ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 185 ลี่โจว
พวกมันอยู่มาตั้งนานแล้งยังไม่เคยเห็นไก่ที่กล้าชูคอผงาดเช่นนี้มาก่อน!
ดูอุ้งเท้าและเดือยแหลมนั่นสิ แค่เห็นก็รู้แล้วว่าเป็นไก่โหดตัวหนึ่ง ไม่อาจเคี้ยวได้ง่าย
โดยเฉพาะสายตานั่น มีไอสังหาร!
ว่ากันตามจริง ตู๋กูซิงหลันก็รู้สึกว่าประหลาดอยู่บ้าง เดิมที่นางคิดจะหาผ้ามาผูกมันเอาไว้บนหลังม้า ใครจะไปคิดว่าไก่จะขี่ม้าเป็น ตลอดทางแม้จะขรุขระอย่างไรก็ไม่สามารถทำให้มันตกลงมาได้
วิญญาณทมิฬตั้งใจอย่างเด็ดขาดว่าจะต้องหาโอกาสกินเจ้าติ๊งต๊องนี้ให้ได้
ว่ากันตามจริงแล้ว เจ้าไก่ที่กระโดดออกมาจากสุสานตัวนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นตัวอะไรที่ไม่ธรรมดาก็เป็นได้
มันหมอบอยู่บนหัวไหล่ของตู๋กูซิงหลันมาตลอดทาง จับจ้องเจ้าติ๊งต๊องด้วยสายตาเ**้ยม
ติ๊งต๊องเองก็หันกลับไปหรี่ตาใส่มัน ด้วยแววตาประหนึ่งว่าหากเจ้ามีปัญญากล้ามากลืนตัวพ่อเช่นข้าในคำเดียว ข้าก็มีปัญญาจิกเจ้าสักร้อยครั้งเช่นกัน
มาเด้ มาอัดกันสักรอบเป็นไง ใครกลัวใครกัน!
“”………………………..
ลี่โจวตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของต้าโจว ถึงแม้จะอยู่ห่างจากเมืองหลวงมาก แต่ที่จริงแล้วเป็นผืนแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์
หลายร้อยหลายพันปีก่อน แม่น้ำลี่เหอได้ล่อเลี้ยงแผ่นดินแถบนี้ แต่ก่อนที่ต้าโจวจะก่อร่างสร้างแคว้นขึ้นมา ก็มีศึกสงครามอยู่ตลอด แก่งแย่งทรัพยากรกันมิได้ขาด สร้างความเสียหายอย่างรุนแรงต่อลุ่มแม่น้ำลี่เหอ ดังนั้นเมื่อปฐมกษัตริย์ได้ก่อตั้งแคว้นขึ้นมาแล้ว แม่น้ำลี่เหอจึงได้กลายเป็นปัญหาใหญ่ของราชวงค์ต้าโจว
ตลอดหลายปีมานี้ได้ทุ่มเทเงินลงไปเป็นจำนวนมากเพื่อสร้างเขื่อน ป้องกันน้ำหลาก แต่ว่าจะอย่างไรก็ไม่ได้ผล มวลน้ำกลับรุนแรงขึ้นทุกๆ ปี กระทั่งฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ สถานการณ์น้ำในลี่โจวก็ทวีความรุนแรงจนถึงขีดสุด
ยามนี้ถึงขนาดที่ว่าเขื่อนกั้นก็ได้พังทลายลงไปแล้ว ฟังว่าหมู้บ้านหลายสิบแห่งที่อยู่ใต้ลี่โจวล้วนจมอยู่ใต้น้ำ ผู้คนล้มตายนับไม่ถ้วน
