ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 145 ลงมือเอาให้มันหมดสิ้นอิสระภาพไปเลย!
น้ำเสียงนั้นมิได้อ่อนโยนหรือแข็งกระด้าง แต่ว่าก็ไม่คล้ายท่าทีที่กุ้ยเฟยควรปฎิบัติต่อฮ่องเต้เลยแม้แต่น้อย
จีเฉวียนขมวดพระขนงน้อยๆ ดวงเนตรหงส์ทั้งสองข้างจดจ้องมองดูอย่างหาจุดบกพร่อง โดยเฉพาะเมื่อมองเห็นว่าบนร่างของนางมีผ้าคลุมขนสัตว์ของตู๋กูซิงหลันอยู่แววตาของเขาก็ยิ่งทอประกายขึ้นมาราวกับคมดาบ
” เจ้าโตจนขนาดนี้แล้วยังจะกลัวหนาว? ” จีเฉวียนตรัสแล้ว ก็มิได้รอให้ซูเม่ยมีปฎิกิริยาใดๆ ยื่นมือออกไปกระตุกผ้าคลุมขนสัตว์ของนางออกมา พันเอาไว้บนมือของตนเอง
ซูเม่ย “……”
ผ้าคลุมถูกยึดไป นางย่อมไม่ยินยอม จึงยิ้มแต่ปากแต่ดวงตาไม่ยิ้มกล่าวว่า ” ฝ่าบาทเพคะ ไทเฮาทรงห่วงใยหม่อมฉัน นี่เป็นของที่ไทเฮาทรงประทานให้ด้วยพระหัตถ์ หม่อมฉันอยากจะเก็บรักษาเอาไว้ให้ดีดั่งเป็นสมบัติประจำตระกูล ขอฝ่าบาททรงประทานคืนด้วยเพคะ “
พูดแล้ว นางก็ยื่นมือออกไปขอรับคืนจากเขา
จีเฉวียนทำเหมือนมองไม่เห็นนาง ทอดสายตาออกไปบนร่างของตู๋กูซิงหลันที่อยู่ใต้ระเบียง
พอเห็นรอยประทับจูบสีแดงบนแก้มของนาง เขาก็รู้สึกกริ้วขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ กล่าวกับตู๋กูซิงหลันโดยเฉพาะว่า “ไทเฮาทราบมาตลอดว่าเรากลัวหนาว ผ้าคลุมขนสัตว์นี้ เจ้าบอกมาสิว่าจะให้ใคร? “
ตู๋กูซิงหลันถึงกับพูดไม่ออก พี่ชาย บนตัวท่านสวมใส่เสื้อหนาวตัวใหญ่อยู่แท้ๆ!
นางหยิบร่มบนพื้นขึ้นมา ถือร่มหันไปทางเขาแล้วกล่าวว่า “หากว่าฝ่าบาทโปรดละก็ ข้าจะกลับตำหนักไปหยิบมาถวายอีกชิ้นก็แล้วกัน”
พูดแล้ว ก็หมุนตัวนำเจ้าไก่ขนฟูเตรียมจะเดินกลับไป
แต่ว่าเพียงก้าวขาออกไปก้าวเดียว ก็ได้ยินเสียงจีเฉวียนรั้งเอาไว้ “เราอนุญาตให้เจ้าไปได้แล้วหรือ? “
ผู้คนทั้งหลายต่างก็ฟังออกว่าน้ำเสียงของพระองค์แฝงความโกรธกริ้ว
อันหว่านจือก็รีบกระพือลมเติมไฟ “ฝ่าบาท ไทเฮากับซูกุ้ยเฟยมีน้ำใจสนิทสนมกันสูงล้ำยิ่งกว่าเงินทอง นางย่อมจะต้องเห็นว่าซูกุ้ยเฟยนั้นสำคัญกว่า นี่เห็นชัดเลยนะเพคะว่าพระองค์ไม่อาจเทียบกับคนที่เป็นยอดดวงใจของนางได้”
ซูเม่ยยืนอยู่ด้านข้าง ที่จริงแล้วที่อันหว่านจือพูดมานั้นนางก็ชอบฟังอยู่
ในหัวใจของอาหลัน จะต้องเห็นนางสำคัญกว่าแน่นอน
ถึงแม้ว่าคนที่อาหลันชอบจะเป็นจีเย่ว์ แต่ว่าตอนนี้จีเย่ว์ก็ไม่อยู่แล้ว ดังนั้นในวังนี้ นางก็คือผู้ที่สำคัญที่สุดในใจของอาหลัน
จีเฉวียนหันไปสาดประกายดาบในพระเนตรใส่อันหว่านจือ อันหว่านจือก็รีบหุบปากลงในทันที พลางน้อยอกน้อยใจ จนต้องถอยหลังไปหลายก้าว
ทำไมฝ่าบาทถึงได้ไม่อยากจะสดับฟังความจริงกัน?
