ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 153 บุรุษในดวงใจ
คราวนี้ หยวนเฟยค่อยสมารถมองเห็นใบหน้าของเขาได้อย่างชัดเจน
คนผู้นี่ก็คือ…………….แม่ทัพผู้พิชิต ตู๋กูจุน มิใช่หรือ?
ทันทีที่องค์หญิงใหญ่อยู่ในอ้อมกอดของเขา นางก็สิ้นสติไป
หยวนเฟยพยายามฝืนถ่างสติตนเองเองไว้ นางมองไปยังตู๋กูจุน ตู๋กูจุนเองก็มองมาที่นางเช่นกัน เขากระชากดาบเล่มใหญ่ออกมาจากร่างของบุรุษผู้นั้น ปัดผ่านร่างของหยวนเฟยเบาๆ เชือกที่มัดนางเอาไว้ก็หลุดออกจนหมด
หยวนเฟยมีเลือดเปรอะเปื้อนทั่วทั้งใบหน้า ดังนั้นเขาจึงมองไม่ออกว่าสาวน้อยนางนี้คือผู้ใดกัน
เขาในยามนี้ก็ไม่มีกระจิตกระใจมาสนใจสาวน้อยนางหนึ่ง ดาบใหญ่ในฝ่ามือยังมีเลือดหยดไม่ขาดตอน ดวงตาทั้งคู่ของเขาจดจ้องไปยังบุรุษชุดดำที่แฝงตัวอยู่ในมุมมืด
ท่ามกลางห้องที่ทรุดโทรมของเรือนไม้เก่าๆ หลังนี้ ร่างของชายผู้นั้นปลดปล่อยกลิ่นอายที่ดำมืดออกมา ดูไปยิ่งให้ความรู้สึกชั่วร้ายประหนึ่งปีศาจ
” เจ้าคือผู้ใดกันแน่? แม้แต่องค์หญิงยังกล้าแตะต้อง! ” ตู๋กูจุนไม่กล่าวคำพูดไร้สาระ เขาวาดดาบชี้ออกไปในทันที
หากไม่ใช่เพราะเขาคอยจับตาดูองค์หญิงใหญ่อยู่ เกรางว่าในค่ำคืนนี้คงเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นกับนางแล้ว
บุรุษชุดดำผู้นั้นซ่อนร่างเอาไว้ใต้ชุดคลุมสีดำอย่างมิดชิด ทั้งยังมิได้กล่าววาจาโต้ตอบเขา
คนผู้นั้นกวาดตามองมาที่ทางพวกเขารอบหนึ่ง ในมือก็ปรากฎแส้เหล็กสีดำขึ้นมา บนแส้เต็มไปด้วยหนามแหลมเสมือนกริชทั่วทั้งเส้น เขาไม่เสียงเวลากล่าววาจาสักคำก็กวาดแส้พุ่งมาทางตู๋กูจุนแล้ว
ตู่กูจุนตวัดดาบขวางออกไป แส้นั้นก็พัดรัดดาบของเขาเอาไว้ ทันทีที่พันได้รอบหนึ่ง คนผู้นั้นก็ออกแรงกระชากอย่างแรง
ด้วยพละกำลังที่รุนแรง ตู๋กูจุนถูกกระชากจนก้าวล้ำไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง กล้ามเนื้อบนหัวไหล่ของเขาเกร็งขึ้นมา เขาพลิกมือขึ้นเอื้อมไปกระตุกกลับครั้งหนึ่ง
