ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 155 ความชอบธรรม
” เสี่ยวเฟยของพวกเราช่างงดงามน่าดูนัก ” ตู๋กูซิงหลัน หยุดป้อนยาครึ่งชามไปครู่หนึ่ง นางหัวเราะเสียงเบา
สาวน้อยผู้นี้ดูอย่างไรก็ไม่ใช่สตรีอ่อนแอเปราะบาง ที่ใช้ชีวิตอย่างไร้ซุ่มไร้เสียงไปวันๆ อย่างเด็ดขาด
“ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเสื้อผ้าของข้าเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด ข้าไม่มีทางยอมสวมใส่เสื้อผ้าของท่านเด็ดขาด”
หยวนเฟยละใบหน้าออกจากหน้าอกของตู๋กูจุน ใบหน้าของนางแดงระเรื่ออยู่บ้าง
” อย่าได้เห็นว่า เพราะท่านชื่นชมข้า แล้วข้าจะไปชอบท่านนะ ข้าไม่ชอบสตรี…….” หยวนเฟยพูดพลางก็ถอยหนีห่างจากนางไปอีกนิด
” ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าชอบบุรุษที่มีขนหน้าอก” ตู๋กูซิ่งหลันบีบปลายจมูกของนางเบาๆ อย่างหยอกเย้า
ใบหน้าของหยวนเฟยยิ่งแดงก่ำขึ้นไปอีก นางก้าวถอยหลังไปหลายก้าว ” เจ้าพูดจาไร้สาระอันใดกัน”
นางพูดไปก็ไม่ลืมถลึงตาใส่ตู๋กูซิงหลัน พลางเหลือบตามองดูตู๋กูจุนด้วยใจเต้นแรง
ร่างกายท่อนบนของ ตู๋กูจุนถูกพันไว้ด้วยผ้าพันแผลมากกว่าครึ่ง ตู๋กูซิงหลันจึงไม่ได้เห็นว่าบนร่างของเขาเป็นเช่นไร ย่อมไม่รู้ว่าพี่ชายตนเองมีขนหน้าอก
ข้างตู๋กูจุนฟังแล้วก็คิดถึงมือเล็กๆ ที่ลูบไล้หน้าอกของเขาเมื่อวานขึ้นมา จึงอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองดูหยวนเฟยอยู่แวบหนึ่งนึง ” คิดไม่ถึงว่าแม่นางน้อยเมื่อวานนี้ก็คือพระสนม ข้าแม่ทัพเสียมารยาทไปแล้ว “
ตู๋กูจุนคิดจะลุกขึ้นมาคำนับ นางก็รีบเข้ามากดให้เขานอนลงบนเตียงเบาๆ
” ท่านแม่ทัพได้รับบาดเจ็บ อย่าได้มากมารยาทไปเลย เมื่อกลับเข้าวังแล้ว ข้าจะต้องกราบทูลฮ่องเต้ให้ตอบแทนบุญคุณที่ท่านช่วยชีวิตอย่างแน่นอน”
สีหน้าของหยวนเฟยยังคงแดงก่ำไม่หาย โชคยังดีที่นางไม่ใช่คนผิวขาว ดังนั้นแก้มสองข้างที่แดงขึ้นมาจึงดูไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่
” เช่นนี้……พวกท่านก็สนทนากันไปก่อนเถอะ ข้าจะไปดูองค์หญิงใหญ่”
ไม่รอให้สองพี่น้องตู๋กูทันพูดอะไร นางก็ชิงวิ่งหนีไปราวสายลมหอบหนึ่ง
” นางช่างน่ารักจริงๆ ” ตู๋กูซิงหลันมองดูเงาหลังของนางก็อดที่จะยิ้มออกมาราวกับพวกแม่สื่อไม่ได้ ทั้งยังหันไปมองพี่ชายใหญ่ของตนเอง ถามความเห็นอีกว่า ” พี่ใหญ่ว่าใช่หรือไม่? “
” น้องเล็กน่ารักที่สุด” บุรุษที่พันปีจะมีสักคนหนึ่งเช่นตู๋กูจุน นอกจากน้องเล็กของเขาแล้ว สตรีอื่นดูอย่างไรก็เหมือนๆ กันไปหมด ถึงแม้ว่าหยวนเฟยจะดูพิเศษกว่าสตรีทั่วไปอยู่บ้าง แต่อย่างไรน้องเล็กก็ยังดีที่สุด ตู๋กูซิงหลันส่ายศีรษะ นางรู้สึกว่า นิสัยเช่นพี่ใหญ่นี้ คงได้แต่เป็นโสดไปพันปีเสียแล้ว
…………………………………..