แต่คิดๆ ดูแล้ว ในเมื่อฝ่าบาททรงพิโรธถึงขนาดนี้แล้ว ตู๋กูซิงหลันนั่นจะต้องไม่รอดไปแน่ คอยดูเถอะ ฝ่าบาทจะต้องจัดการนางแน่นอน
นางคิดว่าตัวเองเป็นไทเฮาแล้วจะยิ่งใหญ่นักหรือไง?
ในแผ่นดินต้าโจวนี้ ไม่มีผู้ใดที่มีอำนาจเหนือกว่าฝ่าบาท เป็นไทเฮาแล้วอย่างไร? หากว่าฝ่าบาทไม่พอพระทัย ย่อมจะทรงมีวิธีมากมายมาจัดการนาง
เพราะถึงอย่างไรนางก็ไม่ใช่พระมารดาแท้ๆ
ตู๋กูซิงหลันถือร่มหันหลังให้กับจีเฉวียน เท้าของนางยังไม่ทันจะได้ก้าวออกไป ที่หัวไหล่พลันรู้สึกได้ถึงฝ่ามือขนาดใหญ่ที่วางลงมา
ความเย็นเฉียบนั้นแทกซึมทะลุเนื้อผ้าลงสู่ร่างกายของนาง จนสะท้านไปจนถึงกระดูก ยังเย็นเฉียบเสียยิ่งกว่าหิมะเสียอีก
นางค่อยๆ หันหน้ากลับไป ก็เห็นว่าปลายนิ้วสีแดงที่ดูผิดปกตินั้น แตกเป็นแผลเพราะถูกความเย็นกัดทำลายเสียแล้ว
ครู่ต่อมาอยู่ๆ ร่างกายก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมา ที่แท้จีเฉวียนเอาผ้าคลุมขนสัตว์ผืนนั้นคลุมบนร่างของนาง เขาโน้มพระองค์ลงมา ริมพระโอษฐ์แทบจะสัมผัสกับใบหูของนาง ท่าทางที่แสดงออกอบอุ่นอ่อนโยน แต่กลับตรัสเป็นการเตือนว่า “ตู๋กูซิงหลัน อยู่ให้ห่างจากสนมของเราหน่อย “
ตู๋กูซิงหลันชะงักค้างไปครู่หนึ่ง ฟ้าดินโปรดเมตตาด้วยเถอะ รอบนี้นางไม่ได้เป็นฝ่ายลงมือก่อนเลยนะ!
จีเฉวียนทางหนึ่งตรัสไป ทางหนึ่งก็คลุมผ้าให้นางอย่างแน่นหนา แม้กระทั้งเศษหิมะบนเส้นผมของนางก็ยังช่วยปัดออกไปให้
ดวงเนตรหงส์คู่นั้นยังไม่วายจดจ้องอยู่บนรอยจูบสีแดงบนข้างแก้มของนาง หากว่ามีดาบละก็ เกรงว่าเขาคงจะต้องคว้าดาบมาเฉือนรอบนั่นทิ้งไปแล้ว
เขายกมือขึ้นมา พอมองเห็นว่ามือของตนเองแตกจนผิวลอกแล้ว ก็ได้แต่ขมวดคิ้วน้อยๆ ค่อยดึงมือเก็บกลับไป
” หากว่าคราวหน้ายังให้เราได้รู้อีกว่าเจ้าพัวพันใกล้ชิดสนิทสนมกับสนมของเราอีกละก็ เราจะให้เจ้าได้ร้องไห้ขอความเมตตาเป็นแน่”
วิญญาณทมิฬ ” เอาละโว้ย อาหลัน เจ้าฮ่องเต้สุนัขคิดไม่ดีกับเจ้าเข้าแล้ว เชิญลงมือเอาให้มันหมดสิ้นอิสระภาพไปเลย ขอบคุณมาก! “
ปกติมันเห็นมีแต่ภาพที่ฝ่ายหญิงมาร้องไห้อ้อนวอนฝ่ายชาย ล้วนแต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยตามละครรักที่ฉายในประเทศ
เจ้าฮ่องเต้สุนัขนี่บังอาจเกิดความคิดชั่วร้ายแบบนั้นกับหลันหลันขึ้นมา!
