ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 143 เมื่อมาอยู่ต่อหน้านางก็ไม่อาจยับยั้งใจได้อีก
ลองดูพระสนมท่านอื่นสิ อย่าว่าแต่พวกเหม่ยเหริน ไฉเหรินที่อยู่ตามขอบวังเลย ต่างก็อยากจะมีขาสักสิบข้างจะได้วิ่งมาพระตำหนักตี้หัวได้ทุกวัน
ต่อให้มาถึงแล้วไม่ได้อาจเห็นพระพักตร์ของฝ่าบาท ก็ยังคงไม่ยอมถอดใจกันเด็ดขาด
แต่ว่ากุ้ยเฟยนี่สิ…….
เฮ่อ!
หยู่ฟู่คิดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจยาว ทำไมถึงได้เอาแต่คิดถึงไทเฮาอยู่เพียงผู้เดียวนะ?
……………………………….
ยามที่ซูเม่ยเดินผ่านพระตำหนักตี้หัวนั้น นางก็มิได้หันไปเหลือบดูแม้สักครั้ง และถูกอันหว่านจือสังเกตเห็นเข้า
หิมะหนาหนักตกในพระราชวัง ทั่วทุกตารางนิ้วบนพื้นล้วนแต่เป็นสีขาว
ซูเหม่ยที่สวมใส่ชุดสีแดงย่อมเป็นที่สังเกตเห็นได้ง่ายอยู่แล้ว
เมื่อมองดูชุดนางกำนัลที่เรียบง่ายของตนเอง หัวใจของอันหว่านจือก็อดที่จะอิจฉาขึ้นมาไม่ได้
ทั้งๆ ที่นางควรจะได้สวมใส่เสื้อผ้าที่หรูหราสวยงามเช่นเดียวกับซูเม่ยแท้ๆ
หลายวันมานี้ นางยอมยืนอยู่บนบันไดนอกตำหนักตี้หัว
นานวันละหลายชั่วยาม ให้พวกนางกำนัลที่ผ่านไปผ่านมาจะได้มองเห็นนางอย่างชัดเจน
พอนางได้เข้ามาในตำหนักตี้หัวแล้วถึงได้รู้ว่า ตำหนักตี้หัวไม่เพียงมีนางกำนัลน้อยมากเท่านั้น แต่กระทั่งสามารถเข้าใกล้รับใช้ฝ่าบาทได้ก็ยังไม่มีเลยสักคน
แน่นอนว่าตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว
ยกเว้นตำหนักพักผ่อนของฝ่าบาทแล้ว นางก็สามารถเข้านอกออกในตำหนักตี้หัวได้ทุกที่ ทุกวันยามที่ฝ่าบาททรงอ่านฎีกา ล้วนเป็นนางที่คอยดูแลปรนนิบัติยกน้ำชาถวายอยู่ตลอด
อย่าได้เห็นว่าตอนนี้นางเป็นแค่นางกำนัลยกน้ำชา แต่ว่าก็เป็นสตรีที่สามารถพบพระพักตร์ของฝ่าบาทได้บ่อยที่สุดในวังหลัง
นี่มิอาจปฎิเสธได้เลยว่าท่านย่าช่างชาญฉลาดลึกล้ำ ที่ไม่ได้บีบบังคับให้ฝ่าบาทตั้งนางเป็นพระสนม แต่กลับวางตัวนางไว้เป็นนางกำนัลคอยรับใช้อยู่ข้างพระองค์ คอยดูแลพระองค์ด้วยความห่วงใย
ทั้งดวงตาหางคิ้วของนางก็มีส่วนคล้ายฉางซุนฮองเฮา เมื่อผ่านไปนานวันเข้า ฝ่าบาทย่อมจะบังเกิดความรักต่อนางขึ้นมา
เมื่อถึงยามนั้นก็เท่ากับว่าสามารถคว้าพระทัยของฝ่าบาทเอาไว้ได้อย่างมั่งคง สามารถปีนป่ายขึ้นไปในตำแหน่งสูงส่ง กลายเป็นสตรีที่ได้รับความเคารพยำเกรงที่สุดในวังหลังมิใช่หรือ?
