
” อ๋อ? นี่ยังพกยาแก้พิษงูเอาไว้เองอีกด้วยหรือ? ” ตู๋กูซิงหลันหัวเราะเสียงเย็นชา
ที่จริงแล้วถึงนางจะไม่พูดออกมา ผู้คนทั้งหลายต่างก็รู้แล้ว นี่มันชัดเจนเลยว่าเป็นอันหว่านจือก่อเรื่อง งูนี้เป็นฝีมือของนางเอามาปล่อยที่ตำหนักเฟิ่งหมิง
เมื่อเห็นเช่นนี้ ซูกุ้ยเฟยก็ระเบิดโทสะแรงกล้าออกมา นางหันกลับไปจ้อง และตะคอกใส่เสียงดัง ” อัน! หว่าน! จรือ! “
อันหว่ายนจรือพึ่งจะเคยถูกซูกุ้ยเฟยเรียกนางทั้งชื่อแซ่เป็นครั้งแรก นางตระหนกเสียงจนสองขาอ่อนแรง “พระสนม หม่อมฉัน…..”
” เจ้าคิดจะกระทำสิ่งใดกับอาหลัน? ” รังสีโทสะของนางยังคงไม่ลดลงแม้แต่น้อย เดิมทีนางก็มีแรงดึงดูดมากอยู่แล้ว พอคราวนี้ยิ่งมามีโทสะเพิ่มขึ้นไปอีก แก้มทั้งสองบนใบหน้าก็ยิ่งมีสีสันเข้มขึ้นมาอีกขั้น
ขอเพียงเป็นหญิงงาม ถึงแม้ว่าจะมีโทสะขึ้นมา จะอย่างไรก็ยังหน้าดู
เพียงแต่เมื่อได้ยินคำเรียกหาว่าอาหลันเข้า ตู๋กูซิงหลันก็รู้สึกขนอ่อนลุกชันขึ้นมาทันที พลันคิดไปถึงคนผู้หนึ่ง
ความสัมพันธ์ของเจ้าของร่างเดิมและซูเหม่ย ถึงกับใกล้ชิดสนิทสนมกันจนถึงขนาดเรียกหากันเช่นนี้เชียวหรือ?
” หม่อม หม่อมฉันไม่ทราบเลยเพคะ พระสนม หม่อมฉันเติบโตในป่าเขามาตั้งแต่เล็ก จึงมักพกพายาแก้พิษติดตัวเอาไว้ เอาไว้กับตัว นี่ไม่ใช่เรื่องปกติหรอกหรือ? ” อันหว่านจือแก้ตัวไปขุ่นๆ เวรกรรมเข้าแล้ว นางไหนเลยจะคาดคิดว่า นางกำนัลที่ปล่อยผมกระเซอะกระเซิงที่บังเอิญพบหน้ากันครั้งแรกในพระตำหนักเฟิ่งหมิงจะกลายเป็นไทเฮาไปได้?
นี่นะหรือ คือยอดสตรีอันดับหนึ่งของแคว้นต้าโจว?
ผู้คนทั้งหลายต่างตาบอดกันไปหมดแล้วหรือไม่! “
” ก็คงใช่ เป็นเรื่องปกติ ” ปอยผมของตู๋กูซิงหลันเปิดออกให้เห็นใบ นางจดจ้องอันหว่านจืออย่างตรงๆ คลี่ยิ้มเย็นชาให้นาง
แต่ว่ารอยยิ้มนี้ แทบจะทำให้วิญญาณของอันหว่านจือหลุดลอยออกไปแล้ว
ตั้งแต่ที่นางได้พบคนงามเช่นซูกุ้ยเฟย เมื่อนางไปเห็นสตรีอื่น ก็รู้สึกว่าดูธรรมดาเหลือเกิน ไม่ต้องตาแม้แต่น้อย
แต่ว่าสตรีที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้ ………พอได้สบตากับนางแล้ว ถึงกับทำให้ลมหายใจของนางสะดุด
เพียงแค่ได้เห็นสายตาคู่นั้นก็บังเกิดแรงกดดันที่ไม่อาจต่อต้านได้ ทำให้นางชะงักอยู่กับที่ สองขาหนักขึ้นจนไม่อาจขยับ
ตู๋กูซิงหลันเดิมมาถึงเบื้องหน้านาง ยื่นมืออกมาเชยใบหน้านางขึ้น อันหว่านจือก็พลันรู้สึกว่าสองขาไร้เรี่ยวแรง ร่างกายแทบจะทรุดลงไปกอง
ตู๋กูซิงหลันยังไม่ปล่อยมือ เพียงแต่จดจ้องนางละเอียด พิจารณาดูใบหน้านั้นทั้งซ้ายและขวา
อืม ถือว่างดงามปราณีตไร้ตำหนิ
ตอนแรกอันหว่างจรือนึกว่านางคิดจะทำลายโฉมของตน ในใจทั้งกรุ่นโกรธทั้งหวาดกลัว ได้แต่จดจ้องนางแต่ไม่กล้าขยับ หากว่านางกล้าแตะต้องใบหน้าของตนเองแม้เพียงนิดเดียว ต่อให้นางเป็นถึงไทเฮา ตนก็จะไม่ละเว้นนางเด็ดขาด!
