ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 130 นางเป็นนางโจร
“ก็ยังจะไม่ใช่นังตู๋กูซิงหลัน กับซูเหม่ยอีกรึ! ” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเปี่ยมอารมณ์ กุมใบหน้าครึ่งหนึ่งที่ถูกตบมาด้วยความเจ็บปวด ” พวกนางล้วนอิจฉาในรูปโฉมของข้า ไม่อยากเห็นข้าได้รับความสนใจจากฝ่าบาทยามคัดเลือกนางสนม ถึงได้มารังควาญตบตีข้า! “
พอฟังแล้ว อันหร่วนก็ขมวดคิ้วขึ้นมาอีกครั้ง ข้าเคยบอกเจ้าแล้วไง อยู่ในวังไม่เหมือนกับที่ภูเขาจงหลิง เจ้าไม่อาจทำตามใจชอบได้ หากว่าเจ้าไม่ไประรานพวกนางก่อน พวกนางจะมาทำร้ายเจ้าได้หรือ? “
” ท่านย่าเจ้าคะ ท่านทำไมถึงได้พูดจาเข้าข้างคนนอกเช่นนี้! ” อันหว่านจือน้อยอกน้อยใจอย่างที่สุด ” ข้าต่างหากที่เป็นหลานสาวแท้ๆ ของท่านนะเจ้าคะ ข้าก็แค่ไปแอบดูไทเฮาน้อยนั่นที่ตำหนักเฟิ่งหมิงนิดเดียวเอง ใครจะไปรู้ว่านางจะอารมณ์ร้ายขนาดนั้น พอเห็นว่าข้าหน้าตาดีก็พากันอิจฉาข้า! “
” ยังไม่ใช่แค่นี้นะเจ้าคะ ” อันหว่านจือยังคงจีบปากจีบคอว่าต่อไป ” นางยังถูกใจขี้ผึ้งทาปากที่ท่านทำให้ข้าเป็นพิเศษ บีบบังคับให้ข้าเอาตลับใหม่ส่งไปให้นางด้วย! นางคนนี้นะมันเป็นโจรปล้นชัดๆ ไหนเลยจะเหมาะสมกับฐานะของไทเฮาแห่งแคว้นต้าโจวได้! “
” ข้าว่านะเจ้าคะ ท่านเป็นถึงแม่นมของฉางซุนฮองเฮา และยังเป็นพระพี่เลี้ยงของฝ่าบาทอีกด้วย ท่านจึงจะสมควรเป็นผู้ที่มีตำแหน่งสูงส่งในวังหลังต่างหาก! “
” หุบปาก! ” อันหร่วนรีบปิดปากของนางเอาไว้ ประกายตาของนางก็เข้มข้นขึ้นในทันที ” ต่อไปคำพูดเหล่านี้ข้าไม่ต้องการได้ยินแม้สักครึ่งคำ หากว่าเจ้ายังพูดจาเหลวไหลอีก ข้าจะจับเจ้าส่งไปภูเขาจงหลิง! “
อันหว่านจือได้ยินดังนั้นก็หวาดกลัวขึ้นมา ส่ายศีรษะอย่างไม่คิดชีวิต “ท่านย่า ข้าไม่ไปนะเจ้าคะ เขาจงหลิงกับวังหลวงแตกต่างกันจนเทียบไม่ได้ ข้าอยากอยู่ที่นี่ ข้าจะแต่งให้กับฝ่าบาท ข้าจะนำเกียรติยศมาสู่ตระกูลอัน ท่านต้องช่วยข้านะ “
