ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 138 จูบเรา ถือเป็นเรื่องปกติหรือ?
ตู๋กูซิงหลัน “? ” นี่ไม่ใช่เพราะว่าควรจะทำเรื่องแก้ขัดเขินกันหน่อยหรอกหรือ? มันไม่ใช่ว่าควรจะมีใครหาเรื่องมาพูดคุยหรือไม่ก็ทำอะไรสักหน่อยไม่ใช่หรือ?
ไม่ทันได้รอให้นางพูดอะไร ก็ได้ยินเขาตรัสว่า “เราจะยอมรับการเอาใจของเจ้าก็ได้ “
ตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่าเขาเข้าใจอะไรผิดไปหน่อยแล้ว
จีเฉวียนค่อยๆ หยิบเม็ดแตงในมือของนางขึ้นมาช้าๆ เสวยพลางตรัสพลางว่า “ยังจะนั่งอยู่บนเก้าอี้นี้อีก เจ้าชอบเอาตัวมาติดกับเราตามลำพังใช่ไหม? “
ตู๋กูซิงหลันรีบออกแรงดึงชุดกระโปรงของตนเอง “ไม่ใช่เพคะ ฝ่าบาท…..พระองค์ประทับอยู่บนกระโปรงของหม่อมฉัน”
นางเกรงว่าหากตนเองฝืนลุกขึ้นมา จะไม่ใช่แค่กระโปรงที่ขาด แต่อาจจะทำเอาเขาพลิกหล่นไปด้วย เดิมทีก็เป็นคนที่ไข่มังกรเจ็บจนน่าสงสารอยู่แล้ว หากว่ามาล้มไปอีกมีหวังคงลุกขึ้นมาดับชีวิตนางแน่
จีเฉวียน “……..”
ก็เขาจะไม่ลุกเสียอย่าง มั่นคงดุจเขาไท่ซานไม่เคลื่อนไหว พลางยื่นพระหัตถ์ออกไปเขี่ยเม็ดแตงในจานข้างตัว “เราจะเอาอีก”
ตู๋กูซิงหลันแย้มยิ้ม “ท่านไม่มีมือหรือไง? “
” มือของเรามีไว้เพื่อจัดการเรื่องราวของบ้านเมืองไม่ใช่เอาไว้ปอกเม็ดแตง ” จีเฉวียนตรัสตอบ ทั้งยังอดยกยิ้มมุมปากไม่ได้ สายพระเนตรทอดดูนาง “อย่าว่าแต่ เจ้าไม่ได้บอกว่าอยากจะเอาใจเราหรือไง? เราให้โอกาสเจ้าแล้ว”
ไม่รู้ว่าทำไม ตู๋กูซิงหลันถึงได้เกิดความรู้สึกอยากจะหยิบรองเท้ามาฟาดหน้าเขาอีกสักครั้ง
นางกล้ำกลืนโทสะลงคอ ค่อยแกะเปลือกเม็ดแตงให้เขาต่อไป
“แต่ก่อนนี้เจ้าเคยแกะให้จีเย่ว์กินมาก่อนหรือไม่? ” จีเฉวียนเห็นนางแกะเม็ดแตงอย่างตั้งใจก็ตรัสถามขึ้นมา
” ไม่เคย ” ตู๋กูซิงหลันตอบโดยมิได้เงยหน้าขึ้นมา ไม่ว่าจะชาติก่อนหรือชาตินี้นางก็ไม่เคยว่างนั่งแกะเม็ดแตงให้ผู้อื่นกินมาก่อน
พอได้ฟังคำตอบ พระทัยของจีเฉวียนก็เกิดความพอใจขึ้นมาจางๆ
อยู่ๆ พระองค์ก็ทรงรู้สึกขึ้นมาว่าเม็ดแตงนี้ก็อร่อยดีอยู่เหมือนกัน
พอเสวยไปเรื่อยๆ ก็ทรงตรัสถามขึ้นมาอีก “เจ้าเกลียดเราที่ส่งจีเย่ว์ไปซีเหลียงบ้างไหม? “
” นี่เป็นเรื่องของชาติบ้านเมือง ฝ่าบาทอย่าได้ทรงเอามารับสั่งกับหม่อมฉันดีกว่าเพคะ เดิมทีก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับหม่อมฉันอยู่แล้ว จะให้ไปเกลียดอะไร? ” ตู๋กูซิงหลันพูดไปก็หยิบเอาเม็ดแตงที่แกะไว้ขึ้นมา กำลังจะโยนเข้าปาก
ก็พลันพบว่าจีเฉวียนที่มือเท้าแคล้วคล่องมาคว้าเอาไปจากมือของนางเสียก่อน “ของเรา”
ตู๋กูซิงหลัน “……..” อ๋า!
