ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 217 น่าอับอายแทบตายแล้ว!
ในใจของตู๋กูเจวี๋ยสับสนวุ่นวาย เขาหันไปมองดูน้องสาวของตนเองด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยประกายหยดน้ำแห่งความสงสารจนปวดใจ
ต้องมาทนฟังกับหูว่าคนที่ปักใจอยู่มีนางในดวงใจแล้ว ทั้งยังรักถนอมราวกับสมบัติล้ำค่า น้องเล็กคงจะต้องเจ็บปวดแทบเป็นแทบตายเลยใช่ไหม?
เฮ่อ พวกเขาช่างมาได้ไม่ถูกจังหวะเลยจริงๆ ทำไมต้องมาบังเอิญได้ยินฮ่องเต้ตรัสเช่นนี้ด้วยนะ?
” น้องเล็ก หากว่าเจ้าอยากร้องไห้ละก็ บ่าของพี่รองสามารถให้เจ้าซบได้เสมอ ” ตู๋กูเจวี๋ยลูบศีรษะของนางเบาๆ จากนั้นก็ตบไหล่นางอีกหลายครั้ง ” บ่าของพี่รองแม้จะไม่แกร่งหนาเท่าพี่ใหญ่ แต่ว่าก็มั่นคง เจ้าร้องจบแล้ว พี่รองจะไปถกกับเขาให้รู้เรื่อง! “
จะไปถามฮ่องเต้ต่อหน้ากันไปเลยว่านี่มันเรื่องอะไรกัน?
จะทอดทิ้งน้องสาวที่งดงามจนเจิดจ้าของเขา ไปคว้าเอาคนอื่น?
น้องเล็กชอบเขา ก็ถือเป็นเพราะผลบุญที่พระองค์ได้สั่งสมมาแล้วแปดชาติ รู้ไหม?
เขาจะต้องไปพูดกับพระองค์ให้รู้สำนึก ดูซูเม่ยที่เอาแต่เป็นสตรีหว่านเสน่ห์ยั่วยวนนั่นสิ มีตรงไหนที่เทียบกับเส้นผมของน้องสาวเขาได้กัน?
ตอนนี้ตู๋กูซิงหลันถึงกับหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ ทำไมกันนะทั้งที่มีพ่อและแม่คนเดียวกันแท้ๆ แต่พี่รองถึงกับเป็นเอามากเช่นนี้?
นางส่ายศีรษะ ” พี่รอง ข้าเพียงแต่รักฮ่องเต้ดั่งมารดารักบุตร ท่านอย่าได้กล่าวอะไรเหลวไหล “
” เสี่ยวหลันที่น่าสงสาร พี่ชายจะกอดๆ นะ ดูสิตัวล้ำค่าของบ้านเรากลับต้องมาทนต่อความอยุติธรรมเช่นนี้ ” ตู๋กูเจวี๋ยพูดแล้วก็คว้านางเข้าไปในอ้อมแขน ลูบศีรษะให้อย่างปลอบประโลม
นับตั้งแต่กลายเป็นไทเฮา น้องเล็กก็เติบโตขึ้นมาก มิว่าจะเป็นเรื่องใดก็เก็บเอาไว้กับตัวคนเดียว
นี่เป็นเพราะพวกเขาไร้ความสามารถ ไม่อาจจัดการปัญหาคราวเรื่องปีนเตียงมังกรให้จบสิ้นไป ถึงได้ทำให้นางต้องไปลำบากอยู่ในตำหนักเย็น จนบ่มเพาะกลายเป็นนิสัยที่ยอมทนเช่นนี้ขึ้นมา
เขากอดแน่นๆ อยู่หลายครั้ง จากนั้นตู๋กูเจวี๋ยก็ตัดสินใจพุ่งเข้าไปในตำหนักตี้หัวก่อนก้าวหนึ่ง
พอเห็นสีหน้าที่โมโหโกรธาอย่างชัดเจนของเขา หลี่กงกงก็รั้งเอาไว้ไม่อยู่
ทั้งยังไม่กล้ารั้งเอาไว้ มีแต่ฟ้าเท่านั้นที่รู้ว่า คุณชายผู้นั้นสามารถอาละวาดจิกกัดเขาได้จนถึงเพียงไหน
หากเปรียบเทียบกับคุณชายใหญ่ที่ถือดาบฆ่าคนแล้ว คุณชายรองที่สามารถจิกกัดคนได้ผู้นี้ยังรับมือได้ยากกว่ามากนัก
ถ้าเผลอไปสะกิดเข้า สะบัดไม่หลุดเลยทีเดียว!
