ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 369 ตัวบัดซบที่จ่ายยา
“ฝ่าบาท ช่วงนี้ได้ทรงเสวยอะไรที่ทำให้ร้อนในหรือไม่พะยะค่ะ…. นี่พระองค์….” หมอหลวงที่ติดตามกองทัพมามีสีหน้าเจ็บปวด
ฝ่าบาททรงพอกหน้าเอาไว้ข้ามคืน พอตื่นบรรทมในวันที่สองถึงได้ล้างออก
คราวนี้เป็นเรื่องแล้ว ทำเอาเกิดเม็ดสิวเกลื่อนทั่วพระพักตร์
คิดภาพนั้นออกไหมเล่า? ดวงพักตร์ที่เคยงดงาม…..ถึงกับมีสิวอยู่ทั่วใบหน้า
แต่ว่าฝ่าบาทก็ยังแสร้งทำเป็นวีรบุรุษประทับอยู่บนพระเก้าอี้อย่างขึงขัง “ใจเรามุ่งแต่จะยึดแคว้นเหยียนให้ได้ในเร็ววัน เกิดความกังวลมากไป จนร้อนในเข้าเสียแล้ว จะอย่างไรบุรุษที่เป็นผู้นำย่อมไม่กังวลเรื่องผิวพรรณบนใบหน้า”
“พวกเจ้าเองก็ไม่ต้องเป็นห่วงมากไป”
ต่อให้ตีให้ตาย คนอย่างฝ่าบาทก็ไม่มีทางยอมรับหรอกว่าพระองค์ขโมยยาบำรุงของผู้อื่นมาพอกจนเกิดสิวทั่วใบหน้า
ตู๋กูจุนจับตามองดูพระองค์เสแสร้งอย่างเงียบงัน
เรื่องนี้ช่างมีสีสันเหลือเกิน เขาย่อมต้องส่งข่าวกลับไปบอกน้องเล็กอย่างแน่นอน ให้นางได้รู้ว่าฮ่องเต้นั้นคือตัวโง่งมอันดับหนึ่ง
ตู๋กูจุนต้องฝืนความต้องการจะหัวเราะออกไปอย่างบ้าคลั่งของตนเอง ในชั่วแวบเดียวเนื้อหาที่จะเขียนลงไปในจดหมายก็คิดออกหมดแล้ว
ฝ่าบาทไล่แม่ทัพทั้งหมดออกไป เหลือเพียงหมอหลวงที่ติดตามกองทัพเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว
ตอนนี้หมอหลวงถึงกับตัวสั่นสะท้าน เขาคือหมอหลวงอันดับสองของสำนักหมอหลวง ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่ค่อยถูกกับซุนเชวี่ยสักเท่าไหร่ ยามที่ซุนเชวี่ยถูกลดขั้นไปเป็นเด็กต้มยา จึงเคยหาเรื่องเขาเอาไว้ไม่น้อย
จบกันแล้ว ตอนนี้คนเขาอยู่ในขาขึ้น มีหรือจะไม่เอาคืน
ถึงได้ส่งเขามาเป็นหมอติดตามกองทัพ นี่ก็เท่ากับว่าต้องแขวนศีรษะเอาไว้ที่ข้างสะเอวอยู่ตลอดเวลา หากฝ่าบาทมิได้ทรงประชวรก็นับว่าแล้วไป แต่ถ้าเกิดทรงปวดพระเศียรร้อนรุ่มขึ้นมาเมื่อไหร่ เขาเป็นต้องเคร่งเครียดปางตาย
ตอนนี้ก็เป็นเรื่องแล้ว….อยู่ๆ ก็มีสิวขึ้นเต็มพระพักตร์
“ใบหน้าของเรา มีทางรักษาได้หรือไม่?” ฝ่าบาททรงรอจนแน่พระทัยแล้วว่าที่ด้านนอกไม่มีผู้คนแล้วจึงได้ตรัสถามออกมา
หมอหลวงเฉียนทูลตอบด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้าน “ขอฝ่าบาทประทานอนุญาตให้กระหม่อมได้ตรวจดูโดยละเอียด”
แต่ไหนแต่ไรจีเฉวียนไม่โปรดให้ผู้ใดมาสัมผัสแตะต้องพระองค์ แต่พอทรงคิดว่าหากต่อไปซิงซิงต้องมาเห็นพระพักตร์ที่เป็นเช่นนี้ เกรงว่ากระทั่งอาหารเย็นที่นางพึ่งจะกินเข้าไปก็คงจะต้องอาเจียนออกมา
เขาย่อมไม่อาจให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างเด็ดขาด
ดังนั้นจึงอนุญาตให้หมอหลวงเฉียนสัมผัสพระวรกายได้
หลังจากการตรวจดู หมดหลวงเฉียนก็พบร่องรอยของยาพอกบางส่วนจากบนพระพักตร์
ตอนนี้เขาได้แต่แขวนศีรษะเอาไว้บนเส้นด้ายเสี่ยงตายทูลถามออกไปว่า “ฝ่าบาท พระองค์ได้ทรงทาสิ่งใดลงไปบนพระพักตร์บ้างหรือไม่พะยะค่ะ?”
