ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 141 ปวงประชาเป็นสุข ทั่วทั้งแผ่นดิน
ฎีกาที่ไม่มีวันหมด งานแผ่นดินที่ไม่มีวันสิ้นสุด แต่ละเรื่องฝ่าบาทล้วนเป็นต้องแก้ไขด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง สำหรับพระองค์แล้วเรื่องของบ้านเมืองไม่มีเรื่องใดที่เป็นเรื่องเล็กสักเรื่องเดียว
ผู้คนรอบข้างต่างทราบเพียงว่าฝ่าบาททรงพระทัยแข็งถึงขั้นไร้น้ำพระทัย แต่ตัวเขาอยู่รับใช้ฝ่าบาทมานาน ย่อมรู้ดีว่าฝ่าบาททรงเป็นฮ่องเต้ที่ดีอย่างแท้จริง
ยามก่อนหน้าที่ยังไม่ได้ยึดสมบัติของรองมหาเสนาฯ มานั้น ฝ่าบาททรงมีรับสั่งออกไปว่าให้ระดมความช่วยเหลือไปบรรเทาทุพภิกขภัยในเมืองหลีโจว ทั้งยังเบิกเอาเงินหมื่นตำลึงทองออกมาจากท้องพระคลังส่งไปด้วยพร้อมๆ กัน
ผู้ที่ส่งสิ่งของบรรเทาทุกข์ไปก็ยังเป็นถึงหัวหน้ากองรักษาพระองค์ลับหลงเซียวที่พระองค์ทรงไว้พระทัยมากที่สุด
ก่อนที่อดีตฮ่องเต้จะเสด็จสวรรคตไป หลีโจวประสบกับภัยน้ำท่วมอย่างรุนแรง ประชาชนต้องอพยพแตกซ่านกระเซ็น ถึงแม้ฝ่าบาทมีพระบัญชาให้คุณชายรองตระกูลตู๋กูเดินทางไปบรรเทาทุกข์ด้วยตนเองพระองค์ก็ยังไม่อาจวางพระทัย
ถึงแม้ว่าฝ่าบาทจะโปรดแสดงพระราชอำนาจ แต่กับประชาชนแล้วทรงมีน้ำพระทัยกว้างขวาง
เรื่องเหล่านี้ล้วนไม่มีผู้ใดทราบ
พวกเขายิ่งไม่เคยคิดว่า ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันนี้ ยามที่ทรงพระเยาว์เพื่อหมั่นโถชิ้นเดียวกลับโดยผู้คนทุบตีจนพระชงฑ์หัก แต่ละวันใช้ชีวิตอย่างยากลำบากถึงขนาดต้องยื้อแย่งอาหารกับสุนัข
ครั้งหนึ่ง…….เพื่อให้ได้กินอาหารสักมื้อ ถึงขนาดไปยังตลาดมืดลงสนามต่อสู้กับสัตว์ร้ายให้ผู้คนได้ชม
ผู้คนทั่วหล้าต่างทราบว่าพระองค์ทรงเป็นพ่อไก่ขนเหล็ก แต่กลับไม่เคยรู้ว่าพระองค์ทรงผ่านประสบการณ์เช่นไรมาบ้าง เงินทุกอีแปะที่พระองค์ได้รับมาล้วนต้องแลกด้วยหมัดและเลือดเนื้อทั้งนั้น แล้วไยพระองค์จะไม่ทรงมัธยัสถ์ได้เล่า?