เพราะได้เสวยเม็ดแตง พระอารมณ์ของฝ่าบาทเหมือนจะดีขึ้นมามาก ถึงแม้ว่านางจะแสร้งทำเป็นไม่สนใจเขาแล้วก็ตาม เขาก็ยังทนได้
สายพระเนตรของฝ่าบาททอประกายบางอย่างขึ้นมา “การคัดเลือกสนมครั้งนี้เราสั่งให้ยกเลิกไปแล้ว”
” ทำไมถึงได้ยกเลิกไปละเพคะ? ” ในใจของตู๋กูซิงหลันเกิดความเสียดายขึ้นมา พูดกันตามจริง นางอุตส่าห์รอคอยจะได้ไปคัดเลือกลูกสะใภ้ที่หน้าตาดีมาสักหลายๆ คน
” ดูท่าเจ้าจะผิดหวังอยู่บ้าง? ” จีเฉวียนเปลี่ยนสีพระพักตร์ได้ไวกว่าพลิกหน้าหนังสือเสียอีก
” หม่อมฉันเป็นไทเฮา ย่อมจะต้องมุ่งหวังจะให้ฝ่าบาททรงแตกกิ่งก้านสาขาออกไป และให้หม่อมฉันได้อุ้มหลานไวๆ “
” เจ้าอยากให้เราอยู่ร่วมกับสตรีอื่นๆ จริงๆ หรือ? “
คำว่า ‘ อื่นๆ ‘ นี้ดูจะมีความหมายอื่นๆ ด้วยจริงๆ เพราะประเด็นสำคัญคือตู๋กูซิงหลันยังไม่เคยเห็นเขาอยู่ร่วมกับสตรีคนใดมาก่อนเลย
คิดๆ ดูแล้ว สาเหตุที่เขายกเลิกการคัดเลือกนางสนมน่าจะมาเหตุผลเดิมๆ มากกว่า
ตู๋กูซิงหลันจึงค่อยๆ ถามออกไปอย่างระมัดระวังว่า “ไม่งั้น พวกเราก็คัดเลือกหนุ่มน้อยหน้ามนสักหลายๆ คนเข้าวังมาเป็นยังไงเพคะ อย่างไรเสีย… …ร่างกายท่านราชครูเป็นถึงขนาดนั้น หม่อมฉันเกรงว่านานวันเข้าพระองค์จะทรงรับไม่ไหว”
หนุ่มน้อยก็ไม่เลว หากเข้าวังมานางก็ถือเสียว่าเป็นลูกบุญธรรมก็ได้อยู่
” ตู๋กูซิงหลัน! ” จีเฉวียนอยากจะสับนางให้ตายไปเสียจริงๆ
เขายื่นหัตถ์ออกมา แต่สุดท้ายแล้วกลับเพียงจิ้มหนักๆ ลงไปบนหน้าผากของนาง “สมองของเจ้าวันๆ เอาแต่คิดเรื่องใดอยู่กันแน่? จะเลือกบุรุษเข้าวัง เจ้าคิดจะทำอะไร หืม? “
ตัวเขาที่สง่างามเปี่ยมด้วยพระบารมียังไม่อาจเติมเต็มความพอใจของนางหรือ? พึ่งจะไล่จีเย่ว์ไปคนหนึ่ง นางก็คิดจะเรียก ‘จีเย่ว์’ อีกหลายๆ คนเข้าวัง?
