ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 129 จิ้งจอกจอมวุ่น
ซูเหม่ยหันมามองดูหยวนเฟยแวบหนึ่ง เห็นนางสวมใส่เสื้อผ้าของสตรีนอกด่าน บุคคลิกท่าทางดังนางมารน้อย นางก็ยกยิ้มมุมปาก “พูดเสียอย่างกับว่าฝ่าบาทไม่ใช่สวามีของเจ้าเช่นกัน “
หยวนเฟย “……” ก็ไม่เคยเข้าหอกันสักหน่อย จะนับว่าเป็นสวามีได้ที่ไหนกัน
อย่าว่าแต่ ทรวงอกของฝ่าบาทไม่มีขน ไม่ใช่บุรุษแบบที่นางชื่นชอบ!
ในสมองของตู๋กูซิงหลันเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม ทำไมนางถึงได้รู้สึกว่าบรรยากาศตอนนี้ยิ่งทียิ่งแปลกๆ ไปแล้ว?
พวกเจ้าช่วยเรียนรู้จากเต๋อเฟย ฉีผิน เหลียนไฉเหริน สามคนนั้นหน่อย แก่งแย่งภายในวังกันให้เต็มที่จะได้ไหม?
เจ้าฮ่องเต้สุนัขนั่นทำผิดอะไร ถึงได้ถูกพวกเจ้าพากันรังเกียจเช่นนี้?
ดูหน้าตา ดูรูปร่าง ดูฐานะที่เป็นถึงฮ่องเต้แล้ว ก็นับว่าเพียงพอต่อการจะให้พวกเจ้าแย่งชิงความโปรดปรานได้อยู่นะ! อ๋อ……เกือบจะลืมไปเสียแล้วว่าที่จริงฉีผินได้ทูลขอลาออกไปเป็นแม่ชีด้วยความเต็มใจแล้ว เหลียนไฉเหริน…… ร่างของนางช่วงนี้ก็ถูกเสี่ยวลี่ยึดเอาไว้แล้ว
คนที่ตั้งใจจะต่อสู้ในวังก็เหลือแต่เต๋อเฟยคนเดียว แต่ว่าก็เข้าตำหนักเย็นไปแล้ว
พูดไปแล้ว นางก็ไม่ได้พบหน้าเสี่ยวลี่มานานแล้วนะ
ส่วนบรรดาลูกสะใภ้คนอื่นๆ ส่วนใหญ่ก็เป็นแค่หญ้าบนกำแพงที่แทบจะไม่รู้สึกถึงการคงอยู่ เป็นแค่พวกแนวหลังที่มาเสริมบรรยากาศ ยามปกติก็ไม่สามารถวาดลวดลายใดๆ ได้
แต่ว่าวาจาของซูเหม่ยยังไม่หมดเพียงเท่านั้น “ฟังมาว่า ช่วงที่ข้าไม่อยู่ เจ้าสนิทสนมกับอาหลันมาก ต้องขอบใจเจ้ามากที่ช่วยดูแลอาหลัน “
” กริยาท่าทางดั่งปีศาจน้อย ข้าก็รู้สึกคุ้นเคยอยู่บ้าง แต่ว่าน่าเสียดาย หากว่าจะเอาเจ้ามาเปรียบเทียบกับข้าแล้วละก็ ในหัวใจของอาหลัน ข้าย่อมสำคัญกว่า “
หยวนเฟย “??? “
อะไรกัน ท่าทีที่คำก็อาหลัน สองคำก็อาหลันแบบนั้น คิดจะประกาศความเป็นเจ้าของอย่างชัดเจนงั้นสิ
เจ้าวิญญาณทมิฬทั้งล้วงทั้งแคะจมูก “บอกมาเถอะ เจ้าตัวนี้ตกลงแล้วเป็นฝีมือของเจ้าที่ไปหว่านเสน่ห์เอาไว้ตั้งแต่ที่ไหนเมื่อไหร่? “
ตู๋กูซิงหลัน ” เจ้าว่าในโลกใบนี้ ผู้ที่เอาแต่เรียกข้าว่า อาหลัน จะมีใครบ้าง? “
วิญญาณทมิฬสายตาเป็นประกาย ” เฮ้ย! เป็นไปไม่ได้มั้ง? เจ้าแก่ขี้เมาอาจารย์ของเจ้า จะข้ามมิติมาแล้วกลายเป็นสตรี? “
แต่คิดๆ ดูแล้วเจ้าแก่ซื่อม่อก็ไม่มีท่างทำท่ากระตุ้งกระติ้งแบบนี้ได้……..
