ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 174 ไทเฮาน้อยผู้ทรงยืนอยู่เคียงข้างจีเฉวียน
” เช่นนั้นก็คือจะให้ข้ากลายเป็นตัวแทนของซูเม่ยหรือ? ” อันหว่านจือไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก ” หากว่าจบเรื่องแล้วพระองค์ไม่ยอมรับเล่า จะทำเช่นไรเจ้าคะ? “
” อีกไม่เท่าไหร่ก็จะสิ้นปีแล้วมิใช่หรือ? หากว่าทุกคนล้วนได้เห็นว่าฝ่าบาททรงได้ตัวเจ้าไปแล้ว พระองค์จะทรงปฏิเสธได้หรือ? “
…………………..
ว่ากันตามโบราณราชประเพณีของต้าโจว ยามสิ้นปี ในวังย่อมต้องมีงานเลี้ยงพระราชทานใหญ่โต
นี่เป็นปีใหม่แรกนับตั้งแต่ที่ฝ่าบาททรงขึ้นครองราชย์ แม้ว่าจะอยู่ในช่วงที่ต้องไว้ทุกข์ถวายอดีตฮ่องเต้ ไม่อาจจัดงานอย่างใหญ่โตโอ่อ่า แต่ว่าพิธีการที่ควรจะมีล้วนไม่อาจงดเว้นไปได้
เชื้อพระองค์ ขุนนางใหญ่ ยังมีเหล่าอ๋องจากเขตแดนต่างๆ ย่อมต้องทยอยกันมาร่วมถวายพระพร
ในพระตำหนักจิ่นซิ่วอบอวลไปด้วยไอมงคล ดอกไม้ประดิษฐ์สีแดงดอกใหญ่ถูกประดับเอาไว้เต็มไปหมด เปลวเทียนในโคมมังกรก็ลุกโชนส่องประกาย
เหล่านักดนตรีในวังถูกแบ่งเป็นสองสาย ผลัดกันบรรเลงดนตรีไพเราะตั้งแต่เช้า
ตู๋กูซิงหลันพักผ่อนอยู่แต่ในตำหนักเฟิ่งหมิงมานานหลายวัน ร่ายกายก็ฟื้นฟูไปมากแล้ว ยาของหมอหลวงซุนทำเอานางง่วงงุนอยู่ตลอด นอนอย่างไรก็ยังรู้สึกว่ายังไม่เต็มอิ่ม
ยากนักที่นางจะตื่นแต่เช้าขึ้นมาได้
พอลุกขึ้นมาก็เห็นหลี่กงกงพาคนเข้ามากลุ่มหนึ่ง
หลี่กงกงน้อมคำนับนางด้วยหน้าตาที่สดชื่น ” ไทเฮาพะย่ะค่ะ วันนี้จะมีงานเลี้ยงพระราชทานสิ้นปี พระองค์ต้องทรงเสด็จไปยังพระตำหนักจิ่นซิ่วเพื่อร่วมงาน”
พูดแล้ว ก็ให้คนนำเอาฉลองพระองค์ชุดใหม่ของไทเฮาเข้ามา เป็นชุดสีทองที่งดงาม อีกทั้งยังมีมงกุฎหงส์ของไทเฮา ที่ประดับด้วยพู่ทองถึงสิบสองสาย สวยงามอย่างที่สุด
นับตั้งแต่ที่จีเฉวียนทรงกักบริเวณนางเอาไว้ในตำหนักเฟิ่งหมิง มีคนในวังไม่น้อยที่มองเห็นนางเป็นเพียงตัวตลก
ล้วนเป็นเพียงพวกหญ้าบนสันกำแพง ตู๋กูซิงหลันเองก็เคยเห็นมามากแล้ว จึงมิได้ใส่ใจ
กลับเป็นหลี่กงกง ที่ยังคงมองนางด้วยรอยยิ้มดุจเดิม
หลี่กงกงเกรงว่านางจะโกรธเกลียดฝ่าบาทเพราะเรื่องที่ถูกกักขัง จึงกล่าวว่า ” วันนี้ท่านแม่ทัพผู้พิชิตก็เข้าวังมาด้วยพะย่ะค่ะ หลังผ่านปีใหม่แล้วก็คงจะต้องกลับไปออกรบที่เป่ยเจียงอีกแล้ว พวกท่านพี่ชายน้องสาวก็คงจะไม่ได้พบกันอีกนาน ขอไทเฮาทรงแต่งพระองค์ให้งดงามเป็นพิเศษ มิให้ท่านแม่ทัพต้องเป็นกังวลในตัวท่าน”
เรื่องอาการบาดเจ็บของพี่ใหญ่ ทุกวันเสี่ยวหยวนเฟยเป็นต้องหาหนทางมาแจ้งข่าวแก่นาง
ไม่รู้ว่าเป็นคนที่หล่อขึ้นจากเหล็กหรือไร เพียงเวลาไม่นานก็ฟื้นฟูได้เร็วยิ่งนัก
เมื่อเป็นเช่นนี้ นางก็สบายใจขึ้นได้มาก
…………………..
