ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 218 จะต้องเป็นโอกาสดีอันยิ่งใหญ่แน่นอน!
นี่เป็นหนังคนที่ถูกสักทั้งเป็น
เจ้าของหนังแผ่นนี้ยามที่ยังมีชีวิตอยู่คงจะได้รับความเจ็บปวดและทุกข์ทรมานอย่างยิ่ง ถึงทำให้แม้จะตายไปนานขนาดนี้แล้วก็ยังคงมีไอแค้นหลงเหลืออยู่
เห็นนางเอาแต่จดจ้องมองแผนที่สมบัติในมือของตนเอง เหยียนเฉียวหลัวก็รีบเก็บแผนที่เข้าไปในอก
สายตาของนางสาดประกายขุ่นเคือง
ไทเฮาแห่งต้าโจว นอกจากรูปโฉมภายนอกที่ดูงดงามแล้ว ก็ไม่มีมารยาทพื้นฐานเลยสักนิด
นางไม่รู้หรืออย่างไรว่า ข้าวของของผู้อื่นไม่ควรถือวิสาสะมาชมดู?
ยิ่งไปกว่านั้น นี่ก็ยังเป็นถึงกรุสมบัติล้ำค่า ที่นางจะใช้ต่อรองแลกเปลี่ยนตำแหน่งฮองเฮากับจีเฉวียนอีกต่างหาก
กริยาของนางไม่ได้ทำให้ตู๋กูซิงหลันขุ่นเคือง นางเพียงแต่เก็บสาบตากลับมาค่อยหันไปมองดูเหยียนเฉียวหลัวอีกครั้งหนึ่ง “องค์หญิงแห่งต้าเหยียน หากว่าเราเป็นเจ้า ก็จะไม่เก็บสิ่งของอัปมงคลนี้เอาไว้กับตัวหรอก”
“ของอัปมงคล?” เหยียนเฉียวหลัวหัวเราะออกมา “สิ่งนี้เป็นของล้ำค่า เกรงว่าแม้แต่ไทเฮาแห่งต้าโจวก็คงยังจะนึกไม่ถึง ท่านพูดพล่อยๆ ว่าเป็นของอัปมงคล เพราะคิดจะให้ข้านำมันออกมาถวายด้วยตนเอง?”
เกี่ยวกับเรื่องของไทเฮาแห่งต้าโจว นางเองก็ได้ยินมาบ้าง สถานะของคนผู้นี้ไม่ดีนัก งดงามจนทำให้พระบิดาของจีเฉวียนต้องสิ้นไป ตอนนี้ก็หันมาหมายตาจีเฉวียนอีก คิดว่าที่นางพูดออกมาเช่นนี้ คงเพราะคิดจะเอาหน้ากับจีเฉวียนเป็นแน่
ในวังหลัง มีวิธีการแย่งชิงความโปรดปรานอยู่มากมายนับไม่ถ้วน ตอนนี้จีเฉวียนมีนางในดวงใจแล้ว ดังนั้นต่อให้ไทเฮาน้อยผู้นี้งดงามเป็นนางเซียน เขาก็คงจะไม่เหลียวแลสักนิดอยู่ดี จึงได้แต่ใช้ฝีไม้ลายมือต่างๆ มาดึงดูดความสนใจจากจีเฉวียนเท่านั้น
แต่ว่า นางเล่นผิดคนเสียแล้ว
คนอย่างตนเหยียนเฉียวหลัว ไม่ใช่พวกหญิงโง่ๆ ที่มีอยู่เต็มวังหลัง เบื้องหลังของนางคือแคว้นต้าเหยียนทั้งแคว้น นางคือองค์หญิงแห่งต้าเหยียนที่มีทั้งความงดงามและความเฉลียวฉลาด ต่อให้เป็นไทเฮาน้อยแห่งต้าโจวนางก็ยังไม่กลัว
ตู๋กูซิงหลันก็ไม่คิดที่จะอธิบายรายละเอียดอะไรกับนาง สิ่งของเช่นนี้หากคนธรรมดาเก็บเอาไว้กับตัว ไม่ช้าก็เร็วย่อมจะต้องเกิดเรื่อง
ในเมื่อนางพูดก็พูดไปแล้ว องค์หญิงแห่งต้าเหยียนผู้นี้อยากทำอย่างไรก็ทำไปแล้วกัน
