ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 378 อย่างมากก็เป็นอดีตหญิงคนรัก
“เมื่อไปถึงยมโลก พอท่านได้พบกับนาง…. จะมีความละอายบ้างสักนิดหรือไม่?”
ฉางซุนซิ่วหัวเราะจนน้ำตารินไหลออกมา วันนี้ความรู้สึกที่ถูกเก็บกดเอาไว้ในหัวใจมาเนิ่นนานหลายปีได้ถูกตีแผ่ออกมาจนหมดเปลือก เขาค่อยสามารถผ่อนคลายตนเองลงได้
จีเฉวียนทรงกุมกระบี่เหมันต์ในพระหัตถ์เอาไว้ สีพระพักตร์เย็นชา
เรื่องในตอนนั้น พระองค์ไม่มีอะไรจะต้องมาอธิบายอีก
ก่อนที่จะได้พบกับตู๋กูซิงหลัน เมื่อทรงตัดสินพระทัยจะเป็นฮ่องเต้ผู้มีความทะเยอทะยานอันยิ่งใหญ่ พระองค์ไม่เคยมีหวั่นไหวพระทัยไปกับผู้ใดทั้งนั้น
สำหรับฉางซุนอิงนั้น……
เหล่าคนที่เคยทำร้ายนาง ตอนหลังล้วนถูกพระองค์เชือนเนื้อออกมาป้อนสุนัขไปจนหมดแล้ว
ศีรษะของคนเหล่านั้น ล้วนถูกพระองค์เตะส่งเข้าไปในสุสานไร้ญาติ
หลังจากที่ฉางซุนอิงตายแล้ว พระองค์ทรงเฝ้าอยู่หน้าสุสานของนางเจ็ดวันเจ็ดคืน ชาตินี้พระองค์ติดค้างนาง หากว่านางยังมีชีวิตอยู่ละก็ พระองค์จะต้องทรงพยายามอย่างที่สุดที่จะทำทุกสิ่งเพื่อชดใช้ให้นาง
หลายปีที่นางติดตามพระองค์ไปนั้น ต้องทนรับความยากลำบากอย่างที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยเจอ เผชิญกับประสบการณ์ความดำมืดของมนุษย์
นางเคยบอกเอาไว้ว่า ความปรารถนาเดียวในชาตินี้ก็คือขอให้ใต้หล้าสงบสุข ไม่มีการแก่งแย่งชิงดี ขอให้พระองค์ทรงเป็นฮ่องเต้ผู้ปราชญ์เปรื่อง
ทั้งหมดนั้น….พระองค์ทรงทำอยู่ทีละก้าว ทีละก้าว
“เจ้าไม่เคยเข้าใจ ความปรารถนาของอาอิง” จีเฉวียนทอดพระเนตรมองดูฉางซุนซิ่วที่กำลังคลุ้มคลั่ง ส่ายพระเศียรเบาๆ
อาอิง แค่คำๆ เดียว พระองค์ไม่เคยตรัสเรียกมาสิบกว่าปีแล้ว
นับตั้งแต่ที่ฉางซุนอิงตายไป ก็ไม่เคยตรัสอีกเลย
ต่อให้เป็นยามอยู่เบื้องหน้าฉางซุนซิ่วก็ไม่เคยตรัสถึงมาก่อน
คราวนี้ ฉางซุนซิ่วตกตะลึงจนแข็งค้างไป
เขาเงยหน้าขึ้นมองดูจีเฉวียนอย่างเนิ่นนาน พอกระพริบตา น้ำตาก็ไหลหยดลงมา “ที่ไม่เข้าใจคือฝ่าบาทต่างหาก”
“ท่านคิดแต่ว่าตอนเยาว์วัยตนเองมีชีวิตอย่างปราศจากความสุข ตนเองต้องรับความยากลำบากและถูกรังแก แต่กลับไม่รู้เลยว่า ใต้หล้านี้ยังมีคนที่ต้องทนทุกข์ทรมานมากมายขนาดไหนเพราะท่านเป็นเหตุ….”