นางร้อนใจจนน้ำตาไหล “ท่านบอกมิใช่หรือว่า คิ้วของข้าเหมือนกับฉางซุนฮองเฮา นี่จะต้องเป็นลิขิตของสวรรค์ ที่กำหนดให้ข้าได้เป็นฮองเฮาของฮ่องเต้องค์ใหม่”
อันหร่วนได้ยินแล้ว สองตาที่หรี่ลงก็ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง นางยื่นมือออกมานวดคลึงบริเวณครึ่งแก้มที่โดนตบมา “ข้าเลี้ยงเจ้ามาจนโต มีหรือที่ข้าจะไม่รักถนอมเจ้า แต่ว่าเจ้าต้องจดจำให้ดี อยู่ในวังนี้จะต้องรู้จักเก็บงำอุปนิสัยของเจ้าไว้ ไม่อาจพูดจาส่งเดช ก่อเรื่องวุ่นวาย ไม่เช่นนั้นหากว่าเกิดเรื่องร้ายใดๆ ขึ้นมา แม้แต่ข้าก็ไม่แน่ว่าจะปกป้องเจ้าได้”
” ข้าไม่เป็นไรแล้วเจ้าค่ะ เป็นเพราะสตรีพวกนั้นอิจฉาข้า! ” อันหว่านจือยังคงเสียงแข็ง
” ซูเหม่ยเองก็รู้จักเสแสร้งยิ่งนัก ตลอดทางที่พาท่านกลับมา ทำตัวกตัญญูราวกับว่าเป็นหลานสาวแท้ๆ ของท่าน แต่พอกลับถึงวังก็สะบัดหน้าเปลี่ยนไปแล้ว ทั้งยังกล้าตีข้าด้วย “
” นี่จะต้องเป็นฝีมือของตู๋กูซิงหลันที่ครอบงำนางเอาไว้แน่”
ขณะที่อันหว่านจือกำลังเล่าเรื่องพวกนี้อยู่ อันหร่วนก็หยิบยาทาตลับหนึ่งมาทาบางๆ ที่ใบหน้าของนาง! “
พอได้เห็นใบหน้าที่อันหว่านจือแสนจะภาคภูมิใจ เป็นรอยช้ำ นางก็สงสารจับใจ คิดๆ ดู ซูกุ้ยเฟยยามที่อยู่ในเขาจงหลิงนั้น จะคอยให้ความเคารพนางอยู่เสมอ แต่พอพึ่งจะกลับมาถึงวังหลวงกลับถึงขนาดตบหน้าหว่านจือเพื่อไทเฮาน้อย ทำให้นางเองก็กรุ่นโกรธขึ้นมาบ้างแล้ว
ต่อให้หว่านจือจะทำผิดอย่างไร ซูเหม่ยก็สมควรที่จะเห็นความสัมพันธ์ยามอยู่ด้วยกันที่เขาจงหลิง ช่วยเหลืออันหว่าจรือถึงจะถูก
” ตู๋กูซิงหลัน……”
นางทวนชื่อนั้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา
” เป็นเพราะนาง! นางเป็นนางปีศาจ! ข้าเชื่อว่านางยังร้ายกาจยิ่งกว่าเสียนไท่เฟยเสียอีก! “
อันหร่วนมิได้กล่าวสิ่งใดเพิ่มเติม ยามนี้ทุกคนต่างอยู่ร่วมกันในวังหลวง ไม่ช้าก็เร็วย่อมต้องได้พบ หลานสาวของตระกูลตู๋กูผู้นี้ หากว่าไม่ยินยอมอยู่ในโอวาทจริงละก็ คงจะต้องลงมือสั่งสอนเสียบ้างแล้ว
ต่อให้นางเป็นถึงไทเฮา แต่อย่างไรก็มีอายุเพียงสิบห้าปี ยังจะวาดลวดลายอะไรออกมาได้?