ในพระตำหนักตี้หัว เหยียนเฉียวหลัวที่ยังคงไม่ได้สติจากการถูกฮ่องเต้หักหน้า ก็เห็นตู๋กูเจวี๋ยเดินผ่านเข้ามา
เขายกมือขึ้นมาถวายคำนับจีเฉวียนครั้งหนึ่ง ” กระหม่อมตู๋กูเจวี๋ย ถวายพระพรฝ่าบาท “
ฮ่องเต้เงยพระพักตร์ขึ้นมามองหน้าเขาแว่บหนึ่ง จากนั้นก็หันไปมองดูตู๋กูซิงหลันที่อยู่ด้านหลังของเขา
นางยังคงแต่งกายด้วยชุดสีดำอมเขียวเช่นเดิม ด้านนอกของกระโปรงเป็นผ้าโปร่งบางๆ ชั้นหนึ่ง เป็นแบบเดียวกับที่เหล่าคุณหนูสูงศักดิ์ทั้งหลายนิยม ไหนเลยจะดูคล้ายลักษณะของไทเฮา
ตอนที่ตู๋กูเจวี๋ยปรากฎตัวขึ้นมานั้น ดวงตาของเหยียนเฉียวหลัวก็พลันกระตุก ยิ่งพอได้เห็นใบหน้าของเขาอย่างชัดเจน มุมปากของนางก็ถึงกับเหวอออกมา
นางยกจอกน้ำชาในมือขึ้นมา ก้มศีรษะดื่มลงไปอึกหนึ่งเพื่อสงบจิตใจ
ก่อนที่นางจะมายังต้าโจวก็ทำการสืบค้นข้อมูลมาแล้วอย่างดี ตั้งแต่ก่อนที่จีเฉวียนจะขึ้นครองราชย์ ตระกูลตู๋กูนี้ก็เป็นตระกูลใหญ่ในแคว้นต้าโจว ที่ไม่อาจโยกคลอนโดยง่ายอยู่แล้ว
นางไหนเลยจะรู้ว่า คนประสาทเสียที่ได้พบกันอย่างบังเอิญผู้นี้จะเป็นคนของตระกูลตู๋กู
ไม่ต้องรอให้เรียกตัวเขาก็สามารถบุกเข้ามาในพระตำหนักของฮ่องเต้ได้ ดูแค่นี้ก็รู้แล้วว่าจะต้องมีฐานะไม่ต่ำต้อย
สายพระเนตรของจีเฉวียนจับจ้องอยู่บนร่างของตู๋กูซิงหลันอยู่ตลอดเวลา เห็นนางเอาแต่รักษาสีหน้าสงบนิ่ง ไม่รู้ว่าที่เขาพูดไปเมื่อครู่นางจะได้ยินบ้างหรือไม่
ตู๋กูเจวี๋ยถวายบังคมแล้ว ก็ยืดตัวขึ้นตั้งตรง ” ฝ่าบาท ที่กระหม่อมมาวันนี้ นอกจากการรายงานสถานการณ์ประจำวันในเมืองหลวงแล้ว ก็มีเรื่องคิดอยากจะขอพระกรุณาสอบถาม “
จีเฉวียนมิได้รู้สึกโกรธเคืองที่เขาบุกเข้ามา ทรงวางจอกชาในพระหัตถ์ลงเบาๆ ตรัสช้าๆ ว่า “เจ้าถามมาสิ “
“มิทราบว่าในพระทัยของฝ่าบาท น้องสาวของกระหม่อมอยู่ในฐานะเช่นไร? ” ตู๋กูเจวี๋ยสอบถามอย่างตรงไปตรงมา ยามปกติเขาพูดมาก แต่คราวนี้กลับเด็ดขาดราวตัดเหล็ก
ดูเผินๆ เขาเหมือนพวกลูกแกะที่ร้องแบะๆๆ อยู่ตลอดเวลา แต่ว่าที่จริงในกระดูกก็มีความแกร่งอยู่เหมือนกัน
น้องสาวของตนเองได้รับความอยุติธรรม ย่อมไม่อาจปล่อยให้นางต้องทนรับต่อไปโดยไม่มีความกระจ่างเช่นนี้
พอฮ่องเต้ทรงได้ฟังแล้ว ก็หันสายพระเนตรไปทางตู๋กูซิงหลัน “หืม?”
