ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 344 ถูกเจ้าจับกิน
ตั้งแต่เล็กจนโต ทุกคนต่างก็บอกว่านางงดงามน่ารักเหมือนดั่งดอกไม้ มีแต่ฮ่องเต้พระองค์เดียวที่ตรัสว่านางน่าเกลียดจนไม่อยากเจอ
ทรงตรัสว่ารู้สึกเสียพระทัยที่แต่งตั้งนางเป็นพระสนม จะทรงเรียกราชโองการกลับคืน ให้นางไปเป็นประชาชนคนธรรมดา
“ข้าไม่มีโอกาสแม้แต่จะเข้าวังแล้ว แล้วจะไปล่อลวงฮ่องเต้ได้อย่างไร….ฮือ ฮือ ฮือ พระองค์ยังทรงรังเกียจว่าข้าอัปลักษณ์…..” เหลียงเซิงเซิงร้องไห้ออกมาอีกครั้ง คนลงไปนั่งกับพื้น สะอึกสะอื้นฮึกฮัก เหมือนดั่งเด็กน้อยที่ถูกรังแกโดยไม่ได้รับความยุติธรรม
“ยิ่งไปกว่านั้น…..ในวังมีพระสนมตั้งมากมาย ข้าเคยได้ยินท่านปู่บอกว่า สตรีเหล่านั้นเก่งกาจและน่ากลัว ล้วนสามารถควักหัวใจเลาะกระดูก ถลกหนังผู้คน ข้า…..ข้าแม้แต่มดยังไม่กล้าเหยียบ แล้วข้าจะไปสู้กับพวกนางได้อย่างไร…..”
เหลียงเซิงเซิงยิ่งคิดก็ยิ่งเสียใจ พึ่งจะสงบลงมาได้สักหน่อยก็ร้องไห้ออกมาอีก
“ฮือ แงๆ …..ข้ามันใช้ไม่ได้จริงๆ! หน้าตาอัปลักษณ์แล้วยังโง่ ……ท่านปู่ เซิงเซิงไม่ได้เรื่อง เซิงเซิงได้แต่ตายไปอยู่เป็นเพื่อนท่าน….ฮือ แง แง แง…”
พูดแล้ว นางก็ลุกขึ้นมา ยื่นลำคอเข้าไปในบ่วง เขย่งเท้าอยู่บนเก้าอี้เตี้ย จะเอาตัวเองขึ้นไปแขวนคอจริงๆ
ฉู่เจียงมองแล้วก็ยิ้มไม่ออก หัวเราะไม่ได้
ความใสซื่อนั้นก็เรื่องหนึ่ง แต่นางก็รู้จักตนเองเป็นอย่างดี
ทั้งยังคิดจะฆ่าตัวตายจริงๆ!
ฉู่เจียงมองดูอยู่ด้านข้าง เห็นใบหน้าของนางเปลี่ยนเป็นดิ้นรนเอาชีวิตรอดจนสีเขียวคล้ำ
เหลียงเซิงเซิงรู้สึกถูกรัดคอเสียจนสมองมึนงง ความรู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออกอย่างแรงนั้นทำเอานางสำนึกเสียใจขึ้นมาแล้ว
ความตายไม่น่ากลัว…..ที่น่ากลัวคือความทรมานขณะที่กำลังจะตายนั้นต่างหาก
นางแยกเขี้ยวตะกายมือออกไป เห็นฉู่เจียงยืนมองตนเองอย่างเย้ยหยัน
ก็หันไปหายื่นมือไปทางเขา
ฉู่เจียงยื่นมือออกไปในทันที คว้ามือของนางเอาไว้ “สำนึกเสียใจแล้ว? ไม่อยากตายแล้ว?”
กลัวตายเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ไม่มีอะไรน่าละอาย
เหลียงเซิงเซิงผงกศีรษะ ทำท่าทำทางชี้ไปที่ลำคอของตนเอง อยากให้ฉู่เจียงช่วยจัดการให้นางตายอย่างรวดเร็ว
ฉู่เจียงขมวดหัวคิ้ว พอเห็นว่าใบหน้าของนางเริ่มแดงดั่งตับหมูขึ้นมา ปลายนิ้วของเขาก็ขยับเล็กน้อย เชือกป่านเส้นนั้นก็ขาดลงในทันที
เสียงของหล่นดัง ‘ตุบ’ เหลียงเซิงเซิงล้มลงไปบนพื้น ก้นกระแทกกับแผ่นหินจนแทบแตกแล้ว
นางแสบคออย่างหนัก หอบหายใจเข้าไปอีกหลายครั้ง การขาดอากาศทำให้นางมึนศีรษะจนตาลาย ต้องสูดหายใจลึกๆ อยู่หลายรอบถึงได้ค่อยสงบลง
เมื่อครู่…….นางดิ้นรนอยู่บนเส้นแบ่งของความตาย
ความรู้สึกเมื่อครู่นั้นช่างทรมานจริงๆ ตอนนี้ยิ่งเหมือนกับได้เกิดใหม่
“ขนาดตายยังไม่กลัว แล้วยังจะกลัวการมีชีวิตอยู่?” ฉู่เจียงยืนตระหง่านอยู่ตรงหน้านาง ดวงตาสีมรกตคู่นั้นจับจ้องดูนาง “ใต้หล้านี้มีผู้คนตั้งมากมายเท่าไหร่ที่ต่อสู้ดิ้นรนอย่างสุดชีวิตเพื่อความอยู่รอด เจ้ามาขอตายเอาง่ายๆ เป็นการไม่ให้ความเคารพต่อคุณค่าของชีวิต”
สำหรับฉู่เจียงแล้ว สิ่งที่เขาชิงชังที่สุดก็คือคนที่ยอมจบชีวิตตนเองไปอย่างง่ายๆ พวกนั้น…..