พระตำหนักจิ่นซิ่ว หยวนเฟยกับตู๋กูจุนมาถึงในเวลาเกือบจะพร้อมๆ กัน หยวนเฟยยังคงสวมใส่เสื้อผ้าของสตรีชาวหนานเจียง ระหว่างนางกับตู๋กูจุนมีผู้คนหลายคนกั้นขวางอยู่ จึงไม่อาจมองเห็นเขาได้บ่อยครั้ง
หลายวันมานี้ นางเป็นต้องออกนอกวังไปเยี่ยมเยียนเขาทุกวัน ยิ่งได้ใกล้ชิดก็ยิ่งรู้สึกว่าขนหน้าอกของท่านแม่ทัพผู้นี้ยิ่งน่าเย้ายวน
หงิงๆๆๆ ………
พอตู๋กูจุนมาถึง สีหน้าของผู้คนมากมายก็ไม่สู้ดี
เมื่อหลายวันก่อน ไทเฮาทรงถูกกักบริเวณ ตู๋กูจุนเองก็ได้รับบาดเจ็บ ฟังว่าหนักหนาจนเกือบตาย ดังนั้นบารมีของตระกูลตู๋กูในช่วงนี้จึงตกต่ำลงไปไม่น้อย
ดูเอาสิ เกิดเป็นคนก็อย่าได้ลอยจนสูงส่งเกินไปนัก มิเช่นนั้นแม้แต่สวรรค์ก็อาจจะเขม่นเข้าได้
องค์หญิงใหญ่ทรงเสด็จมาถึงก่อนพวกเขามากนัก นางประทับนั่งอยู่ก่อนแล้ว พอนางหันไปทอดพระเนตรมองตู๋กูจุน ตู๋กูจุนก็มองมาที่นางอยู่เช่นกัน ดวงตาของคนทั้งสองต่างก็สบตากัน
คนหนึ่งแฝงความเกลียดชัง คนหนึ่งแฝงความห่วงใย
หยวนเฟยล้วนมองเห็นทั้งหมด ในใจของนางก็รู้สึกว่าตู๋กูจุนช่างน่าสงสาร
ยามที่เขาได้รับบาดเจ็บนั้น ยังคงคอยห่วงใยองค์หญิงใหญ่อยู่ทุกเวลานาที อีกทั้งยังสั่งให้เหล่าลูกน้องที่มีฝีมือดีที่สุดไปคอยคุ้มครององค์หญิง
แต่ว่าองค์หญิงใหญ่กลับไม่ทรงรับน้ำใจ
วันนี้หย่งเฉิงอ๋องสองสามีภรรยาก็เข้าวังมาเช่นกัน หย่งเฉิงอ๋องยังคงจดจำรับสั่งของฝ่าบาทได้ จึงได้นำดอกซิ่วชิวฮวาสองต้นที่ใหญ่เป็นพิเศษมาด้วย ต้นไม้ถูกห่อมาอย่างดีอยู่ในกระถาง รอจนจบงานเลี้ยงพระราชทานแล้วจึงจะส่งเข้าไปถวายตำหนักเฟิ่งหมิง
พระยาชาประทับนั่งอยู่ข้างกายท่านอ๋อง นางกวาดเนตรมองไปทั่ว ในที่สุดก็เห็นเจ้าลูกตัวร้ายของตนในชุดแดงเพลิง แต่งหน้าอย่างประณีตงดงาม เข้ามาในงานภายใต้สายตานับพันของผู้คนโดยมีนางกำนัลคอยประคับประคอง
พระชายาอดที่จะนวดคลึงขมับของตนเองไม่ได้ ท่วงท่าการย่างกรายของเจ้าลูกตัวร้าย แม้แต่สตรีจริงๆ ก็ยังเย้ายวนสู้เขาไม่ได้เลย
หย่งเฉิงอ๋องเองก็มีสีหน้าที่ยากจะบรรยายได้
