ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 149 จะมีใครงดงามกว่าข้าอีก?
นางมิค่อยได้ใกล้ชิดกับฮ่องเต้องค์นี้ จึงไม่รู้มาก่อนว่าเขาเป็นจอมเจ้าเล่ห์ช่างวางแผนขนาดนี้
เรียกนางมาที่ตำหนักตี้หัวเพื่อถวายตัวที่ไหนกัน เห็นอยู่ว่าเขาต้องการเอาชีวิตนางชัดๆ!
จีเฉวียนขยับพระองค์ประทับยืนขึ้น เสด็จมาถึงเบื้องหน้านาง ยัดแอปเปิ้ลลงไปในอ้อมอกของนาง ” หย่งเฉิงอ๋องสามีภรรยาเกรงว่าบุตรคนที่ห้าจะสิ้นไปตั้งแต่น้อยอีก จึงได้เลี้ยงเขาดังบุตรสาวมาโดยตลอด ทั้งยังบอกออกไปสู่ภายนอกว่าเขาเป็นสตรี เรื่องนี้จึงถูกเก็บเป็นความลับมาโดยตลอด สุดท้ายแล้ว คุณชายน้อยห้าของหย่งเฉิงอ๋องที่เป็นบุรุษปลอมเป็นสตรีมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยนั้น ก็เข้าวังมากลายเป็นกุ้ยเฟยของเรา “
ตรัสแล้ว จีเฉวียนก็ถามอีกประโยคว่า “ซูเม่ย เจ้ามีอะไรจะแก้ตัวอีกไหม? “
ซูเม่ยถือแอปเปิ้ลผลนั้นไว้ โดยมิได้เสแสร้างใดๆ อีก กระทั่งสายตาก็เปลี่ยนเป็นเย็นชากว่าเดิม ” ในเมื่อฝ่าบาทก็ทรงทราบแต่แรก แล้วไยยังจะต้องมาเล่นละครเช่นนี้กับข้าด้วย? “
จีเฉวียนยืนอยู่ข้างๆ เขา ยิ้มเย็นๆ ออกมา ” เป็นบุรุษแท้ๆ แต่กลับต้องใช้ชีวิตอยู่ในฐานะของสตรี เกรงว่าสิบเก้าปีมานี้เจ้าคงจะคิดว่าตนเองเป็นสตรีไปแล้วละมั้ง “
” เราอนุญาตให้เจ้าไปเขาจงหลิงเฝ้าสุสานถวายพระมารดา ก็เพราะเห็นแก่หย่งเฉิงอ๋องจึงได้เว้นทางรอดแก่เจ้าสายหนึ่ง เดิมทีชั่วชีวิตนี้เราจะไม่เรียกเจ้ากลับเข้าวัง เจ้าสามารถท่องไปได้ทั่วแผ่นดิน แต่ว่าเจ้ากลับต้องการกลับมาวังหลวง”
” กลับมาก็แล้วไปเถอะ แต่เจ้ากลับใช้ฐานะกุ้ยเฟย ไปล่อลวงไทเฮา ช่วยโอกาสยามเข้าใกล้สนิทสนมกับนาง ดูท่าเจ้าคงไม่คิดจะอยากรักษาหัวของตนเองเอาไว้อีกแล้วสินะ”
พอเขายกตู๋กูซิงหลันขึ้นมาพูด สีหน้าของซูเม่ยก็เปลี่ยนไปในทันที ผ่านไปอีกพักใหญ่ถึงได้ยินเขากล่าวปนหัวเราะออกมา “ฝ่าบาท ข้ากับอาหลันเติบโตมาด้วยกัน ดูแลห่วงใยนางก็ถือเป็นเรื่องปกติ ทำไมในสายตาพระองค์จึงกลายเป็นล่อลวงและฉวยโอกาสไปได้เล่า? “
พูดแล้ว เขาก็ล้วงเอาเข็มเงินเล่มหนึ่งขึ้นมาจากแขนเสื้อขว้างออกไปทางหน้าต่าง เข็มนั้นก็ปักลงไปบนลำคอของอันหว่านจือ นอกจากประโยคที่ว่า ” ไม่นะเพคะ ” อันหว่านจือก็ไม่ได้ยินประโยคใดอีกเลย