“ซูกุ้ยเฟยเพคะ ท่านรีบร้อนเช่นนี้จะไปที่ใดกันเพคะ? ” ซูเม่ยยังมิทันได้เดินไปไกล ก็ถูกอันหว่านจือเรียกเอาไว้
นางยืนอยู่บนระเบียงสูง ย่อมสามารถมองลงไปดูซูเม่ย
ซูเม่ยชะงักฝีเท้า เงยหน้าขึ้นมามองดูนาง “เจ้าไม่ไปดูแลฝ่าบาทให้ดี มายุ่งเรื่องของข้าทำไม? “
อันหว่านจือได้แต่ฉีกยิ้มอยู่แค่ริมฝีปาก “เมื่อครู่ฝ่าบาททรงบรรทมยามบ่ายแล้ว ข้าจึงมาคอยเฝ้าอยู่ที่นี่ เผื่อว่าเกิดมีพระสนมองค์ใดไม่ระวังมาทำลายความฝันของพระองค์ คิดไม่ถึงว่าพึ่งจะออกมาก็เห็นท่านแล้ว นี่มิใช่เรื่องบังเอิญหรือไรเพคะ? “
พูดแล้ว ตนเองก็ทำท่าถอดถอนใจชมเชยนางออกมาประโยคหนึ่ง “วันนี้กุ้ยเฟยแต่งองค์เช่นนี้ ดูแลงดงามนัก “
น่าเสียดาย…..ฝ่าบาทกลับไม่ทรงเหลือบแลเจ้าแม้แต่น้อย หึ
ต่อให้เป็นถึงกุ้ยเฟยแล้วอย่างไร หากมิได้รับอนุญาตจากนาง ก็ไม่มีสิทธิก้าวเท้าเข้าไปในตำหนักตี้หัวแม้สักครึ่งก้าว
ดังนั้นซูเม่ยไยจะต้องทำเช่นนี้อีกเล่า? คิดหรือว่าที่มาเดินเพ่นพ่านไปมาอยู่ด้านนอกพระตำหนักตี้หัวเช่นนี้จะดึงดูดความสนพระทัยของฝ่าบาทได้?
ฝันไปเถอะ!
เมื่อได้ยินนางกล่าวชมตนเอง ซูเม่ยก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ “หากเจ้ายังชมว่างาม ถ้าเช่นนั้นอาหลันจะต้องชอบมากแน่ๆ “
ว่าแล้ว นางก็ไม่คิดจะเสียเวลาพูดจาไร้สาระกับอันหว่านจืออีก นางขยับเท้าเตรียมเดินจากไป
เดินไปได้ไม่ทันถึงสองก้าว นางก็เห็นว่าไม่ไกลนักมีเงาสีดำเขียวของคนผู้หนึ่ง
คนผู้นั้นถือร่มกระดาษฉาบน้ำมัน ข้างตัวยังมีไก่อ้วนขนฟูตัวหนึ่ง เมื่อเดินอยู่ริมกำแพงแดงและหิมะขาวบนพื้นก็ดูโดดเด่นอย่างชัดเจน
พอซูเม่ยเห็นแล้ว ดวงตางดงามของนางก็เปล่งประกายขึ้นมาในทันที ไม่รอให้คนผู้นั้นเข้ามาใกล้ นางก็ถลาเข้าไปหา แล้วคว้าคนมากอดเอาไว้ “อาหลัน! “
ซูเม่ยเรี่ยวแรงเหลือล้น ตู๋กูซิงหลันถูกนางกอดเอาไว้เต็มรัด ก็เกือบจะยันเอาไว้ไม่ทัน แทบจะล้มลงไปกองกับหิมะ