ตู๋กูซิงหลันขี่ม้า ทันทีที่เข้าไปในเขตของลี่โจว ก็พบว่าบนท้องฟ้าเหนือลี่โจวอบอวลไปด้วยไอหยินและแรงพยาบาท กลายเป็นหมอกดำไปทั้งแถบ กระทั่งตาเนื้อยังสามารถมองเห็นได้บางส่วน
เพียงแต่ว่าสำหรับคนธรรมดาแล้ว นี่เป็นเพียงเมฆดำปกคลุมเท่านั้น
” สวรรค์โปรด นี่มีคนตายไปมากเท่าใดกัน แต่ละคนวิญญาณวนเวียนไม่ยอมไปไหน หากว่าที่นี่มีตัวปีศาจอะไร กลืนกินวิญญาณเหล่านี้เข้าไป ไม่รู้ว่าจะกลายเป็นแข็งแกร่งถึงเพียงไหน! “
มันหมุนคอไปมองโดยรอบ อดที่จะน้ำลายไหลย้อยไม่ได้ วิญญาณคนตายเหล่านั้นน่ากินเหลือเกิน นับตั้งแต่ครั้งก่อนที่มันได้กินปีศาจความฝันตัวนั้นลงไป มันก็ไม่ได้กินอะไรดีๆ มานานแล้ว
ตู๋กูซิงหลันดึงรั้งสายบังเ**ยน ในใจรู้สึกเคร่งเครียดขึ้นมา
ไม่น่าแปลกที่วิญญาณคนตายเหล่านี้มีแรงพยาบาทรุนแรง ในหมู่พวกเขาที่จริงแล้วมีคนจำนวนมากที่สมควรจะมีอายุยังไม่หมดอายุขัย พอคนพวกนี้ตายลงแรงพยาบาทก็พวยพุ่งขึ้นฟ้า แม้แต่ธาตุปฐพีก็ยังดึงรั้งเอาไว้ไม่อยู่ ได้แต่กลายเป็นวิญญาณร้ายวนเวียนอยู่บนโลก
หากว่าไม่อาจลดทอนความรุนแรงลงได้ พวกเขาก็จะกลายเป็นวิญญาณตายโหง หรือไม่ก็ถูกปีศาจที่มีอิทธิฤทธิ์สูงกว่ากลืนกิน กลายเป็นอาหารหล่อเลี้ยงปีศาจทั้งหลาย
ยามนี้ก็ใกล้จะมืดค่ำเข้าไปทุกทีแล้ว ประตูเมืองลี่โจวยังไม่ปิด นางจึงขี่ม้าเขาไป ทั่วทั้งเมืองลี่โจวเต็มไปด้วยบรรยากาศที่หดหู่และสูญเสีย อากาศอับชื้นและมีไอเย็นยะเยือก ทำให้คนรู้สึกไม่สบายตัวอย่างยิ่ง
บนถนนมีผู้คนเดินผ่านบางตา คนพวกนี้ต่างก็โพกผ้าปิดหน้า แต่ละคนเดินทางอย่างรีบร้อน
บนถนนใหญ่ไม่มีแม้แต่ร้านหาบเร่เล็กๆ ร้านรวงในเมืองต่างปิดกิจการ ราวกับว่าทั้งเมืองกลางเป็นเมืองร้าง
ผู้ปกครองลี่โจวคือลี่โจวอ๋อง พระเจ้าอาคนที่สิบหกของจีเฉวียน นามจีหราน
จีหรานเป็นโอรสเกิดจากปฐมกษัตริย์ทรงดื่มสุราจนเมามายแล้วไปคว้านางกำนัลผู้หนึ่งขึ้นมา แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยได้รับความโปรดปรานจากปฐมกษัตริย์ ตอนที่อายุเพียงห้าหกชันษาก็ถูกส่งมายังลี่โจวแล้ว แม้แต่ราชทินนามก็ยังคร้านจะตั้งให้ ดังนั้นจึงถูกเรียกว่าอ๋องหรานเสียอย่างนั้น
ยามปกติแม้ว่าในวังหลวงจะมีเรื่องอันใดก็ไม่เคยเรียกเขากลับเมืองหลวง
