ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 269 เจ้าลูกหมาปากพล่อยนั่นเป็นของข้า
ผู้คนทั้งหลายอดจะมองไปที่เขาไม่ได้
“ไม่ต้องให้เจ้าบอก ที่นี่ก็มีปีศาจโผล่ออกมาครั้งหนึ่งแล้ว”
ตู๋กูเจวี๋ยรีบหยิบสมุดเล็กน้อยของตนเองออกมา สองตาเป็นประกาย “หา? โผล่ออกมาแล้ว? เป็นอย่างไรบ้าง? ตัวสีอะไร? กว้างแค่ไหนยาวแค่ไหน? ความสามารถของมันคืออะไร?”
ผู้คนทั้งหลาย “…..”
พวกเขามาเพื่อค้นหาสมบัติ ไอ้หนุ่มนี้มาเพื่ออะไร?
หน้าตารึก็ดูงดงาม ทำไมสติปัญญาถึงได้เหมือนคนบ้า?
หยวนเฟยและหลงเซียวรู้สึกอับอายขายหน้า ทั้งสองคนพร้อมใจกันถอยหลังไปก้าวหนึ่ง แกล้งทำเป็นไม่รู้จักคนบ้าผู้นี้
ตู๋กูเจวี๋ยขบปลายด้ามดินสอถ่าน เบิกตาโตมองดูผู้คนรอบด้าน
“อ้าย ทุกคนล้วนแต่เป็นมนุษย์เหมือนกัน สมควรจะเอื้อเฟื้อต่อกันสักหน่อย พี่ชายท่านนี้ ท่านเห็นชัดเจนหรือไม่ว่าปีศาจตนนั้นมันมีดวงตากี่ข้างกัน?”
พี่ชาย “ข้าพึ่งจะอายุสิบหกเท่านั้น”
ตู๋กูเจวี๋ย “เช่นนี้พี่ชายก็คงจะเติบโตเร็วไปสักหน่อยแล้ว”
เขาหันหน้าไปหาสตรีอีกผู้หนึ่ง “พี่สาวท่านนี้ ท่านรู้หรือไม่ว่าน้ำลายของปีศาจนั้นเหนียวเหนอะหนะหรือไม่?”
พี่สาว “นี่เจ้าสติไม่ดีหรือเปล่า?”
ตู๋กูเจวี๋ยคิดดูอย่างละเอียดครู่หนึ่ง ก็ส่ายศีรษะ “ผู้น้อยสุขภาพแข็งแรง มีสติครบถ้วน สมควรจะไม่มีปัญหาในที่ใด หากว่าจะมีละก็ คาดว่าคงจะเป็นเพราะว่าโรคภัยเล็กน้อยที่เกิดจากช่วงก่อนหน้านี้ถูกขังเอาไว้ในคุกใต้ดิน ตอนนี้จึงหวาดกลัวความมืดอยู่บ้าง”
พี่สาวผู้นั้นไม่ได้อยากจะรู้เรื่องราวพวกนี้ จึงหันไปค้อนตาขาวใส่เขา
เดิมทีทุกคนกำลังจับตาดูผิวทะเลสาบอย่างเคร่งเครียด ใครจะไปรู้ว่าจะมีคนบ้าโผล่ออกมา ทำเอาบรรยากาศเมื่อครู่สลายไปหมดแล้ว
คนบ้าผู้นี้บ้าก็ส่วนบ้า แต่ว่ากลับมีรูปโฉมที่งดงามมาก พูดมากไปสักหน่อย แต่ก็ไม่ได้ทำให้ผู้คนชิงชัง
ตู๋กูเจวี๋ยดึงดูดความสนใจผู้คนทั้งหลาย ผู้อาวุโสหยู่ซั่งและผู้อาวุโสอีกท่านไม่ต้องตามหาก็รู้แล้วว่าเขาอยู่ตรงไหน