จีเฉวียน “เราเกิดมาพร้อมกับรูปโฉมที่งดงาม ไม่จำเป็นจะต้องทายาบำรุงผิวอะไรทั้งนั้น”
หมอหลวงเฉียน “……….”
“ช่ะ ใช่ ใช่แล้วพะยะค่ะ ฝ่าบาททรงพระสิริโฉมแต่กำเนิด ไหนเลยจะต้องทาของบำรุงพวกนั้นกัน?” หมอหลวงเฉียนแทบจะร้องของชีวิตอยู่แล้ว
เขารีบกล่าวคล้อยตามจีเฉวียนไปว่า “จะต้องเป็นเพราะว่าไม่ทันระวังจึงบังเอิญไปสัมผัสโดยอะไรเข้า ขอทรงประทานอนุญาตให้กระหม่อมได้ศึกษาสิ่งเหล่านี้บ้าง กระหม่อมจะต้องคิดหาหนทางออกมาได้อย่างแน่นอน”
ฝ่าบาททรงพยักพระพักตร์อย่างไม่แสดงอารมณ์ใดๆ
พอฝ่าบาทพยักพระพักตร์ให้ หมอหลวงเฉียนก็ค่อยพกความกล้าหาญไปขูดเอากากยาบนพระพักตร์ออกมา เพราะไม่ทันระมัดระวังจึงไปขูดโดนสิวเม็ดหนึ่งแตกเข้า
หมอหลวงเฉียนรู้สึกว่าศีรษะของตนเองคงจะต้องถูกกลบฝังไปเป็นเพื่อนกับสิวเม็ดหนึ่งแน่แล้ว!
เขาคุกเข่าลงไปบนพื้นดังตึ้ง ทั่วทั้งร่างสั่นสะท้าน
“ฝ่าบาท กระ….กระหม่อม กระหม่อม…..ฮะ ฮือๆๆ …..”
“จะร้องทำไม ก็แค่สิวเม็ดหนึ่งแตก มิใช่ว่าเราจะตายเสียหน่อย ลุกขึ้นมาพูดเร็วๆ เข้า” ฝ่าบาทขมวดพระขนงแน่น “ขอแค่ให้ใบหน้านี้หายก่อนที่จะกลับไปเมืองหลวงก็พอ เจ้ายังมีเวลาอีกมาก”
หมอหลวงเฉียนไม่มีความมั่นใจเลยแม้แต่น้อย……
เขาคุกเข่าอยู่บนพื้นไม่กล้าลุกขึ้นมา ดูจากสถานการณ์เบื้องหน้าในตอนนี้ เมื่อมีฝ่าบาทเป็นผู้นำทัพ กองทัพนี้จึงมีแต่ชัยชนะโดยไร้พ่าย แคว้นต้าเหยียนจึงเป็นเหมือนกับแผ่นกระดาษที่อีกเพียงไม่นานก็คงจะฉีกขาดจนหมดสิ้นแล้ว
เวลาของเขายังจะเหลือมากมายที่ไหนกัน
ก็ไม่รู้ว่าเป็นตัวบัดซบตัวไหน ตอนที่จ่ายยาพอกนี้ถวายฝ่าบาท กลับไม่ได้กราบทูลให้ทรงทราบว่าต้องล้างออก ไม่อาจทิ้งเอาไว้บนพระพักตร์นานเกินไป?
แล้วก็ต้องล้างออกให้สะอาดในเวลาที่กำหนดด้วย!
ขึ้นชื่อว่าเป็นยาอย่างไรเสียก็มีพิษสามส่วน ต่อให้เป็นเพียงสิ่งที่พอกลงบนใบหน้า นั่นก็ยังเป็นยาอยู่ดี
“กระหม่อมจะพยายามสุดความสามารถ” หมอหลวงเฉียนเองก็ไม่กล้ารับประกัน ยานี่พอกเอาไว้นานเกินไป ฝ่าบาททรงแพ้พิษของมันเข้าแล้ว พิษซึมเข้าภายใน เพราะฉะนั้นถึงได้เกิดเป็นสิวทั่วใบหน้า
จำเป็นจะต้องมียาถอนจึงจะขับพิษออกไปได้มิใช่หรือ?