ยิ่งไปกว่านั้น ไทเฮาพระองค์นี้ยังไม่มีฐานอำนาจใด ที่สำคัญที่สุดก็คือ ฝ่าบาททรงเกลียดชังตระกูลตู๋กู
นางนั่งลงบนเก้าอี้ไท่ซือ (เก้าอี้เท้าแขนแบบจีนโบราณ) ค่อยๆ ยกยิ้มมุมปากอย่างเยือกเย็น จากนั้นก็หันมาเหลือบตามองดูอันหว่านจือแวบหนึ่ง “หลายวันหลังจากนี้ เจ้าจงรักษาตัวอยู่ในตำหนักชางอู๋ให้ดี ในพิธีคัดเลือกนางสนมจะต้องทำให้ฝ่าบาทถูกพระทัยในตัวเจ้าให้ได้ “
“เจ้าค่ะ” อันหว่านจือมั่นใจในรูปโฉมของตนเองยิ่งนัก “ท่านย่าโปรดวางใจ ข้ารับรอง หากว่าฝ่าบาทได้พบกับข้า ชั่วชีวิตนี้ของพระองค์จะต้องไม่ลืมข้าแน่ “
นางเคยได้ยินมาว่า ก่อนหน้านี้ในวังมีพระสนมเต๋อเฟยอยู่ผู้หนึ่ง เพียงแค่นางมีวันเกิดวันเดียวกับฉางซุนฮองเฮาเท่านั้น ก็ได้รับพระเมตตาจากฝ่าบาทอย่างมากมาย จนเป็นที่อิจฉาของคนทั้งวัง
แต่ว่าตัวนางอันหร่วนจรือ ถึงกับมีคิ้วที่เหมือนกับฉางซุนฮองเฮา รูปโฉมนี้ก็คืออาวุธที่ดีที่สุดของนาง!
เมื่อพิธีคัดเลือกพระสนมมาถึง สายพระเนตรของฝ่าบาทจะต้องจดจ้องอยู่ที่ตัวนางเป็นแน่
…………………………
พระตำหนักตี้หัว
หลังจากที่ได้แช่พระองค์ในสระยามาหลายวัน พระอาการบาดเจ็บของฮ่องเต้ก็นับว่าดีขึ้นมาก อย่างน้อยท่วงท่ายามดำเนินก็ดูปกติดีแล้ว
ยามนี้ จีเฉวียนทรงฉลองพระองค์เรียบหรูสีทองตัวกว้าง ประทับอยู่บนพระเก้าอี้ในห้องพระอักษรของพระตำหนักตี้หัวทอดพระเนตรฎีกา
หลายวันมานี้เพราะเรื่องของเสียนไท่เฟย เหล่าขุนนางทั้งหลายต่างพากันกังวลใจในเรื่องของอี้อ๋อง
กลุ่มที่ยามปกติสนับสนุนอี้อ๋อง พอทราบเรื่องที่เขาเป็นทายาทของศพมีชีวิต ต่างก็เริ่มโจมตีกันเอง และหันมาสวามิภักดิ์ต่อฮ่องเต้พระองค์ใหม่
กลุ่มที่ยังหลงเหลืออยู่บ้างนั้น ก็มีแต่พวกที่ถือทิฐิฝืนอยู่เท่านั้น
ถึงจะมีพวกที่มีความจริงใจอยู่บ้าง เข้ามาขอร้องแทนอี้อ๋อง ขอฝ่าบาททรงเห็นแก่ความสัมพันธ์พี่น้องละเว้นอี้อ๋อง ด้วยเหตุที่ว่าเมื่อได้ทำการสืบสวนจนกระจ่างแล้ว ผู้ที่วางแผนเรื่องให้ไทเฮาปีนเตียงมังกรนั้น มิได้เกี่ยวข้องกับอี้อ๋องเลยแม้แต่น้อย ทั้งหมดล้วนเป็นฝีมือของเสียนไท่เฟย
แม้แต่เสียนไท่เฟยเองก็ยังยอมรับ
แต่ถึงวันนี้ อี้อ๋องยังคงถูกขังอยู่ในตำหนักเย็น
