ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 371 พี่สาวใหญ่ตัวน้อย
ถอยทัพออกมาอย่างรีบร้อน ฝ่าบาทไม่ได้ทรงชุดเกราะเสียด้วยซ้ำ
บนร่างของพระองค์มีแต่เพียงฉลองพระองค์สีทองตัวบางเท่านั้น เนื่องเพราะเป็นยามดึกกระทั่งเส้นพระเกษาก็ปล่อยสยาย
พอผีดิบตัวนั้นโผเข้ามา ก็พุ่งเข้ากัดลำคอของจีเฉวียนอย่างคลุ้มคลั่ง
………………
คืนนี้ ตู๋กูซิงหลันตกอยู่ในฝันร้าย
นางตื่นขึ้นกลางดึก มีเหงื่อออกท่วมศีรษะ
ในความฝันจีเฉวียนหลั่งเลือดท่วมใบหน้า เนื้อหนังของเขาหายไปต่อหน้าต่อตานางทีละนิ้วๆ จนกลายเป็นเพียงกองกระดูกขาวในที่สุด
ใต้ร่างของนางมีแต่กองศพเป็นภูเขา กระดูกมากมายกองพะเนิน
เลือดนองไปทั่วทุกที่ กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งจนทำให้นางแทบจมลงไป
ตู๋กูซิงหลันมีเหงื่อท่วมตัวจนแม้แต่ผ้าห่มยังเปียกชื้น
“จีเฉวียน” นางเอ่ยชื่อของเขาออกมา เกือบจะโผลุกจากเตียงลงไปแล้ว
หมอผีจากเผ่าอาปู้ไซ้ท่านนั้นช่วยเชื่อมต่อเส้นเอ็นให้นางมาหลายวันแล้ว ขาคู่นี้จึงใกล้จะเหยียบพื้นได้อีกครั้ง
แต่ก็แค่ยืนได้ครู่หนึ่งเท่านั้น หากจะเดินหรือวิ่งยังคงต้องใช้ระยะเวลาฟื้นฟูอีกพักใหญ่
คนอย่างตู๋กูซิงหลัน ปกติมักไม่เคยฝันร้าย
พอฝันร้ายขึ้นมาก็ไม่มีเรื่องดีอย่างแน่นอน
ในมือของนางเพิ่มยันต์แผ่นหนึ่ง พอดีดปลายนนิ้วก็ปรากฏดวงไฟสีน้ำเงินขึ้นมา
ยันต์แผ่นนั้นลุกโชนขึ้นมา หลังจากนั้นก็กลายเป็นอักษรควันสองตัวต่อหน้านาง ‘อันตราย’
ตู๋กูซิงหลันขมวดคิ้วมุ่น จากนั้นก็ลุกลงจากเตียง
แต่ขาก็อ่อนแรงลงไปทันที จนแทบจะทรุดลงไปบนพื้น
“พี่สาวใหญ่ตัวน้อย ดึกดื่นค่อนคืนเจ้าจะไปที่ไหนกัน?” วิญญาณทมิฬตื่นขึ้นมาเพราะนางเช่นกัน
“ไปแคว้นเหยียน” ตู๋กูซิงหลันเกาะเตียงเอาไว้ พยายามจะพยุงตัวเองขึ้นมา
ทันใดนั้นนางก็ได้ยินเสียง
“ผั่วะ!” ติ๊งต๊องยกขาขึ้นมาถีบเพียงครั้งเดียวประตูก็เปิดออก
ขยับสองปีกส่ายสะโพกยื่นหน้าเขามาหานาง “กะ กะ กะต๊าก?”
พี่สาวตัวน้อยมีเรื่องจะให้มันไปทำหรือ?