ดังนั้นในแผ่นดินนี้จึงแทบไม่มีผู้ใดกล่าวถึงชื่อของหรานอ๋อง
ตู๋กูซิงหลันเองก็ไม่เคยพบเห็นพระเจ้าอาผู้นี้มาก่อน
พี่รองรับพระบัญชามาบรรเทาทุพภิกขภัยที่ลี่โจว ย่อมต้องพักอยู่ในตำหนักของหรานอ๋อง
ตู๋กูซิงหลันขี่ม้าไปจนถึงประตูตำหนักของหรานอ๋อง แต่กลับเห็นว่าประตูตำหนักหรานอ๋องถึงกับขึ้นรา มีแต่คราบสกปรก
แม้แต่อักษรหรานบนประตูยังก็ยังบวมเบี้ยวจนผิดรูป
ประตูใหญ่ของตำหนักหรานอ๋องปิดสนิท แม้แต่คนเฝ้าประตูที่ด้านนอกก็ยังไม่มี แลดูมอซออย่างที่สุด
ดูอย่างไรก็ไม่เหลือศักดิ์ศรีของอ๋ององค์หนึ่งเลยแม้สักน้อย ทั้งๆ ที่มีดินแดนของตนเอง แต่ตำหนักนี้กลับไม่มีความสง่างามเลยสักนิด ไม่อาจจะเทียบได้แม้แต่กับจวนของขุนนางขั้นห้าขั้นหกในเมืองหลวง
ตู๋กูซิงหลันพลิกตัวลงจากหลังม้า นางไปเคาะประตูอยู่ครู่หนึ่ง ก็ไม่มีคนตอบรับแม้สักคนเดียว
ผ่านไปครู่หนึ่ง ก็มีเด็กชายอายุประมาณเจ็ดแปดขวบเดินมาตามท้องถนนอย่างมือเท้าอ่อนแรง เขากระตุกขากางเกงของตู๋กูซิงหลัน ถามอย่างอ่อนน้อมว่า ” พี่ชายขอรับ ท่านมีถังหูลู่ (ผลไม้เคลือบน้ำตาลเสียบไม้) บ้างหรือไม่?
ตู๋กูซิงหลันหันหน้ากลับไปมอง ก็เห็นเด็กชายที่ผ่ายผอมจนมีแต่โครงกระดูกเพราะความหิวโหย ดวงตาคู่นั่นจมลึกลงไปในเบ้าตา
เสื้อผ้าบนร่างมีแต่โคลน ทั้งยังมีกลิ่นเหม็นโชย
มือของเขาทำให้ขากางเกงตู๋กูซิงหลันสกปรก พอเห็นว่าตู๋กูซิงหลันกำลังมองดูเขา เด็กชายก็รีบคลายมือออก กล่าวกับนางว่า ” ขออภัยขอรับ ทำให้เสื้อผ้าของท่านสกปรกแล้ว “
ในดวงตาของเขามีแต่ความหวาดกลัว แต่ก็ยังมีความหวังแฝงอยู่ ” ข้า…น้องสาวของข้าป่วยแล้ว นางกินอะไรไม่ลง นางชอบกินถังหูลู่ที่สุดเลย ข้าอยาก…..อยากได้มาสักนิด สักเม็ดเดียวก็พอ เม็ดเดียวก็พอแล้ว “
พูดแล้วเขาก็ก้มศีรษะลงไป ทั้งยังไม่กล้ายื่นมือมาจับขากางเกางของตู๋กูซิงหลันอีก
ตู๋กูซิงหลันได้กลิ่นเหม็นจากตัวเขา เป็นกลิ่นศพที่ชัดเจน
ตอนที่ตู๋กูซิงหลันมาถึงนอกเมืองลี่โจวก็พบกับผู้ประสบภัยอยู่ไม่น้อย อาหารแห้งที่มีติดตัวถูกแบ่งไปจนหมดแล้ว ตอนนี้ในตัวนอกจากเงินทองแล้วก้ไม่มีของกินอะไรเลย
อ๋อ ยังมีเจ้าติ๊งต๊องที่เป็นอาหารสำรองนั่นอยู่