ถึงแม้ซูกุ้ยเฟยจะไม่ยอมออกหน้าให้นาง นางก็ยังมีท่านย่าอยู่!
จะว่าไป นางเคยได้ยินมานานแล้วว่า ฝ่าบาททรงชิงชังตระกูลตู๋กู และรังเกียจไทเฮา นี่ก็พึ่งจะยอมปล่อยนางออกมาจากตำหนักเย็นได้ไม่นานเอง นางกลับกล้ากำแหงถึงเพียงนี้ ช่างไม่รู้จักดูน้ำหนักของตนเองว่ามีเท่าใด แม้แต่คนเช่นตนก็กล้าแตะต้อง?
องค์หญิงใหญ่และซูกุ้ยเฟยมองดูอยู่ที่ด้านข้าง ต่างก็มิได้ยื่นมือขัดขวางตู๋กูซิงหลัน อันหว่านจือขวัญกล้าบังอาจปล่อยงูพิษเข้ามาในตำหนังเฟิ่งหมิง สาวน้อยนางนี้ย่อมมิใช่ตัวดีแน่
ไม่ว่าตู๋กูซิงหลันจะสั่งสอนนางเช่นไร ก็ไม่นับว่าเกินเลยไป
แต่ว่า ตู๋กูซิงหลันเพียงแต่จับใบหน้าของนางดูอยู่นานสองนาน ค่อยหัวเราะออกมาคำหนึ่ง ” ขี้ผึ้งทาปากของเจ้าสีสวยดี”
สีแดงเข้ม ดุจกลีบกุหลาบหยาดเยิ้มปานจะหยดลงมา
ในโลกมิติก่อนนั้นฉากหน้าของตู๋กูซิงหลันคลุกคลีอยู่ในวงการภาพยนต์ ยามว่างนางก็ชอบสะสมลิปสติก แต่เมื่อมาถึงโลกนี้กลับยังไม่มีโอกาสได้แต่งหน้า
แคว้นต้าโจวไม่มีขี้ผึ้งทาปาก เหล่าสตรีต่างใช้ดอกไม้สดหรือไม่ก็ไขมันสัตว์บางชนิดทาปาก จึงไม่ค่อยได้เห็นว่าจะมีสีแดงที่สดเข้มขนาดนี้
แดงดุจเลือดทีเดียว
อันหว่านจือชะงักไปครู่หนึ่ง ” นั่น….นั่นย่อมแน่นอน….”
ขี้ผึ้งทาปากของนางทำขึ้นอย่างปราณีตบรรจง ใช่ส่วนผสมเช่นเดียวกับที่ฉางซุนฮองเฮาเคยโปรดปราน ซึ่งแม้แต่พระสนมในวังทั้งหลายต่างก็ไม่มีคุณสมบัติจะได้ใช้
อย่าว่าแต่…..คนที่ฝ่าบาทเองก็ไม่ทรงโปรด ยัยแม่ม่ายที่พึ่งจะได้ออกมาจากตำหนักเย็น!