คนชุดดำผู้นั้นก็ถูกเขาดึงจนโผเข้ามา ร่างกายของคนผู้นั้นคล้ายจะเบามาก ตลอดร่างคล้ายจะมีควันจางๆ สายหนึ่งครอบคลุมอยู่ เขาปลิมมาตามแรงดึงจนมาถึงข้างตัวหยวนเฟย
คนชุดดำใช้มือข้างหนึ่งยันพื้นเอาไว้ มืออีกข้างก็คว้าตัวหยวนเฟย ใช้อุ้มมือของตนเองบีบลำคอของนาง ดึงนางมาขวางหน้าตนเองไว้
ดาบใหญ่ของตู๋กูจุนกำลังแทงออกไป พอเผชิญกับหยวนเฟย ดาบนั้นก็ถูกเขาตวัดกลับมาอย่างรวดเร็ว
” แม่ทัพผู้พิชิต ขอน้อมเตือนท่านประโยคหนึ่ง ทางที่ดีอย่าได้ข้องเกี่ยวเรื่องของผู้อื่น ” ในที่สุด คนชุดดำผู้นั้นก็กล่าววาจาออกมา
มือของเขาข้างหนึ่งบีบลำคอของหยวนเฟยเอาไว้ อีกข้างหนึ่งก็ถือแส้ ตลอดร่างล้วนสวมใส่ชุดสีดำสนิท ที่ด้านนอกเริ่มมีผู้คนสังเกตเห็นความผิดปกติบ้างแล้ว
คนผู้นั้นเหลือบมองอยู่แวบหนึ่ง ก็ไม่คิดจะรั้งอยู่อีก เขาซัดฝ่ามือใส่หยวนเฟยออกไปครั้งหนึ่ง
ฝ่ามือนี้ซัดเข้ากลางแผ่นหลังของนาง นางถูกกระแทกจนกระอักเลือดออกมาในทันที คนลอยเข้าไปหาตู๋กูจุน
ตู๋กูจุนรีบตวัดเก็บดาบใหญ่ ยื่นมือออกไปรับตัวหยวนเฟยไว้
ทันทีที่รับตัวหยวนเฟยได้ เขาก็รู้สึกถึงแรงลมของลูกศรดอกหนึ่งกำลังพุ่งเข้ามาจากด้านหน้า ในทิศทางที่เป็นศีรษะของหยวนเฟยพอดิบพอดี
อาศัยช่วงเวลาเพียงชั่วประกายไฟแวบหนึ่ง ตู่กูจุนก็พลักนางออกไป ลูกศรจึงปักเข้าสู่ทรวงอกของเขาแทน
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเพียงแค่กระพริบตา หยวนเฟยเองก็ยังไม่อาจจะตั้งสติได้ทัน
ลูกศรดอกนั้นยังไม่ทันสิ้นแรง ก็มีลูกศรอีกหลายสิบดอกพุ่งตามมา
ตู๋กูจุนวางตัวองค์หญิงใหญ่ลง มือกุมดาบใหญ่กระชับมั่น พอกวาดดาบออกไปลูกศรทั้งหมดก็ถูกสกัดเอาไว้ เขากระทืบเท้าลงไปครั้งหนึ่ง ไม้แผ่นหนึ่งก็บินออกไป กลายเป็นตัวสกัดลูกศรที่กำลังพุ่งออกมา
ลูกศรมากมายกระเด็นไปปักติดบนขอบประตู ผู้คนที่อยู่ภายนอกพากันตกใจวุ่นวาย ต่างตะโกนร่ำร้องไปทั่วทั้งสี่ทิศ
ตู๋กูจุนเหลือบตาไปที่ด้านนอกแวบหนึ่ง ภายใต้แสงโคมสว่างไสว เขาเห็นเงาดำของคนกลุ่มหนึ่งหมอบนิ่งอยู่บนอาคารฝั่งตรงข้าม เงาดำกลุ่มนั้นกำลังจับตาดูสถานการณ์ ตระเตรียมจะบุกลงมาที่เรือนไม้แห่งนี้