ประเด็นสำคัญก็คือตัวบัดซบที่ผสมยานี้ขึ้นมา ใช้ส่วนผสมของยาที่ยุ่งยากซับซ้อน….
ท้ายที่สุดหมอหลวงเฉียนได้แต่ใช้ข้ออ้างขอตัวไปเข้าห้องน้ำ ค่อยปลีกตัวออกไปจากกระโจมของฝ่าบาทได้ ก่อนที่จะออกไป ห่อสีดำใบหนึ่งก็ตกลงมาอยู่เบื้องหน้าของเขา
แค่ได้กลิ่นก็รู้แล้วว่าจะต้องเป็นยาพอกนั่นอย่างแน่นอน
หมอหลวงเฉียนหยิบขึ้นมาด้วยอาการสั่นเทา จากนั้นก็รีบถอยออกไปโดยที่แม้แต่ลมก็ยังไม่กล้าผายสักครั้ง
ฝ่าบาททรงทอดพระเนตรพระพักตร์ของตนเอง ในพระทัยก็เกิดความคิดอย่างเงียบงัน นี่คงไม่อาจให้ซิงซิงได้เห็นใบหน้านี้ไปจนชั่วชีวิตแล้ว
………………………..
ปีนี้ตู๋กูซิงหลันร่วมฉลองวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่กับท่านปู่และพี่รอง
จดหมายของพี่ใหญ่มาถึงมือของท่านปู่แล้ว
ในจดหมายเน้นหนักถึงเรื่องที่ฮ่องเต้สุนัขโง่เขลาจนทำให้ตนเองมีสิวเต็มใบหน้า
ตู๋กูเจวี๋ยที่ปากเป็นพิษอยู่แล้ว ย่อมต้องหัวเราเยาะออกมาในทันที “อ้ายย่าห์ ข้าบอกแล้ว ฮ่องเต้คือคนโง่ใช่มั๊ยล่ะ? ฮ่า ฮ่า ฮา ฮา ….”
หลังจากนั้นก็หันไปจ้องตู๋กูซิงหลัน “น้องเล็ก บุรุษที่งี่เง่าเช่นนี้อย่าได้ไปคว้ามาอย่างเด็ดขาด เจ้าที่โดดเด่นถึงเพียงนี้ สมควรจะต้องครองคู่กับบุรุษดีงามที่ชาญฉลาดเท่านั้น”
ท่านผู้เฒ่า “ใช่แล้ว เจ้าโง่นั้นไม่เหมาะสมกับเจ้า”
ตู๋กูซิงหลัน “….” ไม่นะ ทำไมนางถึงได้รู้สึกว่าจีเฉวียนงี่เง่าอย่างน่ารักขึ้นมาได้?
จีเฉวียนจากไปเป็นเดือนที่สาม….คิดย้อนไปจากทุกเศษเสี้ยวความทรงจำยามที่เขาเคยอยู่ใกล้ ยิ่งทียิ่งรู้สึกว่าเขาช่างน่ารักมากขึ้นมากขึ้นแล้ว?
ตู๋กูซิงหลันเอาแต่เงียบงันไม่พูดไม่จา ถ่านไหมเงินภายในห้องร้อนปริออกจนส่งเสียงเปาะแปะ หมูเค็มที่จีเฉวียนให้หลงเซียวส่งมาหอมกรุ่นไปทั่วทั้งเรือน ครอบครัวอยู่พร้อมกันหน้าเตาผิง ช่างเป็นความสุขที่บ่งบอกไม่ถูก
อีกเพียงสองวัน ภรรยาของหัวหน้าเผ่าอาปู้ไซ้ก็จะมาถึงแล้ว
ขาที่บาดเจ็บมานานถึงครึ่งปีของตู๋กูซิงหลันในที่สุดก็มีความหวังที่จะรักษาหายแล้ว
กระดิ่งใบน้อยของเจียงชวี่ปิ้งนางก็ยังคงเก็บรักษาเอาไว้ เดิมทีกระดิ่งใบนั้นยังมีกลิ่นอายของกระแสจิตที่เข็มข้น แต่ว่ากลิ่นอายนั้นยิ่งทีก็ยิ่งเบาบางลงไปมากแล้ว
นี่มิใช่เท่ากับบ่งบอกว่า เจียงชวี่ปิ้งเกิดปัญหาหรอกหรือ?