ตู๋กูซิงหลันที่ถูกเขาเคาะหน้าผากส่งเสียงโอดครวญออกมาเบาๆ คนแทบจะหงายหลังตกเก้าอี้อ่อนลงไปแล้ว
ยังดีที่จีเฉวียนทรงคว้านางกลับมาได้อย่างรวดเร็ว แต่เพราะออกแรงมากไปจึงกลายเป็นว่าดึงตู๋กูซิงหลันเข้าไปในอ้อมพระอุระ พอดีกับที่เขาก้มพระเศียรลงมา ริมฝีปากที่เย็นเป็นน้ำแข็งนั้นจึงประทับลงไปบนหน้าผากของนางเบาๆ ครั้งหนึ่ง
ยามที่ได้สัมผัสกับความอบอุ่นที่แปลกประหลาดนั้นเขารู้สึกเหมือนกับว่าถูกกระแสไฟฟ้าวิ่งพล่านไปทั่วร่าง จนเลือดลมแทบพลิกกลับ ทั้งใบหน้า และลำคอ แม้กระทั้งใบหูก็แดงเถือกไปหมด
ข้างตู๋กูซิงหลันกลับไม่ได้รู้สึกอะไรทั้งนั้น เมื่อครู่นั้นคล้ายกับเป็นเพียงแมลงปอแตะผิวน้ำ นางยังไม่ทันได้รู้สึกอะไรก็จบไปเสียแล้ว
เพียงแต่สถานการณ์ของนางตอนนี้ออกจะแปลกๆ ไปเสียหน่อย ตัวของนางแทบจะขึ้นไปเกาะอยู่บนตัวของจีเฉวียน ร่างกายของทั้งสองคนแนบแน่นอยู่บนเก้าอี้อ่อน ต่างก็สามารถรู้สึกได้ถึงเสียงหัวใจเต้นของอีกฝ่าย
” ตึกๆๆๆ …..” หัวใจของจีเฉวียนเต้นราวกับกลอง ส่วนหัวใจของตู๋กูซิงหลันเต้นอย่างสบายๆ แม้แต่ความตื่นเต้นสักเล็กน้อยยังไม่มี
” ฝ่าบาท ท่านหน้าแดงทำไม? ” ตู๋กูซิงหลันจัดแจงผมเผ้าเล็กน้อย ทั้งยังคิดจะดึงชายกระโปรงของตนเองออกมาด้วย เสียดายที่กระโปรงของนางถูกจีเฉวียนนั่งทับไว้ จึงไม่อาจขยับได้แม้แต่น้อย
นางจึงได้แต่ล้มเลิกความคิดเสีย เพียงสบตาเขาอย่างเงียบงัน
จีเฉวียนกระพริบพระเนตรหงส์ สบตานางกลับไป “เจ้ารู้หรือไม่ว่า เมื่อครู่เจ้าทำอะไรกับเรา? “
ตู๋กูซิงหลัน ” อ๋า? “
“ช่างกล้าชาญชัยนัก ใช้หน้าผากของเจ้ามาจูบปากเรา? ตู๋กูซิงหลัน เจ้าช่างมีวิธีการมากมายนัก”
ตู๋กูซิงหลัน ” ห๋า? ” แน่ใจหรือว่าไม่ใช่เจ้าที่เอาปากมาจูบหน้าผากของข้า?