เมื่อโดนเข็มบินไปเล่มหนึ่ง นางก็ล้มลงไปบนพื้น สลบปางตายไปจริงๆ
จีเฉวียนมิได้สนพระทัยอันหว่านจือที่อยู่นอกหน้าต่างนั้นเลย สายพระเนตรของพระองค์ยังคงจับจ้องอยู่บนร่างของซูเม่ย ตรัสตอบเพียงประโยคเดียวว่า ” ช่างไม่รู้จักละอาย”
ซูเม่ยได้ยินแล้ว ก็มิได้วางตนสงบนิ่งอีก เขาหัวเราะออกมาราวกับนางปีศาจ “ฝ่าบาท นับตั้งแต่อาหลันเกิดมา ข้าก็อยู่เคียงข้างนางมาโดยตลอด ยามที่นางยังเป็นทารกนั้น ข้าเคยป้อนข้าว เปลี่ยนผ้าอ้อมให้นาง หากมิใช่ว่าท่านพ่อท่านแม่ไม่อนุญาตให้ข้ากลับไปใช้ชีวิตเป็นบุรุษ ข้าก็คงจะสู่ของอาหลันไปตั้งนานแล้ว แม้แต่เจ้าเด็กจีเย่ว์นั้นก็อย่าได้คิดจะมาติดพันอาหลัน”
” แต่เพราะว่ามีฐานะอันคลุมเคลือเช่นนี้ ข้าจึงไม่มีหนทางจะไปสู่ขอนาง ได้แต่เลือกเข้าวังมาอยู่เป็นเพื่อนนาง ขอเพียงได้อยู่เป็นเพื่อนนางข้าก็มีความสุขแล้ว”
เมื่อซูเม่ยกล่าวถ้อยคำเหล่านี้ออกมา ก็ถอดถอนหายใจยาวอีก
ตลอดช่วงหลายปีมานี้ เขาได้แต่เก็บงำความลับที่ตนเองเป็นบุรุษเอาไว้ นอกจากบิดามารดาแล้วก็ไม่มีบุคคลที่สี่รู้อีก คิดไม่ถึงว่าพระปรีชาสามารถของฮ่องเต้จะจะแผ่ไปทั่วแผ่นดินจริงๆ แม้แต่เรื่องราวที่ลึกลับขนาดนี้ก็ยังถูกเขาค้นพบ
ค้นพบแล้วก็แล้วไปเถอะ แต่การที่พระองค์ทรงรู้ฐานะของเขาอยู่ตั้งแต่แรก แต่กลับทรงแกล้งทำเป็นไม่ทราบสิ่งใดอีก
ฮ่องเต้เช่นนี้ ช่างเจ้าเล่ห์อย่างร้ายกาจลอบวางแผนเก่งนัก
ที่ผ่านมาต้องคอยหลบๆ ซ่อนๆ เขาเองก็เคยคิดหากว่าวันหนึ่งความลับถูกเปิดเผยออกมา เขาจะแก้ไขปัญหาอย่างไรดี แต่เขาคิดไม่ถึงว่าเมื่อความลับนี้ถูกฝ่าบาทพบเข้าแล้ว เขากลับมิได้รู้สึกกังวลใดๆ อีก
ทั้งยังรู้สึกว่า เป็นการปลดปล่อยอย่างหนึ่ง
แต่ว่าความรู้สึกที่มีต่ออาหลันนั้น ราวกับว่าเขาได้รู้จักนางมาตั้งแต่ในชาติก่อนแล้ว นับตั้งแต่วันแรกที่ได้เห็นตู๋กูฮูหยินอุ้มท้องใหญ่โตตอนที่เขาอยู่บนท้องถนน เขาก็ติดตามไปอย่างไม่อาจหักห้ามตนเองได้
ถึงขนาดติดตามเข้าไปในบ้านของผู้อื่น
ต่อมายามเมื่ออาหลันจะเกิดมานั้น เขาก็คอยเฝ้ารับใช้อยู่ด้วนนอก
เพื่อจะได้เป็นคนแรกที่ได้เห็นเด็กน้องคนนั้น
จากนั้นนะหรือ เขาก็มักจะรู้สึกอยู่เสมอๆ ว่าบนร่างของเด็กน้อยนั่นมีสิ่งใดขาดหายไป จนกระทั่งเมื่อกลับเข้าวังมาแล้วได้พบอาหลันอีกครั้งหนึ่ง เขาก็พบว่าหลังจากที่เขารอคอยมานานหลายปี ในที่สุดนางก็มาแล้ว
