ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 186 เทพธิดา
” ท่านพ่อท่านแม่ต่างก็ไม่อยู่แล้ว น้องจ๋าเจ้าต้องเชื่อฟังนะ กินอาหารเยอะๆ อย่าได้ทิ้งพี่ชายเอาไว้เพียงลำพังนะรู้ไหม? ” ขณะที่เขาพร่ำพูดไปเรื่อยๆ นั้น เด็กหญิงตัวน้อยในอ้อมแขนกลับกลับไม่มีปฏิกริยาเลยแม้แต่น้อย ดวงตาที่แม้ตายไปแล้วก็ไม่ยอมปิดคู่นั้นเบิกโพลง
ตู๋กูซิงหลันเห็นแล้วก็ปวดใจอยู่เงียบๆ ตอนนี้ตัวนางเองก็เป็นคนที่มีพี่ชายเช่นกัน หากว่ามีสักวันที่พวกพี่ชายต้องโศกเศร้าเพราะนางเช่นเดียวกับเด็กชายตัวน้อยนี้แล้วล่ะก็ นางคิดว่าตนเองคงจะต้องเสียใจแทบตายเช่นกัน
นางเองก็ไม่รู้ว่าคนที่หิวตายทั้งเป็น ตอนยังมีชีวิตอยู่จะต้องผ่านประสบการณ์แห่งความสิ้นหวังเพียงไร
แถมยังเป็นเพียงเด็กหญิงตัวน้อยเท่านี้
ในโลกของนาง เด็กๆ ตัวแค่นี้สมควรอยู่ภายใต้การปกป้องคุ้มครองของพ่อแม่ ไปโรงเรียนอนุบาลอย่างไร้ทุกข์ไร้โศกใดๆ
แต่ภายใต้การปกครองของราชวงค์นี้ ชีวิตคนมิได้ต่างไปกับใบหญ้า อย่าว่าแต่ชาวบ้านธรรมดาเลย แม้แต่นางที่เป็นไทเฮายังสามารถเสียหัวไปได้ทุกข์ขณะจิต
นางคุกเข่าลงไป พอยื่นมือออกไป ก็เห็นเด็กชายโอบกอดน้องสาวตัวน้อยแนบแน่น
ครู่หนึ่ง เขาก็คลายมือออกอย่างไม่อาจทำอะไรได้ วางน้องสาวลง โขกศีรษะให้ตู๋กูซิงหลันหนักๆ ” พี่ชาย ท่านเป็นหมอ ท่านช่วยน้องสาวของข้าได้ไหม? นางไม่ยอมกินอะไรมาสามวันแล้ว ขอท่านโปรดช่วยนาง จะให้ข้าเป็นวัวเป็นควายรับใช้ท่านก็ได้ทั้งนั้น “
เขาโขกศีรษะตนเองอย่างแรง จนผิวหนังบนหน้าผากแตก เลือดสดๆ ไหลซึม จากข้างแก้มมาถึงลำคอ แลดูยิ่งน่าอนาถใจอย่างที่สุด
” ขอร้องท่านแล้ว “
เขาพูดแล้ว ก็คิดจะโขกศีรษะให้ตู๋กูซิงหลันอีก ตู๋กูซิงหลันดึงเขาขึ้นมา ” น้องสาวของเจ้าไม่อยู่แล้ว “
คำพูดเช่นนี้สำหรับเด็กชายที่อายุเพียงเจ็ดแปดขวบ นับว่าโหดร้ายเกินไปแล้ว
” ไม่มีทาง! น้องสาวเพียงแต่…. เพียงแต่…….” เด็กชายพูดไปก็ สะอึกสะอื้นจนพูดไม่ออกอีก
ที่จริงแล้วเขารู้ดีว่า น้องสาวก็เป็นเหมือนกับพ่อและแม่ ต่างก็ทอดทิ้งเขาไปแล้ว
แต่ว่าเขาไม่อยากจะยอมรับเรื่องนี้ ไม่มีน้องสาวแล้ว ในโลกนี้ก็เหลือเพียงเขาอยู่อย่างลำพังเพียงคนเดียว
ไม่มีคนรักเขา และไม่มีคนที่เขารัก เขาได้แต่รอความตายอย่างโดดเดี่ยวเพียงลำพัง
” หากว่าข้า….หากว่าข้าหาถังหูลู่มาได้สักเม็ด นางก็คงจะไม่…..ก็คงจะไม่ตาย…….ข้ามันไม่ใช่พี่ชายที่ดี ข้าไม่ได้ดูแลนางให้ดี “
เขานึกว่า เพียงแค่สามารถหาถังหูลู่ที่นางชอบกินมาได้ นางก็จะมีชีวิตคืนมา
ร่างเล็กๆ ของเขาสั่นสะท้าน ริมฝีปากถูกกัดจนเลือดไหล น้ำตาไหลเป็นทาง โศกเศร้าเสียใจอย่างที่สุด