จนถึงทุกวันนี้เขาก็ยังจำได้ดีว่า วันที่ฝ่าบาททรงขึ้นครองราชย์นั้นได้ทรงรับสั่งกับเขาอย่างไรบ้าง
” เราต้องการให้แผ่นดินนี้ ไม่มีเด็กน้อยที่ต้องตกระกำลำบากเช่นเราอีก ไม่ต้องพลัดพรากจากพ่อแม่ ไม่ต้องให้พี่น้องแก่งแย่ง ไม่ต้องอดอยากเหน็บหนาว ไม่ต้องเร่ร่อนอย่างไร้จุดหมาย”
” เราจะต้องยิ่งใหญ่เกรียงไกร ทำให้แผ่นดินอุดมสมบูรณ์ ปวงประชาเป็นสุขร่วมกันทั่วทั้งแผ่นดิน”
แม้แต่เรื่องที่ยกเลิกการคัดเลือกพระสนมในครั้งนี้ ก็เป็นเพราะฝ่าบาทไม่ประสงค์จะให้วังหลังเพิ่มพูนค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นอีก
ฝ่าบาทที่เป็นเช่นนี้……..เมื่อคิดขึ้นมาทีไร หลี่กงกงก็พลางจะน้ำตาไหล
จีเฉวียนถือพู่กันไว้ในพระหัตถ์ สีพระพักตร์หนักหน่วง วันนี้หิมะตกหนัก แม้แต่ในพระตำหนักของฮ่องเต้ยังมีหิมะท่วม ที่อื่นๆ ก็คงยิ่งลำบากหนักหนากว่านี้
แท้จริงแล้วมีหลายเมืองที่ยามนี้ต้องประสบภัยพิบัติเพราะหิมะแล้ว
พระองค์ขมวดพระขนงแน่น ทอดถอนพระทัยเบาๆ รับสั่งให้หลี่กงกงเติมฟืนลงไปในไฟอีกหลายๆ ก้อน
เรื่องนี้หากว่าจัดการได้ไม่ดี ไม่รู้ว่าจะต้องมีครอบครัวที่บ้านแตกสาแหรกขาดอีกสักเท่าไหร่ มีผู้คนอีกเท่าไหร่ที่จะกลายเป็นคนไร้บ้าน นั่นมิใช่สิ่งที่พระองค์ทรงปรารถนา
ในยามนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของขันทีน้อยเข้ามากราบทูลว่า “ทูลฝ่าบาท อันหร่วนกูกูขอพระราชทานอนุญาตเข้าเฝ้า”
จีเฉวียนมิได้เงยหน้าก็ตรัสว่า ” เชิญนางเข้ามาเถอะ “
เพียงครู่เดียว ก็เห็นอันหร่วนกูกูเดินนำอันหว่านจือเข้าไปในห้องทรงพระอักษร
นี่เป็นครั้งแรกที่อันหว่านจือได้เข้ามาในพระตำหนักตี้หัว พระตำหนักมิได้วิจิตรงดงามดั่งที่นางวาดภาพไว้ ทั้งสี่ด้านล้วนเป็นงานไม้ที่เรียบง่าย ทั้งกว้างขวางและดูวังเวง
ในห้องทรงพระอักษรล้วนเต็มไปด้วยชั้นหนังสือใหญ่เล็กมากมาย ล้วนแล้วแต่สีดำอึมครึม ฮ่องเต้กำลังประทับนั่งทอดพระเนตรฎีกา ทรงฉลองพระองค์คลุมตัวใหญ่ พระเกศาที่ยาวสยายดูยุ่งเหยิงเล็กน้อย พระพักตร์ที่งดงามดุจเทพเซียนนั้น ยามนี้คล้ายกัยถูกฉาบไว้ด้วยหิมะชั้นหนึ่ง
หัวใจของอันหว่านจือลิงโลดขึ้นอย่างไม่อาจระงับ นางเดินตามหลังอันหร่วนมา แอบลอบมองดูฮ่องเต้ด้วยความระมัดระวัง
นี้ก็คือสามีในอนาคตของนาง สามีชั่วชีวิตของนางอันหว่านจือ
ช่างเป็นจริงสมคำเล่าลือ ฝ่าบามทรงสูงส่งองอาจเกินผู้ใดทัดเทียม
ใบหน้าของนางแดงขึ้นอย่างไร้สาเหต นางยิ่งก้มศีรษะลงไปอีก หัวใจก็โลดเต้นไม่ยอมหยุด