อยู่แต่ในวังน่าเบื่อมาตั้งนาน จนมันเกือบจะขึ้นราอยู่แล้ว ที่สำคัญยังถูกกลิ่นมูลของราชาสุนัขป่ารมทุกวันจนไม่อยากอาหาร ดูสิมันผ่ายผอมลงไปตั้งมากแล้ว
แม้แต่ขนบนปีกก็ไม่ได้มันวาวเป็นประกายดุจเดิมเลย
“แบกข้าไหวหรือไม่?” ตู๋กูซิงหลันคว้าลำคอของมันเอาไว้
“กะ กะ กะต๊าก” ไม่มีปัญหาพี่สาวตัวน้อย อาเฮียแข็งแรงมากนะ
ติ๊งต๊องพึ่งจะส่งเสียงรับรอง ก็เห็นศีรษะที่ใหญ่โตของราชาหมาป่าโผล่เข้ามาในทันที
“บรู้วว์ว์” ราชาสุนัขป่าตะกุยเท้า แสดงออกว่าเรื่องเช่นนี้ให้เป็นหน้าที่ของมันดีกว่า
เจ้านายของวิญญาณทมิฬก็คือเจ้านายของมัน เพราะจะอย่างไรทั้งหมดก็ต้องเป็นครอบครัวเดียวกันในไม่ช้าอยู่แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นกลางฤดูหนาวเช่นนี้ มันมีขนหนา ร่างกายก็ใหญ่โต อบอุ่นกว่ามาก
ราชาสุนัขป่าทางหนึ่งตะกุยเท้า อีกทางก็จ้องมองวิญญาณทมิฬด้วยสายตาเป็นประกาย วิญญาณทมิฬหดตัว ส่ายหัวเงียบๆ ให้ตู๋กูซิงหลันอย่างรุนแรง
หากขึ้นหลังของเจ้านี่ นี่ก็มิเท่ากับว่าเอามันที่ตัวเล็ก อ่อนแอและบอบบางไปขายให้เปล่าๆ หรอกหรือ?
มันไหนเลยจะรู้ว่าสตรีเช่นตู๋กูซิงหลันนั้นไม่มีน้ำใจเลยสักนิด ตอบรับคำเชิญของราชาสุนัขป่าอย่างรวบรัดในทันที
นางฉวยชุดกระโปรงตัวหนึ่งมาสวมใส่ พอราชาสุนัขป่าคาบคอเสื้อเอาไว้ได้ก็เหวี่ยงนางขึ้นไปบนหลัง
ไม่มีใครรู้ว่าไทเฮาแห่งแคว้นต้าโจว เสด็จออกจากเมืองหลวงไปทั้งยามราตรี
นอกเสียจาก….ซูเม่ย
ซูเม่ยล้วงเอาสิ่งที่ซุกอยู่ในท้องออกมา เปลี่ยนเป็นชุดบุรุษสีแดง
ท่ามกลางแสงดาวระยิบ เสื้อผ้าและเส้นผมของเขาพลิ้วอยู่ในสายลม งดงามเย้ายวนอย่างบอกไม่ถูก
เห็นเขาท่องคาถาบนริมฝีปาก เงาร่างสีแดงดุจลูกไฟก็พุ่งออกมา
นั่นเป็นจิ้งจอกไฟสีแดงที่มีเก้าหาง
งดงามอย่างยิ่ง!