ทั้งสองสบตากันอยู่แวบหนึ่ง ผู้อาวุโสหยู่ซั่งก็สะบัดแส้ในมือเบาๆ ก็เกิดพลังมหาศาลผลักตู๋กูเจวี๋ยจากด้านหลัง
เดิมทีเขาก็ยืนอยู่ด้านหน้าสุดอยู่แล้ว จึงอยู่ใกล้ทะเลสาบมาก ตอนนี้พอโดนกำลังขุมหนึ่งผลักออกไปอย่างแรง คนก็ถลาลงไปในทะเลสาบ
หลงเซียวเห็นดังนั้น ก็กำดาบน้ำแข็งในมือเอาไว้แน่น ส่งเสียงครั้งหนึ่งก็ทะลวงออกจากฝูงชน คิดจะดึงตัวตู๋กูเจวี๋ยกลับมา
แต่ว่าในขณะนั้นเองนักพรตในชุดขาวราวแสงจันทร์อีกคนหนึ่งก็พุ่งเข้ามาสกัดเขาเอาไว้ ฝ่ายตรงข้ามมีพลังเข้มแข็ง ไม่พูดไม่จาก็ชิงลงมือใส่เขาในทันที
คนผู้นี้ก็ไม่ได้คิดจะต่อสู้กับเขาอย่างจริงจัง เพียงแต่ขัดขวางเขาเอาไว้ ไม่ให้เขาไปช่วยตู๋กูเจวี๋ย
ร่างกายของตู๋กูเจวี๋ยเดิมทีก็ผอมบาง พอถูกผู้อาวุโสหยู่ซั่งผลักเข้าครั้งหนึ่ง คนก็เหาะลงไปในทะเลสาบทั้งตัว
ตู๋กูซิงหลันที่อยู่เหนือหมู่เมฆ พอเห็นพี่ชายของตนเองตกลงไปในน้ำก็นั่งไม่ติด
นางยังไม่ทันจะลงมือ ก็ถูกฮ่องเต้รั้งเอาไว้ “อย่าได้ห่วงใยบุรุษอื่นนอกจากเรา”
ตู๋กูซิงหลัน “ฝ่าบาท นั่นเป็นพี่ชายแท้ๆ ของหม่อมฉัน”
จีเฉวียน “พี่ชายก็ไม่ได้”
โว้ย! เล่นแบบนี้มันชักจะมากเกินไปจนผู้คนรังเกียจแล้วนะ
“เจ้าไม่อาจปกป้องเขาไปทั้งชาติ และตู๋กูเจวี๋ยก็ไม่ได้อ่อนแออย่างที่เจ้าคิด”
จีเฉวียนตรัสต่อไป “อาศัยปากของเขา ขนาดจะต้องตายก็สามารถพูดจนเอาชีวิตรอดกลับมาได้ เจ้ายังจะกลัวว่าเขาจะจมน้ำตาย?”
ตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่าตนเองคงจะเสียสติไปแล้ว ถึงได้รู้สึกว่าคำพูดผีสางของจีเฉวียนนั้นน่าเชื่อถืออยู่บ้าง
ประเด็นสำคัญคือ….หากว่าตกลงไปในทะเลสาบธรรมดาก็แล้วไปเถอะ แต่นี่เป็นสระสวรรค์…..
สิ่งที่อยู่ข้างใต้นั่นดูดกลืนพลังชีวิต
จะให้นางวางใจได้กับผีนะสิ?
“เจ้ารับปากเราแล้ว ว่าจะไม่เคลื่อนไหวโดยพลการ” จีเฉวียนยื้อชายเสื้อของนางเอาไว้ “เป็นถึงไทเฮาของแคว้นหนึ่ง ก็จะไม่รักษาคำพูดหรือ?”
ตู๋กูซิงหลัน “……” ฝ่าบาท ท่านไม่เหมาะกับการทำตัวออดอ้อนเช่นนี้เลยจริงๆ ขอร้องท่านได้โปรดกลับมาเย็นชาเป็นภูเขาน้ำแข็งเหมือนเดิมทีเถอะ
หม่อมฉันกลัวแล้ว
…………………….