แต่ว่าที่นี่แม้แต่ร้านหาบเร่เล็กๆ ก็ยังไม่มี ต่อให้มีเงินก็ไม่อาจซื้อถังหูลู่ได้
นางหันกลับไปมองดูประตูใหญ่ที่ปิดสนิทของตำหนักหรานอ๋องครู่หนึ่ง พลางบอกกับเด็กชายว่า ” ข้าไม่มีถังหูลู่ แต่ว่าข้าเป็นหมอ พาข้าไปหาน้องสาวเจ้าเถอะ ได้ไหม? “
เด็กชายตัวน้อยเห็นนางหน้าตาหล่อเหลามาก ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็พยักหน้า ” ได้ขอรับ “
รับคำแล้วเขาก็เดินนำไปข้างหน้า เขาเดินด้วยเท้าเปล่า ส้นเท้ามีรอยเลือด แผลพุพอง และแผลแตก
เวลาเดินย่อมต้องเจ็บปวดเป็นอย่างมาก แต่เขากลับกัดฟันแน่นไม่ส่งเสียง เพียงนำตู๋กูซิงหลันเดินคดโค้งไปมาจนถึงอารามที่ผุพังนอกเมืองลี่โจว
ในอารามที่ผุพังมีรูปปั้นเทพธิดาที่ศีรษะเป็นคนและท่อนร่างเป็นงูอยู่ เพียงแต่ไร้ธูปเทียนให้ความเคารพมานานแล้ว เทพธิดามีแต่ฝุ่นปกคลุมไปทั้งร่าง หยากไย่เกาะไปทั้งศีรษะ รอยยิ้มที่เคยดูมีเมตตา ตอนนี้กลับดูไปแล้วน่ากลัวอยู่บ้าง
เด็กชายนำนางเข้าไปด้านใน จากนั้นก็เห็นเขาเดินไปจนถึงโต๊ะบูชาใต้ฐานเทพธิดา เคลื่อนย้ายกองหญ้าฟางที่ปิดอยู่ออกไป ข้างใต้นั้นก็ปรากฎเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่ผ่ายผอมออกมา
จากนั้นเขาก็เขาไปกอดเด็กหญิงเอาไว้ในอ้อมแขน จูบเบาๆ ลงบนใบหน้าของนาง กล่าวอย่างอ่อนโยนว่า ” น้องจ๋า ข้ากลับมาแล้ว “
เด็กหญิงตัวน้อยดูแล้วมีอายุเพียงสามสี่ขวบเท่านั้น ผ่ายผอมจนแทบไม่เป็นรูปร่าง เสื้อผ้าบนร่างขาดวิ่น กระดูกแต่ละท่อนล้วนปูดโปนออกมา ดูไปราวกับศพแห้งๆ ร่างหนึ่ง
ที่ข้างกายเด็กหญิงยังมีของกินอยู่บ้าง หมั่นโถที่ขึ้นราครึ่งลูก แอปเปิ้ลที่กัดไปแล้วคำหนึ่ง และยังมีเศษอาหารอื่นๆ อีกเล็กน้อย
ตู๋กูซิงหลันเพียงมองแค่แว่บเดียวก็รู้ว่า เด็กหญิงตัวน้อยสิ้นลมจนเหลือแต่เพียงร่างมาหลายวันแล้ว
กลิ่นศพที่อยู่บนร่างเด็กชาย ก็มาจากน้องสาวของเขานั่นเอง
แต่เด็กชายกลับดูไม่ออกว่านางตายไปแล้ว ยังคงกล่าวด้วยเสียงนุ่มนวลที่ข้างหูของนางว่า ” น้องจ๋า วันนี้เจ้ากินอะไรสักคำดีไหม? “
” รอจนน้ำหลากลดไปแล้ว พวกเราก็กลับบ้านกัน พี่จะหาเงินมาซื้อถังหูลู่ที่เจ้าชอบกินที่สุด ซื้อมาเยอะๆ ให้เต็มบ้านเอาให้เจ้ากินจนพอใจเลยนะ “