คราวนี้ตู๋กูเจวี๋ยถึงได้สังเกตเห็นเหยียนเฉียวหลัวขึ้นมาบ้าง พอกวาดตามองไปมองมาอยู่หลายรอบ ริมฝีปากคู่นั้นก็ส่งเสียงอู้ๆ อี้ๆ ออกมา
แต่น่าเสียดายที่ยันต์สาปของตู๋กูซิงหลันยังไม่เสื่อมฤทธิ์ ไม่ว่าเขาจะโยกศีรษะชักสีหน้าอย่างไรก็มีเพียงแค่เสียงอู้อี้ออกมาเท่านั้น
ตู๋กูเจวี๋ยส่งเสียงอู้อี้อยู่พักหนึ่ง ค่อยหุบปากลง หันกลับไปมองดูน้องสาวด้วยสายตาคับแค้น
มีวาจาอยู่เต็มท้อง แต่กลับไม่สามารถกล่าวออกมาได้ช่างอึดอัดคับข้องสุดชีวิต
ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในลี่โจวก็ได้เห็นความเก่งกาจของนางมาแล้ว น้องสาวที่สามารถควบคุมได้กระทั่งดวงจิตของเทพผู้นี้ หากคิดจะทำให้เขาปิดปากก็นับว่าง่ายดายอย่างยิ่ง
ในเมื่อน้องสาวบอกว่าสิ่งของนั่นอัปมงคล เช่นนั้นก็ต้องอัปมงคลอย่างแน่นอน
ช่างเถอะ ถึงอย่างไรเสียองค์หญิงแห่งต้าเหยียนผู้นั้นก็เป็นบุคคลอันตราย ในเมื่อนางคิดอยากจะหาเรื่องตาย เช่นนั้นก็อย่าไปห้ามเลย
ฮ่องเต้ยังทรงประทับอยู่ที่เดิมดวงเนตรหงส์คู่นั้นยังคงจับจ้องไปยังตู๋กูซิงหลัน
เรื่องที่เมืองลี่โจว เขายังไม่ได้ซักไซร้ถามไถ่นางเลยสักคำ
แต่ไม่ต้องถามก็ทราบได้เลยว่า นางจะต้องลากอู๋เจินออกมาเป็นเกราะกำบังแน่นอน ดังนั้นหลายวันมานี้ เขาจึงเพียงแต่จับตาดูอย่างเงียบๆ เท่านั้น
ยามนี้สายพระเนตรหงส์คู่นั้นคล้ายจะสามารถมองดูนางจนทะลุปรุโปร่ง
ตู๋กูซิงหลันจึงรีบหาเรื่องมาลดทอนความสนใจในสายตาของเขา
“พี่รองพอตื่นเต้นขึ้นมาก็จะร้องอู้ๆ อี้ๆ ออกมาบ่อยๆ เราจะพาตัวเขาไปตรวจที่สำนักแพทย์หลวง ทูลลาแล้ว”
พูดจบ นางก็ลากแขนเสื้อของพี่รองออกไปจากพระตำหนักตี้หัว
กระทั่งเดินออกมาจนไกลแล้ว ตู๋กูซิงหลันก็ยังรู้สึกว่าแผ่นหลังเย็นวาบ ช่วงนี้ยิ่งทีนางยิ่งรู้สึกว่าไม่อยากจะไปเจอหน้ากับจีเฉวียนแล้ว นางรู้สึกว่าจิ้งจอกเฒ่าผู้นี้มองอะไรออก
แต่ว่าเขากลับไม่ได้พูดอะไรออกมา เอาแต่จ้องมองนางโดยไม่พูดจา ไม่รู้ว่าเขาคิดสิ่งใดอยู่ในใจ
ในพระตำหนักตี้หัว เหยียนเฉียวหลัวไม่ปล่อยให้ความเคลื่อนไหวของจีเฉวียนคลาดสายตาไปเลยแม้แต่น้อย แม้แต่แววตาของเขาก็ตาม
ไม่รู้ว่านางจะรู้สึกเข้าใจผิดไปหรือไม่ ถึงได้รู้สึกว่าสายตาของเขายามมองดูไทเฮาน้อยนั้น ไม่ธรรมดา
ราวกับเป็นพญาเหยี่ยวในยามราตรีที่รอจังหวะจะคว้าเหยื่อเข้ามาในกรงเล็บอย่างไรอย่างนั้น
ทั้งยังดูราวกับหมาป่าตัวหนึ่ง ที่กำลังเฝ้ามองลูกแกะรสล้ำเลิศ
จีเฉวียนกับไทเฮาน้อย ตกลงแล้ว?