อิ๋งฉีเค้นเรี่ยวแรงที่มีอยู่ออกไปจนหมดสิ้น [1] ถึงได้ว่ายขึ้นมาจนถึงผิวทะเลสาบได้สำเร็จ
พอพึ่งจะโผล่หน้าขึ้นมา ก็เห็นว่าเหนือศีรษะมีอะไรบางอย่างลอยคว้างลงมา
เขาแทบจะหมดเรี่ยวหมดแรงอยู่แล้ว ตอนนี้จึงไม่มีกำลังหลงเหลือที่จะใช้หลบหลีกอีกต่อไป จึงถูกสิ่งนั้นพุ่งชนเข้าอย่างจัง
เสียง ‘ผลั๊ก’ คนก็ถูกถีบจมลงไปในทะเลสาบอีกครั้ง
แถมสิ่งนั้นยังกระแทกเข้ากับศีรษะของเขาอย่างจังจนเขาแทบจะสลบตายคาทะเลสาบ
ที่น่าอนาถที่สุดก็คือ เจ้าสิ่งนั้นยังคิดจะต่อสู้ พอมันคว้าเสื้อผ้าของเขาได้ก็ดึงทึ้งต่อยตีอย่างมั่วซั่วเป็นการใหญ่
“เป็นแค่ศพแห้งศพหนึ่งมิใช่หรือ? ยังจะกล้ามาลงมือกับนายน้อยอย่างข้าอีก? หากนายน้อยอย่างข้าไม่อัดเจ้าให้ตายก็เป็นลูกเต่าแล้ว!”
สิ่งนั้นมีวิชาทางน้ำยอดเยี่ยม ตกลงมาในทะเลสาบไม่เพียงสามารถลอยตัวให้ศีรษะอยู่เหนือย้ำ ยังระดมหมัดเท้ามาต่อยตีเขา อิ๋งฉีแทบจะถูกตีตายคาที่
ยังดีที่เหล่านักพรตแคว้นต้าฉินพวกนั้นพบว่าสถานการณ์ไม่ถูกต้อง ถึงแม้ว่าจะเห็นแค่เพียงแวบเดียว แต่ว่าที่โผล่หัวขึ้นมาจากในทะเลสาบนั่นคือ….คือคุณชายของพวกเขาใช่หรือไม่?
นักพรตทั้งกลุ่มต่างรีบกระโดดลงไปในทะเลสาบ รีบช่วยกันลากตัวอิ๋งฉีที่ถูกต่อยตีเสียจนจมูกเขียวหน้าช้ำขึ้นมา
ขณะเดียวกันก็หนีบเอาคนปากพล่อยที่ทำร้ายคุณชายของพวกเขาขึ้นมาด้วย
แม้แต่ท่านอ๋องสิบแปดแห่งแคว้นต้าฉินก็ยังกล้าแตะต้อง คนผู้นี้ดูท่าคงไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปสักเท่าไรแล้ว!
แน่นอนว่าจะต้องไม่ปล่อยให้เขาตายไปง่ายๆ จะต้องเก็บมันเอาไว้ให้คุณชายค่อยๆ ทรมานมันเป็นการเอาคืน
ตู๋กูเจวี๋ยพึ่งจะร่วงลงไปในน้ำ เส้นผมยังไม่ทันจะเปียก ก็ถูกพวกนักพรตแคว้นฉินฉุดขึ้นมาแล้ว
ในมุมอับ ชือหลีที่ไม่ทันได้ลงมือช่วยเหลือถึงกับมุมปากกระตุก….เมื่อครู่นางตื่นเต้นไปทำไมกัน ไอ้เด็กนั่นมีนรลักษณ์ของผู้ที่อายุยืนแท้ๆ ชะตาชีวิตมีแต่ผู้สูงส่งอุปถัมภ์ค้ำชู
ไม่เห็นรึ ไปตบตีคน ก็ยังมีคนช่วยขึ้นมา
นางเกือบจะยั้งตัวเองเอาไว้ไม่อยู่เสียแล้ว เจ้าเด็กนั้นเป็นพวกมีชะตาดีเลิศแท้ๆ ทำไมตนเองถึงอดไม่ได้ต้องคอยช่วยเหลือรอบแล้วรอบเล่าอยู่ร่ำไป?