สมองของตู๋กูซิงหลันกับเจ้าวิญญาณทมิฬมิได้ตั้งอยู่บนถนนเส้นเดียวกันเลย จีเฉวียนบอกว่าจะทำให้นางต้องร้องขอความเมตตา แน่นอนเลยว่าจะต้องวางแผนทำกับดักจัดการนางอย่างเด็ดขาด
นานอีกพักใหญ่นางจึงค่อยหันกลับมา มองดูเขาอย่างไม่หลบหลีก “ฝ่าบาท พระองค์ทรงหึงหวงหรือ? “
นางถือร่มเอาไว้ในมือ มิได้กล่าวอะไรกับจีเฉวียนอีก ปล่อยให้เขาถูกลมและหิมะพัดพา
นางไม่เคยเห็นจีเฉวียนให้ความสนใจกับสนมคนใดมาก่อน เดิมทียังคิดว่าเขาเป็นบุรุษในบุรษ ชื่นชอบแต่บุรุษด้วยกันเท่านั้น คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะเป็นพวกชอบทั้งสองเพศ ทางหนึ่งก็งุบๆ งิบๆ กับราชครู อีกทางก็ยังมีซูเม่ยอยู่ในหัวใจด้วย
คิดดูแล้วก็ใช่อยู่ ซูเม่ยเป็นสาวงามที่น่าหลงใหลขนาดนั้น แม้แต่ตัวนางเห็นแล้วก็ยังจะอดใจไม่ได้ อย่าว่าแต่จีเฉวียนที่เป็นบุรุษด้วยเลย
ผู้คนบอกว่าจากกันสั้นๆ เสมือนหนึ่งคู่แต่งงานใหม่ เขาไม่ได้พบหน้าซูเม่ยมาตั้งนาน คาดว่าคงจะคิดถึงอย่างมากมาย พบเห็นสนมของตนเองมาทำท่าทางสนิทสนมกับนางก็คงจะเกิดความหึงหวงขึ้นมาบ้าง
จีเฉวียนถูกคำถามของนางทำเอางุนงงไปแล้ว หึงหวง?
ตัวเขาจีเฉวียนเกิดมาชาตินี้ยังไม่เคยรักชอบผู้ใด จะให้ไปหึงหวงอะไร?