ตู๋กูซิงหลัน ” สมองของเจ้าคิดไปได้ไกลนัก”
นางเพียงแต่คิดถึงจิ้งจอกน้อยตัวหนึ่ง ที่เคยเลี้ยงเอาไว้ในสวนกุหลาบของหุบเขาปีศาจตัวนั้น เลี้ยงไปเลี้ยงมาก็เกือบสิบปี
แต่อยู่มาวันหนึ่งก็หายตัวไป นางตามหาอยู่เป็นนาน แต่ว่าก็ไม่เคยได้พบอีกเลย
และก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร พอได้เจอกับซูกุ้ยเฟย ได้กลิ่นหอมที่มาจากร่างของนาง ทำให้อยู่ดีๆ ก็คิดถึงเจ้าจิ้งจอกในโลกนั้นขึ้นมา
วิญญาณทมิฬนิ่งงันไปอีกครู่ใหญ่ ” แม่เจ้า! หรือว่าเจ้าจิ้งจอกนั้นข้ามมิติมาแล้วกลายเป็นสตรีไป? “
ตู๋กูซิงหลัน “…….”
วิญญาณทมิฬพยายามดึงสติของมันกลับมา มันนวดหัวนวดขมับตนเองใหญ่ “ขอโทษทีนะ นอกจากหน้าตาดุจปีศาจสาวที่ยั่วยวนอยู่บ้าง ตลอดทั้งร่างของนางไม่มีกลิ่นอายมารแม้แต่น้อย ดูอย่างไรก็เป็นมนุษย์แท้ๆ ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าจิ้งจอกจอมวุ่นวายนั่น มันเป็นตัวผู้ชัดๆ! “
ประเด็นนี้ละที่ทำให้ตู๋กูซิงหลันรู้สึกสับสนเข้าไปใหญ่ หากจิ้งจอกจะกลายเป็นคน ก็ต้องเริ่มจากการเป็นปีศาจก่อน ซูปุ้ยเฟยเป็นมนุษย์แน่ๆ เพราะแม้แต่นางยังไม่รู้สึกถึงไอปีศาจใดๆ
ยิ่งไปกว่านั้น…….ที่นี่เป็นคนละโลกกัน นางจะเป็นจิ้งจอกน้อยได้อย่างไร
พอเห็นว่าหลี่กงกงที่กั้นศึกระหว่างหยวนเฟยกับซูกุ้ยเฟย ใกล้จะร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อ
ตู๋กูซิงหลันถึงได้หันไปกล่าวกับซูกุ้ยเฟยว่า ” ในเมื่อเป็นฝ่าบาทเรียกให้เข้าเฝ้า พระสนมเอกก็ควรที่จะไปเสียก่อน ข้าอยู่ที่ตำหนักเฟิ่งหมิง เจ้าสามารถมาได้ทุกเมื่อ “
คราวนี้หยวนเฟยถึงกับยิ้มออกมาได้บ้าง หันไปกล่าวกับซูกุ้ยเฟยว่า “ดูสิ กระทั่งไทเฮายังทรงรับสั่งเช่นนี้ พระสนมเอกควรรีบเสด็จไปเถอะเพคะ อย่าให้ฝ่าบาทต้องทรงรอนาน “
สีหน้าของซูกุ้ยเฟยหนักอึ้ง หันมาถลึงตาใส่นางครั้งหนึ่ง
แต่พอหันกลับไปมองดูตู๋กูซิงหลันดวงตาก็เป็นประกายระยิบระยับราวลูกแก้ว “อาหลัน งั้นเจ้ารอข้านะ “
พอตู๋กูซิงหลันพยักหน้าติดๆ กัน ถึงได้เห็นว่าซูกุ้ยเฟยค่อยๆ ติดตามหลี่กงกงไป เดินก้าวหนึ่งก็หันมามองนางสามรอบ ราวกับว่าเสียดายอย่างที่สุด
รอจนกระทั่งนางค่อยๆ เดินจากไปไกลแล้ว ท้องฟ้าก็เปลี่ยนเป็นมืดสนิทมากแล้ว
ทางด้านหยวนเฟยนั้น นางยอมปล่อยให้องค์หญิงใหญ่และตู๋กูซิงหลันพูดคุยกันได้โดยไม่ขัดขาง นางถอยออกไปอย่างไม่รอช้า กระทั่งเดินไปจนไกลแล้วถึงได้หันมาถลึงตาค้อนตู๋กูซิงหลันคราหนึ่ง
………………………………..