แล้วยังจะมาทำท่ารังเกียจกันทำไม หน้าผากข้าไม่ได้มีพิษเสียหน่อย
“เป็นอุบัติเหตุเพคะ อุบัติเหตุ ” นางรีบยอมมือขึ้นมาเช็ดปากให้เขา “นี่ไม่นับว่าเป็นอะไรหรอก เพราะว่าพวกเราเป็นแม่ลูกกัน คนเป็นแม่จูบๆ หอมๆ ลูกตัวเองถือเป็นเรื่องธรรมดาไม่ใช่หรือเพคะ? “
ฝ่ามือที่อุ่นนุ่มปัดผ่านริมพระโอษฐ์นั้น ทั่วทั้งร่างของจีเฉวียนยิ่งกลายเป็นหยุดชะงักไป ตั้งแต่ตอนที่พระองค์เป็นเด็กจนโตมาล้วนไม่ชอบให้ผู้ใดสัมผัสตัว แต่ว่าพอเป็นนาง….ไม่เพียงไม่รังเกียจแถมยัง……
สายพระเนตรของพระองค์เป็นประกาย ขณะที่ตู๋กูซิงหลันยังไม่ทันได้ดึงมือกลับไปนั้น พระองค์ก็ทรงรีบคว้าข้อมือของนางเอาไว้ ” ตู๋กูซิงหลัน สำหรับเจ้าแล้ว จูบเรา ถือเป็นเรื่องปกติหรือไง? “
ตู๋กูซิงหลันฟังแล้วคล้ายกับว่าจะไม่เข้าใจสักเท่าไหร่ ที่นางพูดออกไปเมื่อครู ก็เพื่อคลี่คลายสถานการณ์ที่หน้าเขินอายเท่านั้น ก็ช่วยหาทางลงจากเวทีให้เขาไงละ?
ทำไมถึงได้กลายเป็นว่าไม่ยอมลงจากเวทีเสียแล้ว คิดจะเล่นต่อไปหรือ
สายลมภายนอกยังพัดหวีดหวิว กระถางไฟในห้องยังคงมีเสียงถ่านไม้ไหม้เปรี๊ยะๆ ฤดูหนาวที่เยือกเย็นคล้ายกันว่าอยู่ๆ ก็อบอุ่นนุ่มนวลขึ้นมา
จีเฉวียนเห็นนางทั้งงงงันและประหลาดใจ ก็ยื่นพระพักตร์เข้าไปใกล้ จนสันจมูกแทบจะสัมผัสกัน
สองคนที่เดิมทีก็ตัวติดกันอยู่แล้ว ยามนี้ร่างกายของทั้งสองยิ่งเข้าใกล้จนแทบจะเป็นร่างเดียวกัน
ตู๋กูซิงหลันค่อยๆ โค้งเอวไปยังด้านหลัง กลับถูกจีเฉวียนใช้พระหัตถ์อีกข้างคว้าเอวที่บอบบางของนางเอาไว้ ดึงกลับเข้ามาใกล้ตนเอง สองเนตรหงส์ของพระองค์จดจ้องไล่ตามดวงตาของนาง
ดวงตาดอกท้อคู่นั้นเปล่งประกายราวแสงสะท้อนในน้ำ นัยตาสะท้อนเงาร่างของพระองค์
นางช่างมีพิษร้ายอยู่ในตัว เพียงแค่พระองค์มองนางมากไป โรคในพระทัยก็เกิดอาการกำเริบอย่างรุนแรง
ชั่วขณะนั้นเอง จิตใจของจีเฉวียนคล้ายกับว่าหลุดลอยออกไปเสียแล้ว ริมพระโอษฐ์ถูกส่งออกไปเบาๆ ประทับลงบนริมฝีปากแดงปานจะหยดลงมานั้น
ตู๋กูซิงหลันได้ยินเสียงเลื่อนลั่นอยู่ในสมอง ราวกับว่าโลกทั้งใบพลิกตลบลงมาแล้ว
ตายห่าแล้ว! นางถูกเจ้าลูกสุนัขนี่จูบเอา!
นี่เขาคิดจะทำอะไร?
ทาพิษเอาไว้บนริมฝีปาก คิดจะวางยาพิษนางให้ตายหรอ?
ไม่ใช่สิ จากนิสัยเสียของเจ้าฮ่องเต้สุนัขนี่ ไม่มีทางฉลาดขนาดนั้นหรอก
หรือว่าคิดจะสวมข้อหาล่อลวงฮ่องเต้จนวุ่นวายพระทัยให้กับนาง?