“น้องสาวของกระหม่อมสูงส่งและล้ำค่า ของเพียงเป็นสิ่งที่นางปรารถนา ไม่ว่าจะเป็นอะไร ข้าที่เป็นพี่ชายจะต้องใช้ความพยายามทั้งหมดทั้งมวลนำมาให้นางให้จงได้” แม้ว่าตู๋กูเจวี๋ยจะไม่ชอบบุรุษตระกูลจี แต่พอคิดว่าเป็นความต้องการของน้องสาวแล้ว ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ได้แต่ยอมรับ
พอจีเฉวียนทรงได้ฟัง สีพระพักตร์ที่เย็นชาเป็นภูเขาน้ำแข็งยามเมื่ออยู่กับเหยียนเฉียวหลัว ก็พลันเปลี่ยนเป็นหลอมละลายลง ตรัสถามว่า “ดังนั้น นางชอบอะไรเล่า?”
ประโยคนี้แม้จะถามกับตู๋กูเจวี๋ย แต่ว่าสายพระเนตรกลับตกลงบนร่างของตู๋กูซิงหลัน
พระองค์เองก็ไม่ทรงทราบว่าในพระทัยกำลังคาดหวังสิ่งใดอยู่
คาดหวังให้คนที่นางชอบ ก็คือตนเอง?
ตู๋กูเจวี๋ยอ้าปากขึ้น แต่คราวนี้ยังไม่ทันได้ส่งเสียงออกมา ก็เห็นในมือของตู๋กูซิงหลันเขวี้ยงยันต์สีเหลืองออกมาแผ่นหนึ่ง ยันต์สีเหลืองแทรกซึมเข้าไปในแผ่นหลังของเขา
“อู้ อู้ อู้ ……” คำพูดที่ออกจากปากของตู๋กูเจวี๋ยทั้งหมดกลายเป็นเสียงอู้อี้ที่ฟังไม่รู้เรื่อง
เขาตาโตขึ้นมา สีหน้าตกตะลึงอย่างไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ต่อมาค่อยเห็นว่าน้องสาวเดินเข้ามาหยุดอยู่ข้างกาย
นางคลี่ยิ้มจางๆ ให้กับฮ่องเต้ “ที่เราชมชอบย่อมต้องเป็นแคว้นต้าโจวรุ่งเรือง ปวงประชาสงบสุขร่มเย็น”
“พี่รองชอบกล่าววาจามากเกิน คอยแต่จะเอาความตั้งใจของเราประกาศออกมาให้ได้จึงจะพอใจ เป็นที่น่าอับอายแทบตายแล้ว”
พูดแล้ว สายตาของนางก็หันไปกวาดมองบนร่างของเหยียนเฉียวหลัว
พอสายตาของนางมองออกไป ในสมองก็พลันปรากฎคำสามคำขึ้นมา ‘แฝดสีเหมือน’
คนหนึ่งสีดำอมเขียว อีกคนก็ดำครามเขียว แทบจะไม่มีความแตกต่างกันสักเท่าไร แถมกระโปรงชั้นนอกของทั้งสองคนก็ยังมีผ้าโปร่งชั้นหนึ่งเหมือนกันอีก
เหยียนเฉียวหลัวมองดูนาง แล้วก็ก้มศีรษะลงมองดูเสื้อผ้าของตนเอง