ณ ตำหนักชางอู๋
ที่นี่ไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่มานานแล้ว แต่หลายวันนี้เพื่อต้อนรับการกลับมาจากการไปเฝ้าสุสานที่เขาจงหลิงของอันหร่วนกูกู ทั่วทั้งตำหนักชางอู๋ถึงได้ครึกครื้นขึ้นมา
นางกำนัลที่มีหน้าที่ทำความสะอาดหลายคนกำลังสนทนากันภายในสวนอย่างสนุกปาก
“ตำหนักชางอู๋เป็นที่พำนักของพระสนมในอดีตฮ่องเต้ แต่ทำไมตอนนี้ถึงได้กลายเป็นที่อยู่ของบ่าวไพร่คนหนึ่งไปเสียแล้ว? “
” บอกแล้วว่าเจ้าไม่รู้อะไร อันหร่วนกูกูผู้นั้น ไหนเลยจะเป็นเพียงบ่าวไพร่ธรรมดาไปได้? ”
” ตระกูลเดิมของอันหร่วนกูกูนับเป็นคนในราชวงค์เก่ามาก่อน นางมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมกับฉางซุนฮูหยินผู้เฒ่า ต่อมาพอราชวงค์เก่าถูกโค่นลง ฉางซุนฮูหยินผู้เฒ่ากันรับตัวอันหร่วนไว้ อีกทั้งยังให้นางเป็นแม่นมของฉางซุนฮองเฮาอีกด้วย “
” เช่นนั้นอันหร่วนกูกูผู้นี้ จะอย่างไรก็ถือว่าเกิดในเชื้อพระวงศ์น่ะสิ ยิ่งกับฉางซุนฮองเฮาแล้วผูกพันกันดั่งมารดาและบุตรสาว แม้แต่ฮ่องเต้ของพวกเรา นับตั้งแต่ประสูติออกมาในนาทีแรกก็ล้วนเป็นนางคอยดูแล เป็นพระพี่เลี้ยงของโอรสสวรรค์ ฐานะเช่นนี้ของนางนับว่าไม่ต่ำต้อยไปกว่าพระสนมคนใดในวังนี้เลย “
” เพราะฉะนั้นนะ ก่อนหน้านี้ในวัง แม้แต่เหล่าพระสนมของอดีตฮ่องเต้ยังต้องเรียกนางว่า กูกู (ท่านอา) “
” แต่ว่า…. ข้าอยู่ในวังมาตั้งนาน ทำไมถึงไม่เคยได้ยินชื่ออันหร่วนกูกูมาก่อนเลย? “
” ไอ้หยา ยังไม่ใช่เพราะฉางซุนฮองเฮาเสด็จสวรรคตไปนานแล้ว พอฮองเฮาของตนสิ้นไป อันหร่วนกูกูก็ทูลขออดีตฮ่องเต้พระราชทานอนุญาต ให้นางได้ไปเฝ้าพระสุสานของฮองเฮาที่เขาจงหลิง ไปครั้งเดียวกลับยาวนานถึงสิบแปดปี “
“สวรรค์ช่วย เช่นนั้นกูกูท่านนี้ พวกเราก็ไม่อาจล่วงเกินได้เลยนะสิ “
” ยังจะไม่ใช่อีกหรือ ไม่ใช่แค่นั้นนะ พอฝ่าบาทขึ้นครองราชย์ ก็มีรับสั่งให้ซูกุ้ยเฟยไปรับตัวอันหร่วนกูกูกลับมาด้วยตนเอง พวกเจ้าว่า นี่ยังไม่นับว่าเป็นการให้เกียรติอย่างยิ่งอีกหรือ? “