ความรู้สึกที่คุ้นเคยเช่นนี้ ความรู้สึกผูกพันกันตั้งแต่ชาติก่อนจนมาถึงชาตินี้ ทำให้เขามองออกตั้งแต่ในแวบแรกเลยทีเดียว
ซูเม่ยพูดออกไปตั้งมากมาย แต่จีเฉวียนกลัยสาดน้ำเย็นใส่เขา ” นางไม่ใช่สตรีที่เจ้าจะสามารถคิดถึงได้ “
ซูเม่ยชะงักงั้นไปครู่หนึ่ง ดวงตาราวหมาจิ้งจอกคู่นั้นจ้องมองจีเฉวียน ” เช่นนั้นแล้วจะอย่างไร? ยามนี้นางเป็นไทเฮา บุรุาและสตรีทั้วทั้งแผ่นดินต่างก็ไม่มีสิทธิได้นางไป”
พูดแล้วซูเม่ยก็ถวายคำนับให้กับจีเย่ว์ ดวงตาจิ้งจอกคู่นั้นมองด้วยความวิงวอนกึ่งขอร้อง ” ฝ่าบาท บิดาของข้าเป็นขุนนางเก่ามาสามรัชกาล หากพูดอย่างไม่น่าฟัง พวกเราเป็นฝ่ายตรงข้ามกับการแย่งชิงบันลังค์ของอี้อ๋อง จวนหย่งเฉิงอ๋องมีกองกำลังยิ่งใหญ่ ดังนั้นข้าขอกราบทูลของพระเมตตาอย่างอุคอาจ โปรดทรงอนุญาตให้ข้าอยู่ในวังหลวงด้วยฐานกุ้ยเฟยต่อไป”
วรองค์ของจีเฉวียนสูงกว่าเขาเล็กน้อย ในแววตาของพระองค์มีแต่ความเหน็บหนาว ” เจ้าคิดว่าเราจะเก็บบุรุษผู้หนึ่งเอาไว้ในวังหลังหรือ? เราคิดอยากจะมีหญ้างอกเงยอยู่บนหัวหรือไง? “
ซูเม่ยก็เถียงเขากลับในทันที ” ฝ่าบาท วังหลีงมีสนมสามพันนาง แต่จะมีใครงดงามไปกว่าข้าอีก? “
จีเฉวียนตอบชื่อหนึ่งออกไปอย่างไม่ต้องคิดว่า ” ตู๋กูซิงหลัน”
ซูเม่ย ” ไทเฮาไม่ถือเป็นดอกไม้งามในวังหลัง นางเป็นพระมารดาเลี้ยงของพระองค์ ต่อให้….. ก็ไม่มีทางมาทำพระพระเศียรของพระองค์เขียวไปได้”
พอได้ฟังแล้ว สายพระเนตรของจีเฉวียนก็ยิ่งเย็นชากว่าเดิม สายพระเนตรของพระองค์ราวกับกำลังส่งสัญญาณตักเตือนออกมา ” นั่นจะอย่างไรก็เป็นมารดาเลี้ยงของเรา ไม่ถึงรอบให้เจ้าต้องมาคอยดูแล เจ้าอยู่ให้ห่างจากนางหน่อย “
สีหน้าของซูเม่ยอึมครึมไปชั่วขณะ พอคิดขึ้นมาได้ว่าตนมองเห็นสายตาที่จีเฉวียนมีต่ออาหลัน หัวใจของเขาก็อึดอัดขึดข้องหายใจไม่ออกไปหมด ” ฝ่าบาท ไยพระองค์จะต้องทรงทำเช่นนี้ หรือเพราะถูกอาหลันทำให้หวั่นไหวเข้าแล้ว? “
พอเขากล่าวประโยคนี้ออกไป บรรยากาศในห้องก็อึดอัดขึ้นมาทันที จีเฉวียนหรี่พระเนตรลง สาดแววอันตรายออกมาในทันที “ซูเม่ย ดูท่าเจ้าจะมีชีวิตอยู่มานานไปหน่อยแล้ว”
เขาจะไปหวั่นไหวได้อย่างไร? เขาก็แค่มีปัญหาเรื่องหัวใจกับสายตาเท่านั้น
ตู๋กูซิงหลันคือ ไทเฮา นางไม่สมควรอยู่ใกล้บุรุษอื่นใดทั้งนั้น!