ในยามค่ำคืน งดงามดุจปีศาจเย้ายวน
ซูเม่ยนั่งอยู่บนหลังของจิ้งจอกเก้าหาง ไล่ตามไปอย่างรวดเร็ว
เขาพลาดจากนางสองครั้งแล้ว….ไหนเลยจะยอมพลาดจากนางอีกหน
แคว้นเหยียนอยู่ติดทะเล ลมทะเลพัดมาจากทะเลตะวันตก
พอพัดมาถึงแคว้นเหยียน ก็ทำให้เกิดความเปียกชื้นไปทั่ว
และเพราะตอนนี้เป็นช่วงฤดูหนาว ความชื้นนี้จึงเย็นเข้าไปถึงในกระดูก
ดินแดนสามส่วนของแคว้นเหยียนที่จีเฉวียนยึดได้ไปแต่แรกเชื่อมโยงถึงกันกินพื้นที่ถึงครึ่งหนึ่งของแคว้นเหยียน มองดูผิวเผินแทบจะเป็นผืนเดียวกันทั้งหมด
เพียงแต่ยิ่งเข้าใกล้ทิศทางเมืองหลวงของแคว้นเหยียนก็ยิ่งมีไอหยินเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ
ท่ามกลางบรรยากาศเช่นนี้มีไอแห่งความตายที่เข้มข้นปะปนอยู่
แม้แต่ในอากาศก็ยังมีหมอกสีดำที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
ข้างทางมีโครงกระดูกอยู่ไม่น้อย ถึงจะบอกว่าเป็นกระดูก ….แต่สิ่งที่ตายไปแล้วเหล่านั้นกลับยัง ‘มีชีวิต’
และท่ามกลาง ‘โครงกระดูก’ เหล่านั้น ก็ยังมี ‘ศพ’ มนุษย์ ทั้งๆ ที่ขาดวิ่นเป็นชิ้นแล้ว แต่ก็ยังแยกเขี้ยวกางเล็บปีนป่ายขึ้นมาอยู่ตลอด
ท่ามกลางฤดูหนาวแต่กลับมีแมลงวันเคลื่อนไหววนเวียนอยู่โดยรอบ วางไข่ลงบน ‘ศพ’ พวกนั้นอย่างไม่แยแส
ตู๋กูซิงหลันรู้ทันทีเลยว่าเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว
สถานการณ์เช่นนี้……ในโลกก่อนนางก็เคยพบเห็นมาครั้งหนึ่ง
ในโลกเดิมของนางเรียกพวกมันว่า ‘ซอมบี้’
พวกมันแพร่เชื้อได้อย่างรวดเร็ว หากว่าควบคุมได้ไม่ทันการ ทั่วทั้งแผ่นดินก็จะถึงจุดจบ
ต่อให้เป็นนักพรตที่เก่งกาจ เมื่อต้องมาเผชิญกับสิ่งเหล่านี้ก็ยังตึงมือยากลำบาก
นี่เป็นเชื้อโรคที่แพร่กระจายติดต่อกันทางร่างกายสิ่งมีชีวิต ไม่ใช่พวกภูติผีปีศาจ ไม่ใช่เหล่าวิญญาณแค้นที่ยังพอจะควบคุมได้บ้าง
ต่อให้เป็นเหล่านักพรต หากว่าติดเชื้อเข้าไปแล้วก็ยังต้องกลายเป็นซอมบี้ไปเช่นกัน
ตอนนั้นขนาดเพียงแค่ซอมบี้กลุ่มเล็กๆ ยังทำให้รัฐบาลของประเทศแห่งหนึ่งต้องตัดสินใจระเบิดเมืองทั้งเมืองทิ้งไปเพื่อแลกกับความปลอดภัย
นางไม่รู้ว่าทำไมโลกมิตินี้ถึงได้เกิดสถานการณ์ระบาดเช่นนี้ขึ้นมาได้
ในใจของนางครุ่นคิดถึงแต่จีเฉวียน …..เขาอยู่ในเมืองจิงหวา…..