ตู๋กูซิงหลันเพิ่งจะป้อนยาอีกครึ่งชามให้ตู๋กูจุนจนหมดก็เห็นเชียนเชียนวิ่งมาด้วยความรีบร้อน
” นายหญิงเจ้าคะ ท่านรีบมาดูเร็วๆ เข้า อาการองค์หญิงใหญ่ไม่ค่อยดีเจ้าค่ะ! “
ตู๋กูจุนได้ยินเข้าเขากลับรีบร้อนยิ่งกว่าตู๋กูซิงหลันเสียอีก เขาแทบจะถลาลงจากเตียง แผลที่พึ่งพันผ้าไว้ฉีกออก เลือดสดใหม่ซึมออกมา
ตู๋กูซิงหลันรีบพาเขากลับไปบนเตียง “พี่ใหญ่ท่านอย่าได้ ใจร้อน
มีข้าอยู่นี่ องค์หญิงใหญ่จะต้องไม่ทรงเป็นอะไร”
ตู๋กูซิงหลันตกตะลึงไปชั่วขณะ นางรู้มาตลอดว่าพี่ใหญ่ห่วงใยองค์หญิงใหญ่แต่คิดไม่ถึงว่านางจะประเมินความรู้สึกนี้ต่ำเกินไป
เพียงแค่ได้ยินว่าเกิดเรื่องขึ้นกับองค์หญิงใหญ่ แม้แต่ชีวิตของตนเองเขาก็ไม่ไยดีแล้ว
” ข้าไม่เป็นอะไร” ใบหน้าของตู๋กูจุนขาวเผือก เขากดบาดแผลที่ฉีกบนหน้าอกไว้ พยายามจะลงจากเตียงให้ได้
” ข้าจะไปดูนาง” พูดแล้วเขาก็ลุกขึ้นมาสวมเสื้อผ้า ใส่เสื้อคลุม เดินมุ่งไปทางเรือนทิศตะวันตก
ตู๋กูซิงหลันติดตามอยู่ด้านหลังของเขา เห็นพี่ชายใหญ่เดินเหินอย่างมั่นคงดูไปไม่คล้ายคนที่ได้รับบาดเจ็บมา
จะอย่างไร เขาก็ผ่านสงครามมาตลอดหลายปี บาดเจ็บมานับครั้งไม่ถ้วน บาดแผลครั้งนี้สำหรับเขาแล้วไม่นับว่าเป็นอะไรได้
ในเรือนทิศตะวันตก หยวนเฟยนั่งอยู่ข้างๆ เตียงขององค์หญิงใหญ่
องค์หญิงใหญ่ทรงหลั่งเหงื่อท่วมใบหน้า หอบหายใจอย่างอึดอัดไปทั้งร่าง
ก่อนหน้านี้นางยังไม่มีอาการเช่นนี้ แต่ตอนนี้อาการกลับรุนแรงขึ้น คล้ายดั่งคนเป็นไข้ แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรนางก็ไม่ยอมรู้สึกตัว
ยามที่ตู๋กูซิงหลันและตู๋กูจุนมาถึง ก็เห็นมุมโอษฐ์ขององค์หญิงใหญ่มีเลือดซึมออกมา ตู๋กูจุนรีบเข้าไปที่ข้างกายขององค์หญิงใหญ่ เขาบีบโอษฐ์ของนางเอาไว้ ใส่หลังมือตนเองเข้าไปทันที เพียงครู่เดียวก็เห็น หลังมือของเขาถูกองค์หญิงใหญ่กัดจนมีเลือดออก เลือดสดไหลลงจากหลังมือของเขาลงไปถึงปลายคางของนาง
” ข้าเคยเห็น คนที่กัดลิ้นตนเองมามาก นางจะต้องตกอยู่ในฝันร้าย ทุกข์ทรมานจนทำร้ายตนเอง” ตู๋กูจุนปล่อยให้นางกัดหลังมือของตน โดยมิได้ขมวดคิ้วแม้แต่น้อย
” ท่านแม่ทัพ ท่านพึ่งจะได้รับบาดเจ็บมา…….” หยวนเฟยเห็นเขาถูกกัดเช่นนั้น ก็รู้สึกทนไม่ได้อยู่บ้าง
นางเป็นคนที่กลัวความเจ็บปวดที่สุด หากถูกกัดจนเลือดออกเช่นนี้ เปลี่ยนเป็นตัวนางคงจะทนไม่ได้แน่ นางพูดพลางก็รีบควานหาผ้าเช็ดหน้าขึ้นมา ส่งไปให้เขา ตู๋กูซิงหลันรีบเข้าไปช่วยดึงมือของตู๋กูจุนออกมา จากนั้นใช้ผ้าเช็ดหน้าใส่เข้าไปในปากขององค์หญิงใหญ่แทนป้องกันไม่ให้นางกัดลิ้นตนเองจนขาด ตลอดช่วงเวลานั้นอาการขององค์หญิงใหญ่ยิ่งทียิ่งแย่ลง นางทุกข์ทรมานอย่างเห็นได้ชัด ทั้งที่ปิดตาอยู่แต่กลับมีน้ำตาไหลออกมาอย่างไม่ขาด
” นางเป็นอะไรกันแน่ ถูกสะกดหรือไม่ เมื่อวานยามที่ข้าได้พบกับนาง ก็รู้สึกว่า จิตใจของนางไม่อยู่กับตัว ราวกับคนที่ไร้วิญญาณ “
เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ที่แสนจะอันตรายเมื่อคืนนี้ สีหน้าของหยวนเฟยก็ย่ำแย่ลง ไม่มีผู้ใดตอบคำถามของนางได้ แม้แต่ตู๋กูซิงหลันก็ยังเงียบงันไปชั่วขณะ นางมองดูองค์หญิงใหญ่ ที่มีอาการคล้ายถูกกักขังอยู่ในความฝัน ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ระหว่างนั้นก็ได้ยินเสียงองค์หญิงใหญ่ส่งเสียงครวญครางอยู่ตลอด พระหัตถ์กำแน่นเข้า เล็บจิกลงไปในใจกลางฝ่ามือจนมีโลหิตไหลออกมา
” ปีศาจความฝัน”
ผ่านไปอีกครู่ใหญ่นางถึงได้กล่าวคำนี้ออกมา
วิญญาณทมิฬก็คลานออกมาจากเงาของนางปีนขึ้นไปบนหัวไหล่
” ดูถ้าข้าจะประมาทโลกใบนี้ไปเกินไปแล้ว ถึงขนาดมีผู้ที่เลี้ยงปีศาจความฝันไว้ด้วยหรือ” วิญญาณทมิฬย่นจมูก
มันพยักหน้าเอาคางอ้วนๆ ของมันชี้ไปทางตู๋กูซิงหลันกล่าวว่า ” ขอร้องข้าสิ เจ้าขอร้องข้า ข้าจะไปเรียก ไอ้ตัวเล็กนั่นออกมา ” ตู๋กูซิงหลันหันไปเขกหัวมันรอบหนึ่ง
วิญญาณทมิฬใช้มือสั้นๆ ของมันกอดหัวทุยๆ เอาไว้ส่งเสียงครางหงิงๆ ออกมา บรรยากาศภายในห้องเงียบงันวังเวง ได้ยินแต่เสียงลมพัดวูบ ตู๋กูจุนและหยวนเฟยต่างก็หันไปมองตู่กูซิงหลัน ทั้งสองต่างไม่เข้าใจว่าทำไมนานจะต้องทุบตีบ่าของตนเองด้วย
คราวนี้ ภายใต้สายตาที่เย็นเยือกของตู๋กูซิงหลัน วิญญาณทมิฬ ได้แต่ทำท่าทางหงอยๆ อย่างน่าสงสาร มันกระโดดลงไปบนร่างขององค์หญิงใหญ่ เพียงชั่วแว็บเดียวก็กลายเป็นแสงสีดำ หายเข้าไปในหน้าผากขององค์หญิงใหญ่
ปีศาจความฝันเช่นพวกมันนี้ สามารถกลืนกินความฝัน และสามารถกักขังผู้คนให้ติดอยู่ในความฝันได้ ยามที่ตู๋กูซิงหลันได้พบกับวิญญาณทมิฬนั้น มันเป็นปีศาจร้ายกาจที่ได้กลืนความฝันมานับไม่ถ้วนอยู่แล้ว ต่อมาเมื่อนางสามารถกำราบมันได้สำเร็จ ก็ขี้เกียจจะเปลี่ยนชื่อใหม่ให้มัน จึงเรียกมันว่าวิญญาณทมิฬมาโดยตลอด
ปีศาจระดับสูงเช่นวิญญาณทมิฬ สามารถควบคุมจิตใจของมนุษย์ ให้กระทำซ้ายขวาได้ตามต้องการ
ปีศาจระดับสูงเช่นนี้ไม่เพียงแต่จะสามารถกลืนกินความความคิดในความฝันได้เท่านั้น แต่ยังสามารถกลืนกินปีศาจด้วยกันได้อีกด้วย พวกมันมีพลังและความสามารถในการฝึกฝนการบำเพ็ญตนและสามารถจำแลงกายได้ มีพลังในการฝึกฝนบำเพ็ญเพียรอย่างไร้ขีดจำกัด
ดังนั้นโดยทั่วไปแล้วย่อมไม่มีปีศาจที่ยอมให้มนุษย์ควบคุมได้โดยง่าย
วิญญาณทมิฬนั้นเป็นปีศาจที่ตู๋กูซิงหลันกระทำพันธสัญญาด้วย ทั้งคู่จึงมีจิตใจที่เชื่อมโยงถึงกัน สิ่งที่วิญญาณทมิฬได้พบเห็นในความฝันขององค์หญิงใหญ่ นางเองก็สามารถมองเห็นได้เช่นกัน
ตู๋กูซิงหลันยืนพิงกำแพงด้านหนึ่ง ในมือปรากฎแผ่นยันต์ใบหนึ่งขึ้นมา นางค่อยๆ ปิดตาลงช้าๆ
ทันทีที่ปิดตาลง นางก็เห็นภูเขาและท้องทะเลรายล้อมอยู่เต็มไปหมด ที่ด้านข้างก็เป็นหุบเหวไร้ก้นบึ้งแห่งหนึ่ง
ท่ามกลางบรรยากาศของสงคราม โลหิตและซากศพท่วมพื้น ซุ่มเสียงกรีดร้องคร่ำครวญด้วยความน่ากลัวและสงสาร องค์หญิงใหญ่ทรงคุกเข่าลงที่ข้างกายคนผู้หนึ่ง