ในแคว้นต้าเหยียนของพวกนาง สีเขียวครามเช่นนี้แสดงถึงความสูงศักดิ์ ในภาพจิตรกรรมของแคว้นต้าเหยียนล้วนแล้วแต่เป็นมังกรเขียว ดังนั้นในแคว้นต้าเหยียนจึงมีแต่คนในราชวงค์เท่านั้นที่จะใส่สีเขียวได้
สีดำอมเขียวเช่นนี้ก็คือส่วนหนึ่งเช่นกัน
โดยปกติแล้วมีแต่ฮ่องเต้และองค์ชายองค์หญิงที่ได้รับความโปรดปรานจึงจะมีสิทธิ์สวมใส่
ตลอดชีวิตที่ผ่านมานางไม่เคยเจอคนที่ใส่สีเดียวกันมาก่อนเลย คิดไม่ถึงว่ามาถึงวังของต้าโจวเพียงแค่วันแรก ก็จะเจอเข้าเต็มๆ เช่นนี้แล้ว
ประเด็นที่สำคัญก็คือฝ่ายตรงข้ามที่ใส่สีเดียวกัน…..งดงามจนน่าตื่นตะลึง!
แม้แต่นางที่เป็นหญิงเหมือนกันก็ยังรู้สึกเลยว่าความงดงามเช่นนี้ออกจะล้ำเลิศเกินไป จนถึงขั้นสร้างความริษยาไปทั้งแผ่นดินแล้ว
ในเมื่อเรียกแทนตนเองเป็นเรา นางก็คงจะเป็นไทเฮาน้อยที่เล่าลือกันว่างามจนทำให้อดีตฮ่องเต้ถึงกับสิ้นไปคนนั้น?
เหยียนเฉียวหลัวหรี่เนตรจดจ้องดูนาง ยิ่งทอดพระเนตรดูก็ยิ่งรู้สึกว่าความงดงามนี้ทำเอาตนเองรู้สึกหลอนขึ้นมา
ก่อนหน้านี้นางคิดว่าคำเล่าลือล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องเกินจริง วันนี้ได้เห็นด้วยตาของตาเอง ถึงได้รู้สึกว่าไม่เกินไปเลยสักนิด
ตู๋กูซิงหลันเองก็มองดูนางอยู่หลายรอบ แต่ที่ทำให้รู้สึกว่าน่าสนใจมากที่สุด ก็คือแผนที่กรุสมบัติครึ่งใบในมือของเหยียนเฉียวหลัว
นางกวาดตามองเพียงสองครั้ง ก็ถูกกลิ่นอายที่ซ่อนอยู่ในแผนที่นั้นดึงดูดเข้าไปแล้ว
“นั่นคือ?” แม้แต่วิญญาณทมิฬยังกระโดดออกมาดู มันใช้มือสั้นๆ ของตนเองนวดดวงตา “กลิ่นอายของหยกสรรพชีวิต?!”
ไม่เพียงแต่มีกลิ่นอายของหยกแต่ยังมี……พลังที่ลึกลับและแปลกประหลาดบางอย่างที่อธิบายไม่ถูก
ที่จริงแผนที่แผ่นนั้นเก่าจนเป็นสีเหลืองแล้ว แต่ว่ายังสามารถมองเห็นรูขุมขนด้านบนได้ มองดูแล้ว…..เหมือนกับเป็นหนังคน
ทั้งที่เป็นเพียงแค่แผนที่ครึ่งแผ่นเท่านั้น แต่กลับกำจายไอแค้นที่เข้มข้นออกมา