ช่วงหลายวันนี้ นางเองก็มิได้อยู่ในวังอย่างเปล่าประโยชน์
มือสีดำของคนที่ทำร้ายนางยามที่อยู่ในช่องว่างกาลเวลานั้น นางเองก็มีคนที่สงสัยอยู่
ช่วงที่ผ่านมานี้ นางเองก็พยายามสืบหาอย่างเงียบๆ มาโดยตลอด
แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับเก็บตัวเงียบ ไม่กระทำสิ่งใดทั้งสิ้น ทั้งยังจงใจหลีกหนีการพบหน้ากับนาง
หลายครั้งที่เห็นกันอย่างห่างๆ เขาก็อ้อมหลบไป
ตู๋กูซิงหลันก็มิได้แหวกหญ้าให้งูตื่น
วันนี้เป็นวันสิ้นปีจึงได้วางเรื่องนั้นเอาไว้ชั่วคราว อยู่ร่วมกับคนในครอบครัวอย่างสงบสุข
พอตกดึก ทิศที่เป็นที่ตั้งของวังหลวงก็มีการจุดพลุ
แสงพลุระเบิดออกในคืนที่มืดมิดดุจน้ำหมึก ช่างงดงามอย่างที่สุด
ตู๋กูซิงหลันอดไม่ได้ที่จะคิดย้อนกลับไปถึงเมื่อปีที่แล้ว…. ตอนนั้นคล้ายกับว่านางจะดื่มมากไปหน่อย ไปหยอกเย้าจีเฉวียนต่อหน้าผู้คน?
พอไม่ทันคิดเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว แค่เพียงแวบเดียวก็ครบปีแล้ว
ปีนี้ที่แคว้นต้าเหยียนคงจะไม่มีการจุดพลุอย่างแน่นอน จีเฉวียนจะได้เสวยอาหารข้ามปีร้อนๆ บ้างหรือไม่นะ?
ไม่รู้ว่าทำไม ช่วงนี้ตู๋กูซิงหลันถึงได้รู้สึกว่าคิดถึงจีเฉวียนบ่อยครั้งขึ้นมาเรื่อยๆ อาการเจ็บหัวใจก็หนักขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน
แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมสมองถึงได้หยุดคิดไม่ได้เลย
พอคิดถึงขึ้นมาก็รู้สึกว่าหวานล้ำอยู่ไม่น้อย ถึงแม้ว่าเขาจะโอหังลำพองและโง่งมอยู่บ้างก็ตาม
แต่ยิ่งรู้สึกถึงความหอมหวาน หัวใจก็ยิ่งเจ็บปวดรุนแรงมากขึ้นทุกที
——
การโต้รุ่งในวันส่งท้ายปีเก่า (จีน) : (守岁过年) shǒu suì guò niá: กิจกรรมนี้เป็นส่วนหนึ่งของประเพณีในวันสิ้นปี ที่คนในครอบครัวจะมาอยู่ร่วมกันเพื่อกินอาหารมื้อใหญ่พร้อมหน้า (年夜饭) หลังรับประทานอาหารแล้ว ทุกคนจะไม่หลับไม่นอน แต่จะนั่งพูดคุยกินน้ำชาน้ำหวานและของขบเคี้ยวกันง่วงไปจนกว่าจะพ้นเที่ยงคืน นัยว่าป้องกันไม่ให้สิ่งอัปมงคลมาเข้าฝันยามหลับ และเป็นการคอยต้อนรับเทพเจ้าแห่งโชคลาภที่จะมาในวันปีใหม่
ส่วนอาหารมื้อใหญ่ที่ทั้งครอบครัวรับประทานพร้อมหน้า (年夜饭) ส่วนใหญ่แล้วก็จะเป็นอาหารที่มีชื่อเป็นมงคลต่างๆ เช่น จี’ (鸡 ไก่) และ ‘อวี๋’ (鱼 ปลา) แทนความหมาย ‘จี๋เสียงหยูอวี้ (吉祥如意 เป็นสิริมงคลสมดังปรารถนา) ’ และ ‘เหนียนเหนียนโหยว่อวี๋ (年年有余 มีเงินทองเหลือใช้ทุกปี) ’ ถ้าเป็นคนทางภาคเหนือก็จะต้องกิน เจี่ยวจือ (饺子เกี๊ยว) ที่ห่อเอง เพราะแป้งเกี้ยวเป็นสัญลักษณ์ของการผนึกหรือเชื่อมโยง รูปทรงเป็นรูปเงินโบราณ สามารถใส่ไส้ที่เป็นชื่อมงคลต่างๆ กินแล้วจะรับทรัพย์ ถ้าเป็นคนทางใต้ก็จะกินลูกชิ้นกลมๆ ที่เป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์บริบูรณ์พูนสุข นอกจากนี้แล้วก็มีทั้งเมนูถั่ว งา ผักสด ขนมหวานต่างๆ เรียกว่าอิ่มกันข้ามวันข้ามคืนเลยทีเดียว