” อาหลัน หากว่าเจ้าชมชอบขี้ผึ้งมาปาก ที่ตำหนักของข้ามี
ให้เจ้าเลือกมากมาย ไยจะต้องไปสนใจของนางด้วย? ” ซูกุ้ยเฟยเห็นตู๋กูซิงหลันยังคงเชยคางของนางไว้ ก็เดินเข้ามาใกล้ เกาะกุมมือทั้งคู่ที่นุ่มนวลดุจหนังแกะของนาง ลูบไล้นิ้วโป้งที่ขาวสะอาดนั้น หัวคิ้วขมวดมุ่น
” ข้าพึ่งจะได้รับสีผึ้งทาปากชุดใหม่จากร้านหนานเยี่ยน หากว่าไทเฮาทรงโปรด กลับไปข้าจะรีบส่งมาถวาย” องค์หญิงใหญที่อยู่ด้านข้างรับสั่งออกมา
ถึงแม้ว่าระหว่างนางและตู๋กูจุนจะมีหนี้แค้นชีวิตสามี แต่ว่าตู๋กูซิงหลันเคยช่วยชีวิตซุ่นเอ๋อร์เอาไว้ นางติดค้างบุญคุณอันยิ่งใหญ่นี้อยู่ นางสนใจเพียงตัวบุคคล บุญคุณและความแค้นแบ่งแยกชัดเจน
ตู๋กูซิงหลันคลี่ยิ้มบางเบา ค่อยปล่อยมือที่จับใบหน้าอันหว่านจือเอาไว้
อันหว่านจือเมื่อเป็นอิสระ ก็ถอนใจออกมาคำหนึ่งค่อยตอบว่า “ไทเฮาเพคะ เมื่อครู่เพียงเกิดความเข้าใจผิดกันเท่านั้น หากว่าทรงโปรด หม่อมฉันจะส่งมาถวายพระองค์สักหน่อยก็ได้ “
เป็นถึงไทเฮาของประเทศ แต่กลับยากจนถึงขนาดที่แม้แต่ขี้ผึ้งทาปากยังไม่เคยเห็น ทั้งยังต้องไปเอามาจากผู้อื่นอีก หึ
อันหว่านจือพึ่งพูดจบ ซุ่นเอ๋อร์ก็เขย่ากระโปรงของตู๋กูซิงหลันกล่าวว่า “ท่านย่าน้อย ท่านสวยงามขนาดนี้ ไม่จำเป็นต้องทาๆ ถูๆ อะไรแม้แต่น้อย อาอี้ท่านนี้หน้าตาไม่ค่อยดี ถึงต้องทาถู”
อันหว่านจือถลึงตาใส่ซุ่นเอ๋อร์ครั้งหนึ่ง นังเด็กน้อยนี่ ช่างไร้การอบรมแม้แต่น้อย ยังจะสมควรเป็นเชื้อพระวงค์ฝ่ายหญิงได้อีกหรือ?
อาอี้? นางพึ่งจะอายุสิบแปดเท่านั้น สมควรจะต้องเรียกว่าพี่สาวต่างหากสิ
นางได้แต่กรอกตาบนอยู่ในใจ ใบหน้ายังมีรอยยิ้มอยู่บ้าง “ท่านหญิงน้อย เจ้ายังเล็ก ย่อมไม่เข้าใจ เป็นสตรีย่อมต้องใส่ใจการแต่งตัวแต่งหน้า จึงจะมีบุรุษมาชื่นชอบ เอาไว้เจ้าโตขึ้นก็จะรู้เอง”
” เอ๋? จริงหรือ? ” ซุ่นเอ๋อร์โยกศีรษะไปมา ” แต่ว่าท่านย่าน้อยไม่เห็นต้องแต่งหน้า เสด็จน้าฮ่องเต้ก็โปรดปรานนางออก “
อันหว่านจือ “………” นังเด็กน้อยนี่หากว่าไม่ใช่ท่านหญิงน้อย นางจะจับตบให้ตายไปเสีย!
ฝ่าบาทโปรดปรานนาง?
นอกจากว่ามีใบหน้าน่าดูแล้ว อย่างอื่นก็หารสชาติไม่ได้สักนิด
ฝ่าบาทไม่ได้พระเนตรบอด ย่อมต้องทรงทราบดี สตรีเช่นนางต่างหากจึงนับว่ายอดเยี่ยม