พอซูเม่ยเข้ามาในตำหนักจิ่นซิ่วก็คลี่ยิ่มให้ผู้คนทั้งหมดรอบหนึ่ง ทำเอาคนทั้งหลายวิญญาณหลุดลอย ทั้งยังลอบก่นด่าว่าเขาเป็นนางมารตัวจริง
แต่ก็มีไม่น้อยที่พุ่งเข้ามาประจบประแจงเขา สรรเสริญที่เขาได้รับความโปรดปรานแต่เพียงลำพัง ทั้งยังสนับสนุนให้มีองค์ชายน้อยโดยเร็ว เพื่อจะได้ขึ้นเป็นฮองเฮา
อีกทั้งยังไม่ลืมที่จะทับถมตู๋กูซิงหลัน โฉมงามอันดับหนึ่งที่ไหนกัน ได้เข้าไปอยู่ตำหนักเฟิ่งหมิงแล้วอย่างไร ได้แต่เป็นหญิงม่ายที่ไม่มีผู้ใดรัก แก่เฒ่าไปแต่เพียงลำพัง
ซูเม่ยชักจะอารมณ์ไม่ดีขึ้นมาแล้ว ใครบอกว่าอาหลันไม่มีผู้ใดรักใครกัน? เขาไม่ใช่คนหรืออย่างไร?
พวกนี้คิดว่าที่เขาแต่งหน้าแต่งตามาอย่างงดงามก็เพื่อให้ใครชมดูกัน? ยังไม่ใช่เพราะว่าอาหลันชมชอบสิ่งสวยงามที่สุดหรอกหรือ ดังนั้นของเพียงเขาได้ปรากฎตัวที่เบื้องหน้าอาหลันเมื่อใด ย่อมต้องงดงามอย่างที่สุดอยู่เสมอ
พวกที่คอยมาประจบประแจงเขายังคงเข้าใจไปว่าเขาหงุดหงิดใจที่ถูกนำไปเปรียบเทียบกับตู๋กูซิงหลัน
จึงยิ่งพากันเหยียบย่ำซ้ำเติมตู๋กูซิงหลันเข้าไปอีก
” หวงกุ้ยเฟยพะย่ะค่ะ ถึงวันนี้ไทเเฮาก็ทรงถูกกักบริเวณไปแล้ว เกรงว่างานเลี้ยงพระราชทานในวันนี้คงไม่อาจมาร่วมได้แล้ว”
” ใช่เพคะ ในสายพระเนตรของฝ่าบาทมีแต่ท่านเพียงผู้เดียว นี่ไม่ใช่เท่ากับว่า วังหลังที่มีพระสนมสามพันนั้นพระองค์มิไม่ทรงเหลียวแลผู้ใดเลยดอกหรือเพคะ”
” ต่อให้ไทเฮาเสด็จมาจริง ไหนเลยจะยังมาแข่งขันกับท่านได้อีก? ฉายาโฉมงามอันดับหนึ่งของต้าโจว ก็เป็นเพียงเพราะในยามนั้นตระกูลตู๋กูมีกำลังแข็งแกร่งหรอก ถึงได้ยกนางขึ้นมาอวดโอ้ก็เท่านั้นเอง”
” ใช่แล้วๆ พระสนมต่างหากจึงจะเป็นโฉมงามอันดับหนึ่ง! “
พวกเขาย่อมไม่กล้ากล่าวเสียดังจนเกินไป เพราะอย่างไรตู๋กูจุนที่คอยปกป้องคนในครอบครัวอยู่เสมอก็อยู่ในที่นี้ด้วย หากว่าถูกเขาได้ยินขึ้นมาคงจะเป็นเรื่องอีกมิใช่น้อย
ซูเม่ยสาดสายตาเย็นชาใส่พวกเขารอบหนึ่ง จดจำรูปร่างหน้าตาของพวกเขาแต่ละคนเอาไว้เป็นแม่นมั่น ต่อไปทุกๆ วันยามอยู่ใกล้จีจวนจะคอยรายงานเรื่องชั่วช้าของคนกลุ่มนี้
จากนั้นก็มิได้ใส่ใจคนพวกนี้อีก เพียงนั่งลงในที่ของตนเอง