…………….
ยามดึกครึ่งคืนหลัง ตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่าใบหน้าของนางคันยุบยิบ พอลืมตาขึ้นมามองดู ก็เห็นเจ้าไก่ดำขนฟูตัวโตเกือบเท่านกกระจอกเทศมากระพือปีกอยู่ข้างกายนาง
หงอนไก่สีแดงบนหัวของมันเริ่มก่อตัวเป็นรูปร่างกว่าเดิม ดวงตาของมันเป็นประกายเจิดจ้า เมื่อจับจ้องมองผู้คนยังดูบาดตายิ่งกว่าแสงเอ็กซเรย์เสียอีก
ตู๋กูซิงหลันลุกขึ้นมานั่ง เห็นเจ้าไก่ขนฟูขยับปีกครั้งหนึ่งก็โยนแผนที่หนังคนครึ่งใบมาทางนาง
แล้วก็หันมาส่งเสียงร้องอย่างอ่อนหวานกับนางครั้งหนึ่ง “กะ กะ กะต๊าก~”
พี่สาวตัวน้อย พวกเราไปตามหาสมบัติกันเถอะ
ว่าแล้วมันก็กระพือปีกอีก พลางใช้ปลายขนเส้นที่ยาวที่สุดทำเป็นวงวนรอบแผนที่อยู่ไปมา
แล้วก็หันมาส่งเสียงกับนางอีกครั้ง “กะ กะกะต้าก ~”
ที่นี่แหละใช่เลย จะต้องมีโอกาสดีอันยิ่งใหญ่อยู่แน่นอน!
ตู๋กูซิงหลันมองดูแผนที่หนังคนแผ่นนั้น สายตาของนางหยุดลงตรงจุดที่เจ้าติ๊งต๊องใช้ปีกวาดเป็นวงกลม บนมุมหนึ่งของแผนที่กรุสมบัติหนังคนที่มีอยู่เพียงครึ่งเดียว
นั่นคือภูเขาลูกหนึ่ง บนยอดเขามีทะเลสาบหนึ่งแห่ง
แผนที่สมบัติขาดหาย ดังนั้นภูเขาจึงมีอยู่เพียงครึ่งลูก ทะเลสาบก็มีเพียงครึ่งเดียว
ดูจากฮวงจุ้ยแล้ว สถานที่เช่นนี้เรียกว่าสระสวรรค์ โดยมากเป็นแหล่งสะสมชีพจรมังกร ถือเป็นฮวงจุ้ยชั้นเลิศ
“กะ กะ กะต๊าก!” เจ้าไก่ขนฟูกระพือปีกใส่นางอีกครั้ง ดวงตาของมันทอประกาย
นับตั้งแต่ที่ครั้งก่อนได้ต่อสู้กับงูยักษ์ในลี่โจว มันรู้แล้วว่าตนเองมีฝีมือยอดเยี่ยมเพียงไร
หากว่าครั้งนี้ได้ไปที่นี่อีก ไม่แน่ว่าอาจจะได้เจอเข้ากับมังกรสักตัวก็ได้นะ?
กินงูยักษ์เข้าไปยังทำให้มันเปลี่ยนแปลงไปมากมายขนาดนี้ หากว่าได้กินเนื้อมังกรสักหลายคำ มิใช่ว่ามันอาจจะลอยขึ้นฟ้าไปได้เลยหรือ!