เขาก็ไม่ขบคิดให้มากความอีก มือข้างหนึ่งโอบอุ้มองค์หญิงใหญ่ มืออีกข้างกุมดาบไว้ ทะลายกำแพงที่ด้านหลังออกเป็นช่องทางสายหนึ่ง ขยับเท้าเตรียมจะจากไป
ก่อนที่จะก้าวออกไป เขาก็คิดขึ้นมาได้ จึงเหลือบตากลับไปมองสาวน้อยที่มีเลือดท่วมตัวซุกร่างอยู่ในมุมๆ หนึ่ง
” หากไม่อยากตายก็ติดตามข้ามา”
หยวนเฟยฝืนขยับร่างกายลุกขึ้นไปยืนอยู่ด้านข้างของเขา ร่างกายที่สูงใหญ่ของตู๋กูจุนมอบความรู้สึกปลอดภัยให้กับนาง บนอกของเขายังคงมีลูกศรดอกหนึ่งปักอยุ่ เขาใช้ดาบตัดด้ามมันออกจนสั้น ทั้งๆ ที่บนศีรษะของเขาหลั่งเหงื่อเย็นๆ ออกมาชั้นหนึ่ง คนกลับไม่แสดงสีหน้าใดๆ ออกมา
หยวนเฟยมองดูริมฝีปากของเขา ก็เคร่งเครียดขึ้นมา ” ท่านแม่ทัพ ลูกศรนี้มีพิษ “
ตู๋กูจุนอยู่ในสนามรบมานานหลายปี ย่อมจะต้องรู้สึกได้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเขาจึงได้ตัดสินใจที่จะถอยก่อน ไม่ได้ติดตามไล่ล่าชายชุดดำผู้นั้นไป
” ไป” เขากล่าวออกไปคำหนึ่ง ก็พบว่าฝีเท้าของสาวน้อยผู้นั้นกำลังอ่อนแรง เพียงแค่เดินก็ยังต้องฝืนใช้กำลังอย่างมาก
เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ตัดสินใจวางดาบของตนเองลง คว้าหยวนเฟยขึ้นมาบนบ่าตนเอง
ทางหนึ่งโอบอุ้มองค์หญิงใหญ่ ทางหนึ่งก็แบกหยวนเฟยเอาไว้ ดาบใหญ่ยอมไม่อาจจะนำไปด้วยได้แล้ว
หยวนเฟยเพียงแต่รู้สึกว่าฝ่าเท้าเบาวูบ ศีรษะมึนงง จากนั้นห้องเก่าๆ ในเรือนไม้หลังนั้นก็ห่างไกลตนเองออกไปเรื่อยๆ อย่างรวดเร็ว
รอจนนางรู้สึกตัวได้สติขึ้นมา คนก็อยู่ในจวนตระกูลตู๋กูแล้ว
” ท่านแม่ทัพ! ” กองทหารตระกูลตู๋กูเห็นเขามีเลือดอยู่เต็มร่าง บนอกยังมีลูกศรปักอยู่ดอกหนึ่ง ก็พากันตกใจจนหน้าถอดสี
ตู๋กูจุนค่อยๆ วางองค์หญิงใหญ่และหยวนเฟยลง
” องค์หญิงถูกลอบทำร้าย พวกเจ้าจงเฝ้าเอาไว้ให้ดี ” เขาสั่งแล้วตนเองก็กระอักโลหิตออกมาคำหนึ่ง
ล้วนเป็นสีดำทั้งหมด!
เหล่าลูกน้องทั้งหลายเห็นแล้วก็พากับตระหนกจนหัวใจแทบจะกระโดดออกมา ท่านแม่ทัพแม้อยู่ท่ามกล่างสงครามก็ไม่เคยกระอักเลือดมาก่อน!