ก่อนหน้านี้นางไม่เคยเห็นพระพักตร์ของฝ่าบาทมาก่อน ในใจก็เคว้งคว้างอยู่ตลอด ไม่อาจแน่ใจได้ว่าฝ่าบาทจะคู่ควรกับตัวนางหรือไม่
ยามนี้พอได้เห็นตัวจริงแล้ว หัวใจค่อยโล่งขึ้นบ้าง ในแผ่นดินนี้คงจะมีแต่เพียงบุรุษเช่นฝ่าบาทเท่านั้นที่เหมาะสมจะเป็นสามีของนาง
“บ่าวอันหร่วน ถวายพระพรฝ่าบาทเพคะ ” อันหร่วนทูลพลางก็คุกเข่าลงไปคำนับจีเฉวียน
อันหว่านจือเองก็คุกเข่าตามไปด้วย
จีเฉวียนรีบโบกพระหัตถ์ “หมัวมัวมิต้องมากมารยาท นั่งลงค่อยพูดเถอะ “
อันหร่วนมองดูพระองค์ ด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความรักความอบอุ่น ในเมื่อฮ่องเต้ประทานเก้าอี้ให้นั่งนางก็มิได้ปฎิเสธ หลังจากที่นางนั่งลงแล้ว ก็ใช้ดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตาเฝ้ามองจีเฉวียน “ยามที่บ่าวไปจากวังหลวงนั้น ฝ่าบาทยังทรงเป็นเพียงเด็กน้อยห้าขวบ เพียงพริบตาเดียวสิบแปดปีก็ผ่านพ้นไปแล้ว ยามนี้ฝ่าบาททรงกลายเป็นเจ้าแผ่นดินที่เปี่ยมไปด้วยพระบารมี หากว่าฮองเฮาได้ทรงเห็นเข้าละก็ จะต้องดีพระทัยอย่างยิ่งเป็นแน่เพคะ “
เมื่อเอ่ยถึงฉางซุนฮองเฮา พู่กันในพระหัตถ์ของจีเฉวียนก็ชะงักไป เงยพระพักตร์ขึ้นทอดพระเนตรอันหร่วนที่เส้นผมเปลี่ยนเป็นสีขาวไปหมด “หมัวมัวเป็นแม่นมของพระมารดา อีกทั้งยังเป็นพระพี่เลี้ยงที่ดูแลเรามา เมื่ออยู่ต่อหน้าเรา ไม่จำเป็นต้องเรียกตนเองเป็นบ่าวอีก”
อันหร่วนจรือรีบส่ายหน้าปฎิเสธ “บ่าวมีฐานะใดกัน บ่าวล้วนจำจดได้อย่างดี ไม่กล้าอาจเอื้อมแม้แต่น้อยเพคะ ฝ่าบาททรงมีพระเมตตาเลี้ยงดูบ่าวให้ได้แก่ชราอยู่ในวัง เพียงเท่านี้บ่าวก็ซาบซึ้งในน้ำพระทัยแล้วเพคะ”
นางพูดไป ก็กล่าวขึ้นอีกว่า “บ่าวกลับมารอบนี้ เรื่องหลักๆ ก็คือคิดถึงฝ่าบาท พูดไปก็เป็นการบังอาจอยู่บ้าง บ่าวเห็นฮองเฮาดังบุตรสาวแท้ๆ มาโดยตลอด ยอมต้องเห็นพระองค์เป็นดั่งหลานชายแท้ๆ ไปด้วย เพียงแต่ฐานะของบ่าวต่ำต้อยจึงได้แต่เก็บความรู้สึกนี้เอาไว้แต่เพียงในใจเท่านั้น”
” หมัวมัวมีใจเช่นนี้ เราก็ขอรับเอาไว้แล้ว ต่อไปเจ้าอยู่ในวัง ก็อยู่ให้สบายเถิด เราย่อมต้องมิให้เจ้าได้รับความลำบากอีก”
น้อยนักที่จีเฉวียนจะมีน้ำพระทัยเช่นนี้ สำหรับอันหร่วนแล้วพระองค์เห็นแกที่นางเคยเป็นแม่นมของพระมารดา เห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าก่อนก็เท่านั้น