ฐานะของหวงกุ้ยเฟยย่อมสูงส่ง ที่ประทับย่อมอยู่ด้านข้างของฝ่าบาท
อันหร่วนมีฐานะเป็นแม่นมของฉางซุนฮองเฮา อีกทั้งยังเป็นพระพี่เลี้ยงในยามเยาว์วัยของฝ่าบาท ที่นั่งของนางย่อมไม่อาจต่ำต้อยไปได้ ย่อมอยู่ที่ด้านข้างของหวงกุ้ยเฟยนั่นเอง
นับตั้งแต่ที่ซูเม่ยก้าวเข้ามา นางก็คอยจับตาดูอยู่แล้ว
ซูเม่ยหันมาสบตากับนางครั้งหนึ่ง ” บนใบหน้าของข้ามีขนมเปี๊ยะชิ้นโตหรืออย่างไร หมัวมัวถึงได้จับจ้องมองไม่เลิก? “
” วันนี้หวงกุ้ยเฟยงดงามเหนือธรรมดา ข้าผู้เฒ่ามองเพลินไปสักหน่อย กุ้ยเฟยไยจะต้องถือสา ” อันหร่วนกล่าวแล้ว ก็กวาดสายตามองไปทางอื่น
พึ่งจะละสายตาจากมา นางก็ได้ยินเสียงผู้คนสูดลมหายใจเข้าไปอย่างเหน็บหนาว
เห็นที่หน้าประตูพระตำหนักจิ่นซิ่ว มีเงาร่างสีทองสองเงากำลังผ่านเข้ามา
ฝ่าบาททรงฉลองพระองค์มังกรทองตลอดทั้งพระองค์ บนพระเศียรทรงพระมาลา ทั้งสายพระเนตรและพระขนงเปล่งประกายด้วยพระบารมีของกษัตริย์
เดิมที่พระองค์ก็ทรงมีพระสิริโฉมงดงามอยู่แล้ว ยามนี้ตลอดทั้งร่างยิ่งกำจายรัศมีของฮ่องเต้ออกมา จึงยิ่งนับว่าสูงส่งหาที่ใดเปรียบ ไม่ว่าผู้ใดที่คิดจะไปยืนอยู่ใกล้ก็มีแต่ต้องหมองราศีไปจนหมด
แต่ว่าสตรีที่ยืนอยู่เคียงข้างพระองค์ในยามนี้กลับสง่างามแช่มช้อย
นางสวมชุดหงส์สีทองเช่นเดียวกันกับฮ่องเต้ บนศีรษะมีมงกุฎหงส์ที่ประดับด้วยพู่ทองทั้งสิบสองสาย ใบหน้างดงามอ่อนหวานอย่างหาใดเปรียบ ริมฝีปางเล็กบาง คิ้วดั่งคันศร มงกุฎหงส์ที่งดงามประณีตก็ยิ่งส่งเสริมความความงามสง่าของนางจนไร้ผู้ใดจะเปรียบได้
สตรีผู้นี้ เมื่อยืนอยู่เคียงข้างฝ่าบาทแล้ว ก็มิได้ถูกเปรียบเทียบว่าดูด้อยไปกว่า กลับยิ่งส่งเสริมพระบารมีให้ยิ่งใหญ่เรืองรองกว่าเดิม
นอกจากคำว่างดงามหาใดเปรียบ สูงส่งเหนือธรรมดาแล้ว พวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะสรรหาคำใดมาบรรยายได้อีก
กลุ่มคนที่พึ่งจะเหยียบย่ำตู๋กูซิงหลันอยู่เมื่อครู่เป็นต้องปากอ้าตาค้าง
นี่คือ…….ตู๋กูซิงหลันหรือ? ไทเฮาน้อยที่ถูกกักบริเวณเอาไว้ผู้นั้น?
ทำไมนางถึงได้เสด็จมาพร้อมกับฝ่าบาทได้กัน? อีกทั้งยังแต่งกายเข้ากันอีกด้วย!