เขากล่าวแล้วก็ค่อยวางตัวหยวนเฟยลง ” แม่นางผู้นี้ได้รับบาดเจ็บ เรียกหมอมาดูอาการรักษานางด้วย รอให้นางหายดี ค่อยส่งกลับบ้านไป “
พูดแล้วร่างของเขาก็โอนเอนไปมา
” ดาบของข้าแม่ทัพยังอยู่ที่ถนนทิศเหนือ ไปเอากลับมาด้วย”
สิ้นเสียงประโยคสุดท้าย ร่างกายใหญ่โตของเขาก็โอนเอนจนล้มลง
เหล่าลูกน้องต่างโถมเข้ามาพยุงอย่างรีบร้อน หลายคนต่างช่วยกันพยุ่งเขาเข้าเรือน
หยวนเฟยกัดฟันหอบฝีเท้าอ่อนแรงติดตามเข้าไป
เลือดบนใบหน้าของนางแห้งแล้ว เมื่อครู่ถูกกระหน่ำตบตี ศีราะมึนงงไปหมด พอเมื่อครู่ได้พักสักหน่อยจึงดีขึ้นมาก
ในจวนตระกูลตู๋กูมีแพทย์อยู่โดยเฉพาะตู๋กูจุนพึ่งจะเข้าเรือนไป ก็มีแพทย์ติดตามเข้ามาอย่างรีบร้อน เขาถอดเสื้อผ้าของตู๋กูจุนออกจนเกลี้ยงเกลาต่อหน้าผู้คนทั้งหลาย
” สวรรค์ ลูกศรนี้พุ่งเข้าสู้หัวใจ หากว่ายังปักลึกลงไปอีกครึ้งนิ้ว เกรงว่าวันพรุ่งนี้จะต้องกลายเป็นวันระลึกถึงท่านแม่ทัพเสียแล้ว! ” สีหน้าของแพทย์ผู้นั้นเปลี่ยนเป็นหนักอึ้ง เขามองดูใบหน้าที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเขียว ริมฝีปากก็กลายเป็นสีม่วงขึ้นมา ในใจของเขาก็ยิ่งร่ำร้อง
เหล่าลูกน้องทั้งหลายได้ยินเข้าก็ตะลึงจนหนังศีรษะชาวาบ
” พิษชนิดนี้รุนแรงอันตราย ความสามารถในวิชาแพทย์ของข้ามีอยู่จำกัด ดูไม่ออกว่าเป็นอะไร พวกเจ้ารีบส่งคนเข้าวังไปเชิญหมอหลวงมาดูแลเถอะ”
เขาพึ่งจะพูดจบ ก็เห็นตู๋กูจุนพยายามลืมตาขึ้นมาอย่างกินแรง ” ไม่ต้องไป อย่าได้ทำให้น้องเล็กเป็นกังวล”
” ท่านแม่ทัพ! เวลาเช่นนี้ท่านจะยังมาห่วงสิ่งใดให้มากความอีก? ” เหล่าลูกน้องทั้งหลายต่างก็ร้อนรนจนจะคลุ้มคลั่งขึ้นมาแล้ว เวลาเช่นนี้สมควรจะรีบแจ้งคุณหนูให้รู้จึงจะถูก!
” ข้าแม่ทัพบอกว่าไม่ต้องไปก็คือไม่ต้องไป ” ตู๋กูจุนกระแอมไอออกมาอีกสองครั้ง ล้วนเป็นโลหิตสีดำสนิท
ลูกน้องทั้งหลายไม่กล้าล่วงเกินเขา ได้แต่หุบปากเงียบลง
” อ้ายยะ แล้วนี่จะทำเช่นไรดี ” ท่านหมอร้อนใจจนเหงื่อออกท่วมศีรษะ ท่านแม่ทัพทำไมถึงได้ดื้อดึงเช่นนี้? “
ทั้งๆ ที่อากาศยังหนาวเย็นอยู่แท้ๆ แต่ยามนี้เขากลับร้อนรุมเสียจนมีเหงื่อท่วมไปหมด
หยวนเฟยมองดูด้านข้าง นางเช็ดถูใบหน้าที่มีแต่คราบเลือดแห้งๆ ” ให้ข้าลองดู”
” เจ้ารึ? เจ้าเป็นเพียงสาวน้อยนางหนึ่ง ข้าเป็นแพทย์มาสามสิบปียังไม่มีความมั่นใจสักนิด เจ้าจะทำอะไรได้หรือ? “