ตู๋กูซิงหลันเห็นท่าทางของเขา นางก็ปวดใจจนต้องโอบเด็กชายคนนั้นเข้ามาในอ้อมกอด ลูบไล้ศีรษะของเขาเบาๆ ” ถึงแม้ว่านางจะไม่อยู่ในโลกนี้แล้ว แต่ว่าจะได้ไปมีชีวิตอยู่ในที่ที่มีความสุข ที่นั่นไม่มีความหิวโหย ไม่มีความเจ็บปวด ยิ่งไม่มีน้ำหลาก เจ้าสมควรจะยินดีแทนนาง “
บนร่างของเด็กหญิงตัวน้อยยังมีเศษเสี้ยวของดวงจิตที่บริสุทธิ์เหลืออยู่ อีกทั้งยังมิได้ถูกไอพยาบาทในเมืองลี่โจวครอบงำ นางตายตาไม่หลับ คงเพราะห่วงใยไม่อาจทอดทิ้งพี่ชายคนนี้
ตู๋กูซิงหลันพูดพลาง ก็ยื่นมือออกไปลูบลงบนดวงตาของเด็กหญิงเบาๆ พอดวงตาของนางปิดสนิทแล้ว สีหน้าของนางก็เปลี่ยนเป็นสงบขึ้นมา
เด็กชายตัวน้อยมองมา นับตั้งแต่วันที่น้องสาวไม่ยอมกินอะไรเลย เขาก็คิดจะหาทางให้นางหลับตาพักผ่อน แต่ว่าดวงตาของนางกลับไม่ยอมปิดลง
ตอนนี้พี่ชายผู้นี้เพียงแต่ลูบไล้เบาๆ นางก็หลับตาลงแล้ว
ในสายตาของเด็กชายผู้นี้ ตู๋กูซิงหลันพลันกลายเป็นยิ่งใหญ่ไร้ที่เปรียบ
น้องสาว…..ได้ไปมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขในอีกที่หนึ่งจริงหรือ?
ตู๋กูซิงหลันปล่อยตัวเด็กชาย นางเรียกดวงวิญญาณเด็กหญิงจากร่าง พลางหยิบยันต์ใบหนึ่งออกมา ผนึกลงไปบนดวงจิตของเด็ก
นางนั่งลงขัดสมาธิ สวดมนต์ชักนำวิญญาณไปสู่การจุติใหม่ออกมา ดวงวิญญาณปรากฎแสงสว่างสะอาดบริสุทธิ์ ภายใต้ยันต์คุ้มครองของนาง เด็กหญิงตัวน้อยสมควรเข้าสู้วัฎสังขารได้อย่างราบรื่น ชาติหน้าย่อมสามารถเกิดใหม่ในชาติภพที่ดีได้
เด็กชายตัวน้อยเงยหน้าขึ้น ราวกับว่าเขาก็มองเห็นแสงสว่างนั้น
” พี่ชาย ท่านสามารถส่งข้าไปที่เดียวกับน้องสาวได้หรือไม่? ” เขาถามตู๋กูซิงหลันออกมา
” สักวันหนึ่งเจ้าก็จะได้ไป ตอนนี้ยังไม่ได้ ” ตู๋กูซิงหลันส่ายศีรษะ โอบอุ้มร่างของเด็กหญิงตัวน้อยขึ้นมา ตระเตรียมจะหาสถานที่ฝังกลบนาง
มีแต่กลับคืนสู่พสุธา ดวงวิญญาณจึงจะได้รับความสงบสุขอย่างแท้จริง
เด็กชายไม่ได้ขัดขวางนางอีก เพียงแต่ติดตามนางมาโดยตลอด
ตอนที่ตู๋กูซิงหลันขุดหลุม เขาก็โกยดินด้วยมือเปล่าอยู่ด้านข้าง สองมือถลอกปอกเปิกจนเลือดออก ก็ไม่ส่งเสียงแม้ครึ่งคำ
พอฝังเด็กหญิงเรียบร้อย ท้องฟ้าก็มืดสนิทลง
เด็กชายโขกศีรษะที่หน้าสุสาน วางแอบเปิ้ลที่กัดไปเพียงคำเดียวทั้งยังสุกจนเน่าแล้วเอาไว้ด้านบน ” น้องจ๋า รอจนข้าได้ไปที่เดียวกับเจ้าที่นั้น จะต้องหาเจ้าจนพบ เจ้าอย่าได้ลืมข้านะ “
ยามนี้ที่จริงเป็นฤดูใบไม้ผลิแล้ว แต่ว่าอากาศในลี่โจวยังหนาวเย็นกว่าค่ำคืนในฤดูหนาวของเมืองหลวงอยู่หลายส่วน