“บ่าวขอขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ ” อันหร่วนทูลตอบ พอนางยกมือขึ้นโบก อันหว่านจือที่อยู่เบื้องหลังนางค่อยก้าวออกมา
ในมือของนางประคองเสื้อคลุมกำมะหยี่สีดำตัวหนึ่งไว้ ศีรษะก้มต่ำ ราวกับว่าไม่กล้ามองดูฝ่าบาท
ยามนี้ อันหร่วนค่อยทูลว่า “ฝ่าบาทเพคะ อากาศเหน็บหนาวถึงเพียงนี้ บ่าวจดจำได้ว่าพระองค์กลัวความหนาว ดังนั้นจึงได้ทำชุดฤดูหนาวขึ้นมาตัวหนึ่ง วันนี้ตั้งใจนำมาถวายเป็นพิเศษเพคะ”
ทันทีที่นางพูดจบ อันหว่านจือก็ประคองเสื้อหนาวที่หนาหนักนั้นไปยังที่ข้างโต๊ะอักษร คุกเขาลงไป
ริมฝีปากแดงของนางแย้มพราย ทูลว่า “ขอฝ่าบาทโปรดทอดพระเนตรเพคะ”
เสื้อกำมะหยี่ตัวหนา แต่เข็มเล็กๆ กลับปักลอดลงไปได้ ฝีเข็มที่ละเอียดละออนั้น ดูก็รู้ว่าผู้ที่เย็บเสื้อตัวนี้ขึ้นมาจะต้องมีความตั้งใจเพียงไร
จีเฉวียนยื่นพระหัตถ์ไปลูบเบาๆ สัมผัสนั้นอบอุ่น แสนสบาย
” เราจำได้ว่ายามที่ยังเป็นเด็ก ทุกปีในฤดูหนาว หมัวมัวจะต้องทำชุดกำมะหยี่ให้เราหลายๆ ชุด”
อันหร่วนได้ฟังแล้ว ก็แสดงสีหน้าย้อนคิดไปถึงความหลังเช่นกัน ” หากว่าฝ่าบาทมิได้ทรงรังเกียจ ต่อไปทุกปียามเข้าหน้าหนาว บ่าวจะทำมาถวายพระองค์ “
นางเคยอยู่ในวังมานานหลายปี ย่อมรู้ดีว่า สิ่งที่สำคัญสำหรับฮ่องเต้ผู้ทรงสูงส่งนั้น มีแต่ความจริงใจเท่านั้นจึงจะล้ำค่า
โดยเฉพาะสำหรับฮ่องเต้พระองค์ใหม่ที่ทรงสูญเสียพระมารดาไปตั้งแต่เยาว์วัยเช่นนี้
นับตั้งแต่ที่ฉางซุนฮองเฮาทรงสิ้นไปนั้น พระองค์ก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าเฝ้าอดีตฮ่องเต้อีก ทั้งๆ ที่เป็นถึงพระราชโอรสสายตรง แท้ๆ แต่กลับกลายเป็นผู้ที่ไม่ได้รับความโปดปราน ต่อมา…..ยังเคยถูกส่งไปยังต่างแคว้นเพื่อเป็นตัวประกันด้วยซ้ำ
สามารถพูดได้ว่า การดูแลจากผู้ใหญ่นั้น เป็นเรื่องมากเกินความจำเป็นสำหรับฮ่องเต้พระองค์นี้
” แน่นอนว่าต้องมิได้รังเกียจอยู่แล้ว ” จีเฉวียนทรงรับฉลองพระองค์มาไว้ในพระหัตถ์ ยามนี้พระพักตร์ที่เย็นชาจนเป็นน้ำแข็งอยู่เสมอค่อยปรากฎความอบอุ่นขั้นมาหลายส่วน
ความอบอุ่นที่ได้รับจากเสื้อคลุมตัวนี้ ทำให้พระองค์ทรงคิดถึงยามที่เคยประทับอยู่กับพระมารดายามที่เป็นเด็ก
พระองค์ที่ยังทรงพระเยาว์ ทุกปีในยามที่หิมะตกในฤดูหนาวมีแต่ตอนที่ได้ประทับอยู่เคียงข้างพระมารดาเท่านั้น ที่ทำให้พระองค์สัมผัสกับความอบอุ่นได้
สายตาของอันหว่านจือ จับจ้องไปบนร่างของพระองค์ ยามนี้หัวใจของนางเองก็ราวกับฤดูใบไม้ผลิที่ผลิบานด้วยความตื่นเต้น