ร่มในมือของนางกระเด็นหล่นไป แต่หิมะบนร่มร่วงใส่นางเต็มหน้าเต็มตัว ทำเอานางเย็นเสียจนแทบจับเป็นน้ำแข็ง
” ดูข้าทำเข้าสิ พอเห็นเจ้าก็ตื่นเต้นดีใจจนเกินไป ” ซูเม่ยค่อยคลายตัวนาง ยื่นมือมาช่วยลูบไล้หิมะออกจากใบหน้า ดวงตาทั้งคู่ทอประกาย คว้ามือของนางเอาไว้พลางกล่าวว่า “กลับมาก็สะสางเรื่องราวในวัง ทำให้หลายวันนี้ไม่ได้เจอหน้าเจ้าเลย คิดถึงเจ้านัก! “
พูดแล้วนางก็ไม่ลืมส่งสายตาเป็นประกายให้ตู๋กูซิงหลัน “อาหลัน เจ้าก็คิดถึงข้าเช่นกันใช่ไหม? นี่กำลังจะไปหาข้าที่ตำหนักชุ่ยเวยหรือ? “
นางพูดทั้งหมดออกมาในลมหายใจเดียว ตู๋กูซิงหลันจึงไม่มีโอกาสอ้าปากเลยแม้แต่น้อย
เจ้าไก่ขนฟูที่ตามก้นนางมาตลอดนึกว่าตู๋กูซิงหลันถูกโจมตีเข้าแล้ว มันตะกุยฝ่าเท้าลงไปบนพื้น ถีบตัวพุ่งเข้าไประดมจิกซูเหม่ยในทันที
ซูเม่ยกลับไม่เกรงกลัวมัน ไม่เพียงไม่ปล่อยมือจากตู๋กูซิงหลัน ยังคลี่ยิ้มราวบุปผาเฉิดฉัน ทำให้ตู๋กูซิงหลันพลอยนึกไปว่านางเสียสติไปแล้ว
” พระสนมเพคะ ระวังกิริยาด้วยเพคะ ระวังด้วย ” หยู่ฟู่อดที่จะหลั่งเหงื่อเย็นๆ ออกมาไม่ได้ ยังดีที่บริเวณโดยรอบมีเพียงอันหว่านจือแต่เพียงผู้เดียว ไม่เช่นนั้นก็ไม่รู้ว่ากุ้ยเฟยจะถูกผู้อื่นมองอย่างขำขันเพียงไร
อันหว่านจืออยู่บนระเบียง หรี่ตาชมดูพวกนาง นัยตายิ่งเผยแววชั่วร้ายออกมา
ซูเม่ยก็เป็นเหมือนหญ้าบนกำแพงโดยแท้ ยามอยู่ที่เขาจงหลิงก็แสดงท่าทีเกรงอกเกรงใจพวกนาง แต่พอกลับถึงวัง รู้ว่าฝ่าบาทถูกตู๋กูซิงหลันยั่วยวนจนหลงใหล ก็หันไปพึ่งพิงตู๋กูซิงหลันอย่างรวดเร็ว
สตรีเช่นนี้ช่างน่ารังเกียจนัก
ตู๋กูซิงหลันผู้นั้นยิ่งหน้าไม่อายเข้าไปใหญ่ หิมะตกหนังถึงเพียงนี้ยังจะมาเดินอวดที่หน้าพระตำหนักตี้หัวอยู่ได้
แค่หลายวันนี้ฝ่าบาทไม่ได้เสด็จไปตำหนักเฟิ่งหมิง นางก็นั่งไม่ติดเสียแล้ว?
ที่รีบร้อนถ่อสังขารมานี่เพื่อจะมาเฝ้าฝ่าบาทรึ? ขาดบุรุษมากหรือไง อี๋ อี๋!