แผนที่สมบัติครึ่งเดียวแผ่นนี้ มีกลิ่นอายอาฆาตแค้นอย่างเข้มข้น ทั้งยังมีกลิ่นอายของหยกสรรพชีวิตอยู่อีกด้วย นี่จะต้องเป็นของที่อยู่ในมือขององค์หญิงแห่งต้าเหยียนผู้นั้นเป็นแน่ ไม่รู้ว่าถูกเจ้าติ๊งต๊องไปฉกมาได้อย่างไร
นับตั้งแต่ที่มันสามารถเปล่งแสงสีทองได้ เจ้าติ๊งต๊องก็เพิ่มพูนความสามารถขึ้นมาอีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือไปมาอย่างไร้ร่องรอย
ช่วงนี้มันมักจะหอบหิ้วอะไรมากมายหลายอย่างมาให้นาง หนึ่งในนั้นก็ยังมีรัดเกล้าของจีเฉวียนอยู่ด้วย
ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นพวกอัญมณีล้ำค่าทั้งนั้น!
ดูเหมือนว่ามันค่อนข้างจะเพ่งเล็งไปที่ข้าวของของจีเฉวียน ทุกครั้งเป็นต้องเลือกเอาชิ้นที่แพงที่สุดกลับมาโยนทิ้งไว้ในตำหนักเฟิ่งหมิง
ตอนแรกๆ นางก็ยังกังวลอยู่บ้าง แต่ว่าทางตำหนักตี้หัวกลับไม่ได้มีความเคลื่อนไหวใดๆ ราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น ไม่มีข่าวคราวว่ามีหัวขโมยออกมาเลยสักนิดเดียว
คาดว่าคงเป็นเพราะจีเฉวียนทรงต้องการรักษาชื่อเสียงของตำหนักตี้หัวถึงได้ปิดเรื่องนี้เอาไว้
เงินที่พี่ใหญ่ทิ้งเอาไว้ให้ก็เหลืออยู่ไม่มากแล้ว ตู๋กูซิงหลันกำลังจนจริงๆ!
เดิมทีนางยังคิดจะแกะพวกอัญมณีออกมาและแอบเอาไปขายข้างนอก แต่ว่ามีอยู่คืนหนึ่งกลับพบว่ามีเงาคนหลายเงาเหาะจากตำหนักของนางออกไป ตู๋กูซิงหลันจึงต้องระงับความตั้งใจที่จะออกไปเคลื่อนไหวของตนเองเอาไว้ก่อน
จีเฉวียนวางเหล่าองครักษ์ลับไว้ที่ข้างตัวนาง ไม่ใช่เพียงแค่คนเดียว
เกรงว่าวันๆ นางตดกี่ครั้ง เรอเสียงดังไปกี่หน ทางตำหนักตี้หัวก็คงจะทราบอย่างชัดเจน
สุดท้ายนางจึงได้แต่ยอมรับ เอารัดเกล้าของจีเฉวียนเหล่านั้นไปคืนแต่โดยดี
หลังจากคืนไปคืนมาอยู่หลายรอบ เจ้าติ๊งต๊องก็ชักจะเข้าใจเจตนาของนางขึ้นมา จึงไม่ไปขโมยของของจีเฉวียนอีก คิดไม่ถึงว่ามันกลับย้ายความสนอกสนใจมาไว้ที่นี่
ตู๋กูซิงหลันหยิบแผนที่สมบัติครึ่งใบขึ้นมา ขณะที่กำลังลังเลใจไปมาอยู่นั้น
วิญญาณทมิฬก็โผล่ออกมาชี้นำท่ามกลางความสับสนของนางในทันที “ย่อมต้องไป บนนี้มีกลิ่นอายของหยกสรรพชีวิต หากว่าเจ้าอยากจะกลับไปโลกปัจจุบัน ย่อมต้องอาศัยขุมกำลังของหยก หรือว่าเจ้าไม่คิดจะกลับไปแล้ว?”