สายลมพัดหวีดหวิว ราวกับว่ามีภูติผีนับพันนับร้อยกรีดร้องอยู่ที่ริมหู
แต่เด็กชายตัวน้อยผู้นั้นคล้ายกับว่าคุ้นเคยเสียแล้ว เขาติดตามมาข้างกายตู๋กูซิงหลันอยู่ตลอด ยามนี้ค่อยกล่าวออกมาว่า ” พี่ชายมาตามหาหรานอ๋องหรือ? “
” อืม ” ตู๋กูซิงหลันผงกศีรษะ นางจูงม้า อุ้มเด็กชายขึ้นบนหลังมา เดินกลับไปทางอารามที่ผุผัง
” หรานอ๋องผู้นั้นไม่ได้เรื่อง ท่านอย่าได้ไปตามหาเขาเลย ” เด็กชายนั่งอยู่บนหลังม้าส่ายศีรษะให้นาง
” หืม? เจ้ารู้อะไรมาหรือ? ” ตู๋กูซิงหลันประหลาดใจอยู่บ้าง ตลอดทางที่มายังลี่โจว ได้ยินผู้คนสรรเสริญหรานอ๋องไม่น้อย ฟังว่าตอนที่แม่น้ำลี่เหอเอ่อล้นขึ้นมานั้น หรานอ๋องไม่สนใจตนเอง ใช้ร่างเข้ากั้นขวางกระแสน้ำเอาไว้ หากไม่ใช่เพราะเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาดึงดันพากลับไป เกรงว่าหรานอ๋องเองก็คงไม่เหลือรอดแล้ว
ยังได้ยินมาอีกว่า เพื่อช่วยเหลือชาวบ้านที่ประสบเภทภัย หรานอ๋องเปิดยุ้งฉางของเมืองลี่โจวออกแจกจ่าย จนแม้แต่ในจวนของตนเองก็เหลือแต่โจ๊กใสที่นับเมล็ดข้าวได้เท่านั้น
จากปากของชาวบ้าน เขานับว่าเป็นอ๋องที่ดีผู้หนึ่ง
ท่านอ๋องที่ได้รับการสรรเสริญผู้หนึ่ง ทำไมพอออกจากปากของเด็กชายก็กลายเป็นไม่ดีแล้ว?
” มีเย็นวันหนึ่งข้าไปที่ตำหนักของหรานอ๋องเพื่อขโมยของกินให้น้องสาว ข้าเห็นเขากินเนื้อ กินเนื้อดิบๆ สดๆ จำนวนมาก เขาโกหกพวกเรา ” เขาเป็นผู้ใหญ่ตัวโตที่หลอกลวง”
ตู๋กูซิงหลันขมวดคิ้วแน่น ขณะที่ครุ่นคิดไปนางก็พาเขากลับมาที่อารามเทพธิดาแล้ว
เด็กชายตัวน้อยเรียกว่า ฮว๋ายอัน เป็นชาวบ้านในหมู่บ้านทั้งห้าที่อาศัยอยู่ใต้แม่น้ำลี่เหอ แม่น้ำลี่เหอไหลท่วมจมหมู่บ้านของเขา เขาและน้องสาวหลบหนีออกมาได้ หลายวันมานี้ได้แต่ขอทานอยู่ในเมืองลี่โจเพื่อประทังชีวิต
เด็กคนนี้ไม่เคยได้กินอิ่มมาหลายมื้อ ทั้งเนื้อทั้งตัวมีแต่บาดแผล น้องสาวก็ยังมาตายจากไป เรียกว่ากำลังใจในการมีชีวิตแทบจะล่มสลาย
ตู๋กูซิงหลันช่วยทำแผลให้กับเขา ใส่ยา เอาเสื้อคลุมของตนถอดออกให้เขาใช้หนุนเป็นหมอน
หลังเที่ยงคืนไปแล้วสายลมด้านนอกก็ยิ่งพัดแรง
ลมพัดเสียงหวีดหวิว ราวกับว่ามีบางสิ่งพยายามจะบุกเข้ามา ตู๋กูซิงหลันสั่งให้เจ้าไก่ขนดำฟูอยู่ที่อาราม คอยดูแลฮว๋ายอัน
นางล้วงเอายันต์ออกมาหลายใบ ผนึกลงไปบนอารามทั้งสี่ทิศ สุดท้ายก็กวาดตาไปยังเทพธิดาที่มีร่างเป็นงูแวบหนึ่ง ก็เข้าไปปัดหยากไย่บนร่างนั้น ใช้แขนเสื้อเช็ดทำความสะอาดฝุ่นควันบนรูปปั้น จึงค่อยนำวิญญาณทมิฬมุ่งไปยังตำหนักของหรานอ๋อง
พอนางพึ่งจะออกจากวัดไป รูปปั้นเทพธิดาก็คล้ายจะมีความเคลื่อนไหว