ตู๋กูซิงหลันยืนมองซูเม่ยที่กำลังร่าเริงยินดี ยื่นมือมาช่วยปัดหิมะออกจากเส้นผมให้นางไม่ยอมหยุด วันนี้ซูเม่ยดูงดงามเป็นพิเศษจริงๆ นางแต่งหน้าอย่างปราณีตบรรจง ภายใต้อากาศที่หนาวเย็น ชุดกระโปรงสีแดงของนางเปิดเผยไหล่มนและไหปลาร้า คนงดงามจนคล้ายดั่งเดินออกมาจากภาพวาด
ตู๋กูซิงหลันคลายผ้าคลุมขนสัตว์ของตนเองออกมา คลุมลงบนตัวของซูเหม่ย “เสี่ยวซูเฟย เจ้าไม่หนาวหรือ? “
พอได้รับผ้าคลุมขนสัตว์ของนาง ซูเม่ยก็ตะลึงงันไปครู่หนึ่ง ในดวงตาพลันมีน้ำตาเอ่อล้นขึ้นมา ก้มลงมองดูผ้าขนสัตว์บนร่างของตนเอง แล้วก็เงยหน้าขึ้นมามองดูนางอีกครั้ง “อาหลัน……เจ้าเป็นห่วงข้าหรือ? “
นางพูดพลางก็คว้ามืองของตู๋กูซิงหลันเอาไว้แนบแน่นกว่าเดิม “ผู้คนต่างบอกว่าเจ้าสูญเสียความทรงจำไปแล้ว แต่ว่าเจ้ายังจดจำข้าได้ใช่หรือไม่ “
ที่ตู๋กูซิงหลันครุ่นคิดอยู่ในใจนั้นก็คือ คนงามเช่นนี้หากไม่ใส่ใจดูแลให้ดี แล้วหนาวจนเจ็บปวดไปจะทำยังไง?
หลังจากวันนั้นที่พบกันนางได้สอบถามกับเชียนเชียนเพิ่มเติม ความสัมพันธ์ของเจ้าของร่างเดิมกับซูเม่ยนั้นคล้ายจะเป็นแฟนคลับเสียมากกว่า
เพียงแต่ท่าทีเช่นนี้ของซูเม่ย ทำให้นางวางตัวลำบากอยู่บ้าง
ตู๋กูซิงหลันเองก็ไม่รู้ว่าสมควรจะพูดอะไรดี จึงได้แต่ยื่นมือออกไปลูบหัวนางเบาๆ “ตัวน่ารักนะ “
ที่จริงซูเม่ยสูงกว่านางอีกครึ่งศีรษะ หน้าตาสะสวยก็แล้วไปเถอะ รูปร่างยังสูงโปร่ง ความสูงของนางแทบจะไม่เป็นรองบุรุษเลย
แม้แต่สองมือที่เกาะกุมมือของตู๋กูซิงหลันเอาไว้ ก็ยังใหญ่กว่าหญิงสาวทั่วไปอยู่บ้าง
หากว่าอยู่ในยุคปัจจุบัน ซูเม่ยก็คงจะได้เป็นนางแบบ อีกทั้งยังเป็นนางแบบที่น่าหลงใหล
แค่คำชมเพียงคำเดียวก็ทำเอาซูเม่ยล่องลอยไปแล้ว ท่ามกล่ามหิมะตกหนานางกลับหัวเราะอย่างร่าเริง นางยื่นมือมาเกาะหัวไหล่ของตู๋กูซิงหลันไว้ แนบใบหน้าลงบนหัวไหล่ของนาง สูดดมกลิ่นดอกฮว๋ายหอมอวลที่มาจากร่างของนาง
” อาหลัน เจ้าน่ารักมากกว่าแต่ก่อนเสียอีก”
ตู๋กูซิงหลัน “??? ” นับตั้งแต่มาอยู่ในโลกนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนชมว่านางน่ารัก