ขณะที่พวกนางยังคงถกเถียงกัน ก็เห็นอันหว่านจือกลับเข้ามาแล้ว
นางพกเอาโทสะกลับมาจากตำหนักของตู๋กูซิงหลัน เดิมทีก็ไม่สบอารมณ์อยู่แล้ว พอตอนนี้ยิ่งได้ฟังพวกนางกำนัลแอบวิพากย์วิจารณ์ท่านย่าลับหลัง โทสะก็ลุกโหมขึ้นในทันที “พวกเจ้าแต่ละคนคันลิ้นมากนักใช่ไหม? ไม่อยากจะมีไว้ใช้อีกแล้วสินะ? “
นางกำนัลทั้งหลายเห็นนางเข้าก็พากันตกอกตกใจ ต่างคนต่างถอยไปอีกด้านหนึ่ง
อันหว่านจือเห็นแบบเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายประจำตัวของพวกนาง ก็คิดไปถึงตู๋กูซิงหลัน อารมณ์ของนางก็ยิ่งรุนแรงขึ้นมา “พวกของชั้นต่ำ ท่านย่าของข้าใช่ที่พวกเจ้าจะมาวิจารณ์กันได้หรือ? “
นางด่ากราดออกมา ก็เดินดุ่มเข้าหา พอยื่นมือออกไปก็ตบหน้านางกำนัลเหล่านั้นคนละหลายรอบ แค่นั้นยังไม่อาจถอนอารมณ์โกรธได้ ก็ตวัดเท้าเตะออกไปอีกหลายที จนนางกำนัลทั้งหลายล้มลงกับพื้นลุกไม่ขึ้นอีก แต่ละคนต่างร้องขออภัยนางด้วยความหวาดกลัว
ถึงตอนนี้ อันหว่านจือจึงค่อยๆ สงบโทสะลงได้
นางพึ่งจะเข้าวังมาวันแรกก็ถูกรังแกถึงเพียงนี้ หากไม่หาผู้ใดมารองรับอารมณ์บ้าง นางย่อมไม่อาจกล้ำกลืนโทสะลงไปได้
ยามนั้นเอง มีสตรีม่ายผมขาวผู้หนึ่งก้าวออกมาจากในตำหนักชางอู๋ นางสวมชุดสีม่วงที่เรียบหรู เกล้าผมเป็นมวยสูง หากเป็นยามที่ยังอายุน้อยเชื่อว่าจะต้องเป็นโฉมงามผู้หนึ่งเป็นแน่ ถึงวันนี้จะมีริ้วรอยแล้ว แต่ริ้วรอยที่ลึกเข้มเหล่านั้นก็ส่งเสริมให้นางดูน่ายำเกรงยิ่งขึ้น
พออันหว่านจือเห็นนางเข้า ก็ทำท่าน้อยอกน้อยใจวิ่งเข้าไปกอดเอวของนางเอาไว้ ร่ำร้องว่า “ท่านย่าเจ้าขา~ “
อันหร่วนเหลือบตามองดูนางครู่หนึ่ง ก็ขมวดคิ้วขึ้นมา คราวนี้แม้แต่รอยย่นบนหน้าผากก็ลึกขึ้นอีก “อีกไม่กี่วันก็จะเป็นวันสำคัญที่ฝ่าบาทจะทรงคัดเลือกนางสนมแล้ว เจ้าทำไมถึงได้ทำตนเองจนมีสถาพเช่นนี้? “
” ยังไม่ใช่เพราะ….” อันหว่านจือยังไม่ทันพูดจบ ก็หันมากวาดตามองดูพวกนางกำนัลที่คุกเข่าอยู่บนพื้น ก็เข้าไปประคองอันหร่วนเข้าไปในเรือน เมื่อปิดประตูลงเรียบร้อยนางถึงได้พูดต่อว่า