ตู๋กูซิงหลันบุกไปถึงเมืองจิงหวาอย่างรีบร้อนโดยมิได้หยุดพักผ่อนดื่มกินตลอดทาง
หากว่าโรคร้ายนี้ระบาดออกมาได้ถึงภายนอกแล้วล่ะก็ แสดงว่าภายในเมืองจิงหวาก็คงจะมิได้ดีกว่าสักเท่าไร
ในใจของนางเกิดความกังวลถึงสถานการณ์ที่แย่ที่สุดเอาไว้แล้ว
ต่อให้จีเฉวียนแข็งแกร่งเพียงไร แต่ว่าเมื่อต้องเผชิญกับฝูงซอมบี้นับพันนับหมื่น ต่อให้เป็นเขาก็นับว่าอันตรายอยู่ดี
ถึงเขาจะมีความสามารถอยู่กับตัว แต่นั่นก็เป็นวิชาที่ใช้ต่อสู้กับภูติผีปีศาจ ไม่ใช่สำหรับต่อสู้กับสิ่งที่อยู่นอกเหนือขอบข่ายพวกนี้
ตลอดทางที่มา ตู๋กูซิงหลันเองก็เผชิญกับการบุกเข้ามาโจมตีอย่างกระทันหันจากซอมบี้พวกนั้นอยู่ไม่น้อย
ครั้งนี้นางต้องพับยันต์เก็บไป เปลี่ยนเป็นใช้กำลังแทน
ก่อนออกเดินทางนางไปเบิกเอาธนูคันใหญ่มากจากจวนตระกูลตู๋กู นั่นเป็นธนูของเจียงเย่ว
ที่ถูกเก็บรักษาเอาไว้เป็นอย่างดี ยังดีดุจเดิม
ตู๋กูซิงหลันเหมือนดั่งเครื่องยิงธนูที่ไร้จิตใจ ทุกครั้งล้วนยิงอย่างแม่นยำ ทะลวงศีรษะเหล่านั้นระเบิดไป
ซอมบี้เหล่านั้นเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว แต่ว่าก็ยังไม่เร็วไปกว่าธนูของนาง
ติ๊งต๊องยิ่งเก่งกล้าสามารถ อ้าปากขึ้นมาก็พ่นไฟใส่ ไม่สนว่าเจ้าเป็นคนหรือเป็นศพ เผาก่อนค่อยว่ากัน
มันนั่งกระพือปีกอยู่ด้านหน้าตู๋กูซิงหลันใช้ไฟสีทองเปิดทางให้กับนาง
ตลอดทางนี้ มีผู้หลบหนีเอาชีวิตรอดอยู่ไม่น้อย ต่างก็หนีเอาชีวิตรอดออกมาจากเมืองหลวงของแคว้นต้าเหยียน ตอนนี้กลับมองดูสาวน้อยผู้หนึ่งเดินทางสวนเข้าไปเพียงลำพัง
สายตาของนางมีแต่ความมุ่งมั่น นางยิงธนูได้อย่างแม่นยำ องอาจเสียยิ่งกว่าบุรุษหลายเท่า
ไม่มีใครรู้ว่าสาวน้อยผู้นี้มาจากที่ใด พวกเขาไม่มีโอกาสและไม่มีเวลาจะไถ่ถาม
ตอนนี้เมืองหลวงแคว้นเหยียนเป็นขุมนรกไปแล้ว พวกเขาไหนเลยจะยังมีเวลาไปสนอกสนใจเรื่องของผู้อื่น?
ยามที่ตู๋กูซิงหลันรีบรุดไปถึงเมืองจิงหวานั้น ก็เห็นที่นั่นมีแต่ซากปรักหักพัง
ทั่วทั้งเมืองถูกเผาทำลาย
พระเพลิงเผาผลาญทั้งเมืองอยู่หลายวันหลายคืน กระทั่งเมืองที่รุ่งเรืองถูกเผาทำลายไป
บนกำแพงเมืองยังมีธงสัญลักษณ์ของต้าโจวที่ยังไม่ร่วงลงมา
“สายไปแล้ว เขาไม่อยู่แล้ว” วิญญาณทมิฬสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่าสายตาของตู๋กูซิงหลันมีแต่ความเคร่งเครียด
…………………
ไรท์ (ตะโกนแทน) : ฉวนฉวน เจ้าอยู่ที่ไหน?
ตอนต่อไป “เจ้าคิดถึงเรามากขนาดนี้เชียวหรือ?”