เขาจำไม่ได้แล้วว่ามันนานกี่ปีมาแล้ว ตอนที่เขายังเคยเป็นมนุษย์อยู่นั้น ก็เคยต่อสู้ดิ้นรนอย่างสุดชีวิต เพื่อจะได้มีชีวิตอยู่ต่อไปเช่นกัน
ความรู้สึกในตอนนั้น เขายังคงจดจำมันได้อย่างชัดเจนจนถึงตอนนี้
เหลียงเซิงเซิงยังโชคดีกว่าผู้คนอื่นๆ อีกมากมาย
เหลียงป๋อตายไปแล้ว แต่ก็ยังทิ้งสมบัติเอาไว้ให้นางสามารถอยู่ได้อย่างสุขสบายไปจนชั่วชีวิต
จีเฉวียนไม่พานางเข้าวัง เพราะอยากเว้นทางรอดไว้ให้นาง
ไม่มีใครตามล่านาง นางสามารถอยู่ต่อไปได้อย่างสบายแต่ว่ากลับอ่อนแอจนร้องหาความตาย
เหลียงเซิงเซิงลืมตาโตขึ้นมามองดูฉู่เจียง นางแทบจะไม่เชื่อสายตาของตนเอง
ว่านางจะมาได้ยินคำว่า ‘เคารพต่อคุณค่าของชีวิต’ จากปากของเขา นางเกือบจะสงสัยว่าตัวเองหูฝาดไปแล้ว
ตอนที่เขาตัดศีรษะคนนั้น ดวงตายังไม่ได้กระพริบเลยเสียด้วยซ้ำ
ราวกับว่าฆาตกรกำลังมาสั่งสอนนาง ถ้อยคำที่จะมาโน้มน้าวสักคำก็ไม่มี
เหลียงเซิงเซิงกุมลำคอของตนเองเอาไว้ กระแอมไอออกมาอีกหลายครั้ง สีหน้าค่อยดูเป็นปกติขึ้นมา
นางมองดูฉู่เจียงตาไม่กระพริบ กล่าวอย่างอ่อนล้าว่า “แต่ว่าต่อให้ข้าไม่ตาย….ก็ต้อง…ก็ต้องโดนเจ้าจับกินอยู่ดีนี่….”
“มีชีวิตอยู่ตอนถูกจับกิน มันเจ็บปวดมากเกินไปแล้ว …… หากว่าตายแล้วค่อยถูกกิน….ก็จะไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดแล้ว”
จนถึงตอนนี้นางก็ยังจำความรู้สึกที่ถูกฉู่เจียงกัดในตอนนั้นได้เป็นอย่างดี นี่คงจะกลายเป็นเงาอยู่ในใจไปชั่วชีวิต
ฉู่เจียงถูกนางยั่วโมโหจนต้องทั้งโกรธทั้งขำแล้ว
เพราะฉะนั้นที่นางคิดจะจัดการกับตนเองนั้นที่สุดแล้วก็เป็นเพราะตัวเขา?
“ก็อย่างที่ฮ่องเต้ทรงรับสั่งว่า เจ้ามันอัปลักษณ์ แล้วข้าจะกินเจ้าทำไม? ให้ตนเองกลายเป็นอัปลักษณ์หรือ?” ฉู่เจียงสองมือไขว้หลังพูดด้วยท่าทางกวนๆ
เหลียงเซิงเซิงที่พึ่งจะสงบอารมณ์ลงได้ ความเชื่อมั่นต้องพังทลายลงอีกครั้ง
ตอนนี้นางชักจะจมดิ่งลงไปในความเชื่อที่ว่าตนเองนั้นอัปลักษณ์เสียจนผู้คนชิงชังเทพผีรังเกียจ แม้แต่ปีศาจก็ยังไม่อยากจะกินนางแล้วหรือ?