ตู๋กูซิงหลันที่ทำหน้าที่ฝ่ายรักษาความปลอดภัยยังไม่ทันได้ทำหน้าที่ให้ครบถ้วนสมบูรณ์เลยเสียด้วยซ้ำ หากว่ามีโอกาสล่ะก็นางอยากจะทำหน้าที่ออกไปตักเตือนสักหน่อย
นางหรี่ตาลง กวาดตามองลงไปในหมู่ฝูงชน คนทั่วไปอาจจะมองไม่เห็น แต่ว่านางสามารถสัมผัสได้ เมื่อครู่มีขุมพลังหนึ่งจงใจผลักตู๋กูเจวี๋ยลงไป
สายตานั้นสุดท้ายก็มาหยุดอยู่ที่บนร่างของผู้อาวุโสหยู่ซั่ง
วันนี้มีเหล่านักพรตปรากฏตัวออกมาไม่น้อย นักพรตส่วนใหญ่นิยมสวมใส่ชุดสีขาว ดังนั้นจึงมิได้มีผู้ใดสนอกสนใจนักพรตหญิงที่สวมใส่ชุดสีขาวดุจแสงจันทร์มากนัก และเพราะเดิมก็มีนักพรตจำนวนไม่น้อยยืนอยู่แต่แรกอยู่แล้ว พวกเขาพุ่งความสนใจไปที่ขุมทรัพย์ลับ ไหนเลยจะมีเวลามาใส่ใจว่าใครเป็นใคร
ท่านผู้อาวุโสหยู่ซั่งเองก็นึกไม่ถึง …….ขุนนางอวี้ซื่อแห่งต้าโจวผู้นี้ดวงดีเกินไปแล้ว
เขามีวิชาทางน้ำก็ถือว่าแล้วไปเถอะ แต่ว่าตกลงไปในสระสวรรค์แล้วยังไม่ถูกสูบพลังชีวิตอีก?
ใช่เป็นเพราะว่าสิ่งที่อยู่ในน้ำรังเกียจว่าเขาพูดมากเกินไปหรือไม่ ไม่อยากได้คนปากมากผู้นี้มาเป็นเครื่องสังเวย?
ความคิดก็ส่วนหนึ่ง แต่นางไม่กล้าผิดต่อคำสั่งขององค์ชายน้อย จึงยกมือขึ้นกำแส้ปัดเอาไว้แน่น
ไม่รอให้ตู๋กูเจวี๋ยยืนได้อย่างมั่นคง ก็มีลมหอบหนึ่งพัดมาอีกครั้ง
เพียงแต่ว่าครั้งนี้ยังไม่ทันสัมผัสถูกตู๋กูเจวี๋ย ก็เห็นเงาร่างของงูเขียวตัวหนึ่งปรากฏตัวขึ้นมาอยู่เบื้องหน้าของนาง
นั่นเป็นสตรีที่มีนัยตาสีแดงดุจโลหิต นางเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว นัยตาสีแดงคู่นั้นจดจ้องมายังนาง ไม่รอให้ผู้อาวุโสหยู่ได้ทันมีปฏิกริยา ก็เห็นนางชิงยื่นมือลงมาก่อน คว้าจับและหยุดข้อมือของนางเอาไว้ เสียงหักเป๊าะราวกับว่ามีอะไรแตก
“เจ้าลูกหมาปากพล่อยนั่นเป็นของข้า ใครอนุญาตให้เจ้าแตะต้องได้กัน?”
ท่านผู้อาวุโสหยู่ซั่ง “???”
ใช่แล้ว ในสายตาของชือหลี ตู๋กูเจวี๋ยนั้นอ่อนแออ้อนแอ้น อายุหรือก็ยังน้อย ดูราวกับลูกหมาที่ยังไม่ทันได้หย่านมแม่อย่างไรอย่างนั้น
เจ้าคนปากมากผู้นี้ถูกนางรังแกเป็นคนแรกก่อนคนอื่น ย่อมไม่อาจปล่อยให้คนอื่นมาแตะต้องเขาได้ทั้งนั้น
——
[1] 九牛二虎之力jiǔ niú èr hǔ zhī lì: กระทำอย่างสุดกำลังและความสามารถ ใช้แรงวัวเก้าตัวและเสือสองตัวรวมกัน