พวกเขายังทักท้วงว่า เรื่องที่เสียนไท่เฟยคือศพมีชีวิตนั้น อี้อ๋องถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ เนื่องด้วยผู้ใดก็ไม่อาจเลือกมารดาผู้ให้กำเนิดได้
ฉางซุนซิ่วเอ๋อร์มารออยู่ที่ข้างกายของพระองค์นานแล้ว กลับเห็นเพียงฝ่าบาทเอาแต่ขมวดพระขนง เขาเพียงแต่เหลือบตามองดูเล็กน้อย ก็สามารถมองเห็นได้ว่าบนฎีกาเหล่านั้นเขียนว่าอะไรบ้าง
” ฝ่าบาท โปรดอภัยที่กระหม่อมกล่าวมากความ ในราชวงศ์ไม่มีพี่มีน้อง อี้อ๋องมีจิตใจเหิมเกริมมาโดยตลอด ยามนี้เขายิ่งกลายเป็นทายาทของศพมีชีวิต หากว่าเราไม่ตัดรากถอนโคน เกรงว่าภายหลังอาจจะต้องเสียใจอย่างไม่อาจประมาณได้
จีเฉวียนปิดฎีกาเหล่านั้นลง หันมาทอดพระเนตรดูเขาแวบหนึ่ง ” ท่านราชครูก็เห็นว่า อี้อ่องสมควรตาย? “
ฉางซุนซิ่วเอ๋อร์ยกมือขึ้นคำนับเขาพลางทูลตอบว่า ” นับตั้งแต่วันนั้นที่เขามีใจคิดคตหมายปองในพระราชบัลลังก็ของฝ่าบาท เขาก็สมควรตายแล้ว อย่าว่าแต่ตัวเขาก็คือปีศาจ “
สีพระพักตร์จีเฉวียนไร้อารมณ์ใดๆ พระองค์ประทับยืนขึ้นมา เสด็จมาที่ข้างกายฉางซุนซุ่นเอ๋อร์ พระองค์สูงกว่าฉางซุ่นซิ่วอยู่ครึ่งศีรษะ ดวงเนตรหงส์ทอประกายเย็นชา “อาซิ่ว เมื่อวานนี้ อี้อ๋องในตำหนักเย็นผู้นั้นขอเข้าเฝ้าเรา เขาได้มอบตราประทับของดินแดนเขตเหนือออกมา ยินยอมมอบอำนาจในมือทั้งหมดของเขา วอนขอให้เราละเว้นชีวิตของเสียนไท่เฟย “
ได้ฟังแล้ว ฉางซุนซิ่วเอ๋อร์กลับไม่เปลี่ยนแปลงสีหน้าแม้แต่น้อย เขาคุกเข่าลงที่ข้างพระวรกายฮ่องเต้ ทูลตอบเบาๆ ว่า “ฝ่าบาท หากไร้ท้องฟ้าก็ไม่อาจมีผืนดิน ทุกสิ่งที่อี้อ๋องครอบครองล้วนสมควรเป็นของพระองค์แต่แรกแล้ว เสียนไท่เฟยยิ่งสมควรตายอย่างที่สุด ถึงแม้อี้อ๋องจะยอมกระทำถึงเพียงนี้ แต่ว่าก็ไม่สมควรปล่อยเสียนไท่เฟยไปได้แม้แต่น้อย”
คำพูดของเขาทำให้ฮ่องเต้ทรงพระสรวลออกมาเบาๆ ยามนี้ในพระหัตถ์ของพระองค์กุมตราหยกของดินแดนแถบเหนือไว้ “เราไม่เคยสงสารเสียนไท่เฟยมาก่อน และก็จะไม่สงสารอี้อ๋องเช่นกัน เพียงแต่เมื่อได้เห็นอี้อ๋องในวันนี้ ก็อดที่จะคิดไปถึงตนเองในปีนั้นไม่ได้ “
ว่าแล้ว เขาก็ตรัสว่า อี้อ๋องเองก็รู้ว่า ดินแดนแถบเหนือและอำนาจที่อยู่ในมือของเขา สำหรับเราแล้วไม่อาจเทียบได้กับหนึ่งชีวิตชีวิตของเสียนไท่เฟย ดังนั้นเขาจึงได้นำอีกสิ่งหนึ่งมาแลกด้วย “