เหลียงเซิงเซิงเริ่มสะอึกสะอื้นอีกครั้ง พอเริ่มสะอื้น ฉู่เจียงก็ขมวดคิ้วขึ้นมา
เขากลัวการได้ยินสตรีร้องไห้ที่สุด แต่พอได้เห็นเหลียงเซิงเซิงที่ทำท่าทำทางน่าสงสารกลับไม่ได้รู้สึกรังเกียจสักเท่าไร
มือของเขายื่นออกไปก็แบกนางขึ้นมาบนหัวไหล่
เหลียงเซิงเซิงปาดเช็ดจมูก นางถูกฉู่เจียงแบกเอาไว้ ก็ชักจะรู้สึกว่าเลือดกำลังไหลไปรวมที่หัวหมดแล้ว
“เจ้าไม่ใช่ …..ไม่ใช่บอกว่าข้าอัปลักษณ์มากหรอกหรอ?” เหลียงเซิงเซิงกล่าวอย่างระมัดระวังเกรงว่าจะทำให้เขาขุ่นเคือง ในใจยิ่งเต็มไปด้วยความกังวล
ประเด็นที่สำคัญที่สุดก็คือนางกลัวเจ็บ ….ถูกกินทั้งเป็นจะต้องเจ็บมากอย่างแน่นอน
ที่กลัวที่สุดก็คือกลัวเขาจะกลับคำ ถึงจะบอกว่านางอัปลักษณ์แต่ก็ยังจะกินลงไป
ฉู่เจียงอยากจะตบหัวนางให้ป่นเป็นผงลงไปในครั้งเดียวเสียจริงๆ สีหน้าของเขาเคร่งขรึม “ข้าจะไม่กินเจ้า แต่จะพาเจ้ากลับไปเขาฝูซางซาน ยกน้ำชาเทน้ำเจ้าทำได้ใช่ไหม?”
เหลียงเซิงเซิงถูกเลี้ยงดูมาอย่างคุณหนูน้อยมาตั้งแต่เล็ก ยกน้ำชาเทน้ำเป็นกับเขาที่ไหนกัน
แต่พอคิดว่าให้ทำเรื่องเหล่านี้ก็ยังดีกว่าถูกกิน ก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรที่รับไม่ได้
นางพยักหน้าอยู่บนหัวไหล่ของฉู่เจียง “ข้า….ข้าจะพยายามทำให้ดีที่สุด”
ทำไม่เป็น ก็หัดเอาได้….
เหลียงเซิงเซิงกำหมัดขึ้นมา อย่างตัดสินใจได้แล้ว
นางเป็นคนไร้ค่า ไม่มีความสามารถจะไปแก้แค้นให้กับท่านปู่ ต่อให้มี….นางก็ไม่สามารถทำเรื่องทำร้ายหรือฆ่าคนได้ลง
นางมีนิสัยเมตตาอ่อนโยน ไม่อาจทนเห็นการเข่นฆ่าหลั่งเลือด ให้ไปรอคอยความตายอยู่ที่เขาฝูซางซานก็ดีไม่น้อย
พอคิดได้ถึงตรงนี้ นางก็ไม่ขัดขืนแล้ว ยอมอยู่นิ่งๆ บนไหล่ของฉู่เจียงอย่างเชื่อฟัง ขณะที่กำลังจะออกจากเรือนไปถึงได้ถามฉู่เจียงออกไปเบาๆ ด้วยความระมัดระวัง “ข้าสามารถ….เอาต้นไห่ถางไปสักต้นได้ไหม?”
ฉู่เจียงหยุดลง ยื่นมือไปถอนต้นไห่ถางเล็กๆ ต้นหนึ่งมาให้นาง “ที่เขาฝูซางซาน สิ่งเหล่านี้ไม่อาจปลูกได้”
เหลียงเซิงเซิง “ต่อให้มันเฉาไป….ก็ยังใช้เป็นที่ระลึกถึงได้”
ด้วยความเกรงว่านับจากวันนี้ไปนางคงไม่อาจออกมาจากภูเขาฝูซางซานได้อีกแล้ว หากว่าคิดถึงบ้าน คิดถึงท่านปู่ ได้มองดูต้นไห่ถางนี้บ้างก็ยังดี
ฉู่เจียงไม่กล่าวอะไร ขยับเท้าเล็กน้อยก็เหาะขึ้นไปในท้องฟ้า
เกี้ยวอ่อนสีแดงเลือดหลังหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ เขาก็นำนางเข้าไป
ทันใดนั้น ด้านนอกของเกี้ยวก็ปรากฏศพสตรีในชุดสีแดงขึ้นแปดนางแบกเกี้ยวมุ่งหน้าไปทางเขาฝูซางซาน
สายลมพัดเข้ามา จนคนหนาวยะเยือก
เหลียงเซิงเซิงหวาดกลัวจนเอาแต่มองออกไปข้างนอก นางเห็นทิวทัศน์ทั้งหมดของเมืองกู่เย่วอยู่ใต้เท้าของตนเอง
ธัญพืชที่สุกเป็นสีทองไหวเอนอยู่ด้านล่าง ใบเฟิ่งทั้งหลายเปลี่ยนเป็นสีแดงแล้ว แดงดุจเดียวกับดอกไห่ถางไปทั้งแถบ ช่างงดงามน่าดู
——
ตอนต่อไป “กอดน้องสาวสุดที่รัก”