แต่ว่าเมื่อถูกตู๋กูซิงหลันถามด้วยท่าทีที่จริงจัง ทั้งยังทำท่าคล้ายกับกำลังรอคอยคำตอบจากเขา
หัวคิ้วก็ขมวดมุ่นกว่าเดิม ” ทีตัวเจ้ายังชอบจีเย่ว์ได้ แต่ว่ากลับไม่ยอมให้ในใจเรามีสนมใดหรือ? ตู๋กูซิงหลัน เจ้าชักจะยุ่งมากเกินไปแล้วนะ? “
ตู๋กูซิงหลันรู้สึกสงสัยจีเฉวียนอยู่หลายวินาที คนก็ไปตั้งไกลแล้ว ยังไม่วายถูกลากกลับมาอีก
พอได้ยินเขาออกปากว่าในใจมีซูเม่ยอยู่ นางยิ้มหวานออกมาอีกครั้ง ยิ้มจนหัวคิ้วหางตาโค้ง สดใสประหนึ่งแสงอาทิตย์อันอบอุ่น
นางถึงขนาดมีน้ำใจส่งร่มให้เขาถือเอาไว้ จะได้ป้องกันละลองหิมะที่โปรยปรายลงมา “เสี่ยวซูเฟยงดงามจริงๆ เหมาะสมกับฝ่าบาทอย่างยิ่ง ฝ่าบาทมีคู่ครองที่เหมาะเจาะกันเช่นนี้ ข้าที่เป็นมารดาก็วางใจได้แล้ว “
นางลองสมมุตภาพลูกของจีเฉวียนกับซูเม่ยที่จะเกิดมาอยู่ในหัว คนก็รู้สึกปลอดโปรงโล่งสบายไปทั้งตัว
เจ้าตุ๊กตาที่คนงามทั้งคู่สร้างขึ้นมา นั่นร้อยทั้งร้อยจะต้องเป็นตัวน้อยที่งดงามน่ารักแน่ๆ หากต่อไปได้เอามาอุ้มเล่นบ่อยๆ คิดๆ ดูแล้วชีวิตช่างดีเสียนี่กระไร
จีเฉวียนเห็นรอยยิ้มของนาง เขาก็คิดจะยอกย้อนใส่นางดูบ้าง
พอฟังว่าในใจเขามีคนอื่น นางก็มีปฎิกิริยาเช่นนี้? ดีอกดีใจ?
ตู๋กูซิงหลันไม่รู่เลยว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ สายตาของนางกวาดตาดูเขาจนทั่วตัว ก็ลดเสียงเบาลงกล่าวคำพูดจากใจจริงว่า ” ฝ่าบาท พอแผลของพระองค์หายดีแล้ว จะต้องเสริมกำลังเพิ่มความขยันให้มากๆ จะได้ให้หม่อมฉันมีหลานมาอุ้มเล่นไวๆ “
สีพระพักตร์เย็นชาของจีเฉวียนแทบจะกลายเป็นพายุหิมะขึ้นมาแล้ว เขาจดจ้องมองดูตู๋กูซิงหลัน “เจ้าคาดหวังให้เราโปรดปรานเหล่าสนมงั้นหรือ? “
ตู๋กูซิงหลัน ” อ๋า? ถ้าฝ่าบาทไม่โปรดสนมทั้งหลาย เช่นนั้นหม่อมฉันจะไปเอาพระราชนัดดามาจากที่ไหนกัน? “
สตรีที่สมควรตาย!
ในพระทัยของจีเฉวียนนั้นอยากจะจับนางมาฟาดให้ตายไปหลายรอบจนนับไม่ถ้วนแล้ว แต่พอมองดูดวงตาดอกท้อคู่นั้นของนาง ก็ได้แต่นิ่งค้างไปกระทั่งจะโกรธก็ยังไม่รู้จะแสดงออกมาอย่างไรดี
พระองค์ได้แต่ฉีกยิ้มให้กับตู๋กูซิงหลัน ” ถ้าเช่นนั้นก็ให้สมดังพระประสงค์ของไทเฮา “
ว่าแล้ว พระองค์ก็ตรัสเรียกซูเม่ยด้วยพระสุรเสียงดัง “ซูกุ้ยเฟย “
ซูเม่ยนั่นติดตามเขาลงมาบันไดมาด้วย เพียงแต่อยู่ห่างไปด้านหลังพอสมควร นางรู้สึกได้ว่าตลอดทั้งร่างของจีเฉวียนนั้นกำลังพยายามอดกลั้นต่อเพลิงพิโรธอย่างที่สุดแล้ว ดังนั้นหากว่าไม่มีเรื่องใด นางย่อมไมีกล้าผลีผลามออกไปแหย่เขาอย่างแน่นอน
เพียงแต่ยามที่เห็นจีเฉวียนเข้าใกล้อาหลัน ในใจของนางก็รู้สึกอึดอัดไม่สบายขึ้นมา เจ้าบุรุษหยาบช้าผู้นี้ คิดจะทำอะไรอาหลันกัน?
ขณะที่ในใจของนางกำลังสับสนวุ่นวายอยู่นั้น พลันได้ยินจีเฉวียนตรัสออกมาด้วยน้ำเสียงทรงพลังว่า “คืนนี้เจ้ามาที่ตำหนักตี้หัว ถวายตัว! “