ต่อให้เป็นสตรีด้วยกันก็ไม่ได้!
พอเห็นพระองค์มีปฎิกิริยาเช่นนี้ สายตาของซูเม่ยก็ยิ่งเย็นเฉียบขึ้นไปอีก
เขาเข้าใจดีว่าความรู้สึกที่หลงรักใครสักคนนั้นเป็นเช่นไร ในตอนที่สายตาของอาหลันมีแต่เพียงจีเย่ว์ เขาเองก็รู็สึกเช่นนี้เหมือนกัน!
เพียงได้เห็นผู้ใดแตะต้องนางก็อิจฉาจนจะเป็นบ้า! กระทั่งความคิดที่จะฆ่าจีเย่ว์ให้ตายก็ยังมี
ดังนั้นเขาจึงอยู่ฝ่ายที่ขัดขวงจีเย่ว์ ทั้งยังขอให้บิดามารดาสนับสนุนจีเฉวียน
แต่คิดไม่ถึงว่าเบื้องหน้ามีหมาป่า เบื้องหลังมีเสือ ทั้งสองต่างมิใช่ตัวดี
ในเมื่อจีเฉวียนไม่อยากยอมรับ เขาก็จะไม่ถามให้มากความ เพียงแตาถวายคำนับอีกครั้ง ” ขอฝ่าบาทโปรดอภัย เป็นข้ากล่าวมากความไปเอง”
จีเย่ว์พึ่งจะไปได้ไม่ทันไร ตอนนี้กลับมีจิ้งจอกเฒ่าที่ฝีมือสูงส่งว่าจีเย่ว์เสียอีก ทำเอาซูเม่ยถึงกับปวดหัวหนัก
ที่เขาอาศัยฐานะของอสตรีเข้ามาในวังหลัง ก็เพราะอยากจะอยู่กับอาหลัน เดิมทีเขาคิดเอาไว้ว่า น้ำพัดมาเส้นทางก็บังเกิด นึกไม่ถึงว่าไปได้ครึ่งทางจะมีฮ่องเต้โผล่ขึ้นขวางมาเสียได้
แต่ยังดีที่ฮ่องเต้ผู้นี่ยังไม่ยอมรับ นี้จึงยังพอจะมีโอกาสให้เขาอยู่บ้าง
ผ่านไปอีกครู่ใหญ่ ก็ได้ยินจีเฉวียนตรัสว่า ” เราอนุญาตให้เจ้ารั้งอยู่ในวังหลังได้ เฉพาะยามกลางวันเท่านั้น ต่อไปทุกคืนเจ้าจะต้องมาถวายตัวที่ตำหนักตี้หัว”
ซูเม่ยคิดว่าตนเองฟังผิดไปแล้ว เขาคิดว่าด้วยพระอุปนิสัยของฮ่องเต้จะต้องไปปล่อยตนเองไปโดยง่าย นี่หากไม่เพียงไม่สับเขาเป็นท่อน ก็คงจะต้องให้เขาได้รับความเจ็บปวดทางผิวกายบ้าง แต่ว่าที่ให้มาถวายตัวทุกๆ คืน เช่นนี้จะหมายความว่าอย่างไร?