เพราะเขากับน้องสาวไม่เคยเอ่ยมาก่อนเลย
“แต่ละคนล้วนต้องมีเรื่องราวหนหลังของตนเอง ต่างก็มีสุขทุกข์โศกศัลย์ด้วยกันทั้งนั้น ไม่ใช่ว่าท่านจะแตกต่างออกไป”
แต่ว่าความสุขทุกข์ของเขาและน้องสาวในชาตินี้ ล้วนขึ้นอยู่กับพระองค์เพียงผู้เดียว
ฉางซุนซิ่วเงยศีรษะขึ้นมา ให้น้ำตาทั้งหมดไหลย้อนกลับไป
เขาเองก็เหมือนกับจีเฉวียน ที่เก็บงำความรู้สึกได้เป็นอย่างดีมาโดยตลอด
แต่ว่าตอนนี้ กลับทนไม่ไหวอีกแล้ว
ตู๋กูซิงหลันที่แอบอยู่ในมุมๆ หนึ่ง นางไม่อาจจะบรรยายความรู้สึกในตอนนี้ของตนเองออกมาได้เลย
วิญญาณทมิฬเองก็พลอยได้รับผลกระทบไปด้วย หากว่าเรื่องทั้งหมดในตอนนั้นเป็นเช่นที่ฉางซุนซิ่วบอกออกมาจริงๆ นี่เท่ากับว่าสาวน้อยวัยแรกแย้มผู้หนึ่งกลับต้องมาตายอย่างอนาถเพราะจีเฉวียน
แต่หลายสิบปีมานี้เขากลับไม่เคยเก็บนางเอาไว้ในใจเลยแม้แต่น้อย….
เช่นนั้นบุรุษผู้นี้ก็ไร้รักเสียจนน่าหวาดกลัวแล้ว
แต่ถ้าหากว่าจีเฉวียนมีฉางซุนอิงอยู่ในใจ…..
แล้วจะให้หลันหลันทำเช่นไร?
สตรีที่โง่เขลาผู้นี้….ยังไม่รู้จักยอมรับหัวใจของตนเองอีกหรือ?
หากไม่ใช่เพราะว่าชอบจีเฉวียน นางไหนเลยจะไม่แม้แต่จะคิด ก็ออกจากแคว้นต้าโจวทั้งยามค่ำคืน เข่นฆ่ามาตลอดทาง……
จนไม่ได้หลับพักผ่อนมาตลอดสามวันสามคืน
กระทั่งนาทีที่ได้เห็นว่าเขาปลอดภัย ถึงได้วางใจลงได้
“อย่างมากก็เป็นแค่อดีตหญิงคนรัก….ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรสักหน่อย” วิญญาณทมิฬคิดๆ ดูแล้ว ก็รู้สึกว่าสมควรจะต้องปลอบใจนางสักหน่อย “เจ้าดูสิวังหลังยังมีพระสนมมากมายขนาดนั้น ซูเม่ยก็ยังแบกท้องใหญ่โต….”
เพราะว่านี่ก็เป็นครั้งแรกที่หลันหลันหวั่นไหวใจมิใช่หรือ?
พอมันหันศีรษะไปดู ก็เห็นว่าตู๋กูซิงหลันมีสีหน้าหนักอึ้ง
นางไม่ได้นอนหลับพักผ่อนมาสามวันสามคืน เส้นผมบนศีรษะล้วนรุ่ยร่าย ขอบตาดำคล้ำลึกโบ๋
เพราะว่ากังวลในตัวจีเฉวียนมากจนเกินไป นางจึงไม่ได้กินอะไรเลยมาตลอดทาง เพียงแค่ดื่มน้ำไม่กี่คำ สีหน้าก็ซีดขาวอย่างที่สุด
วิญญาณทมิฬพยายามจะสัมผัสถึงความรู้สึกของตู๋กูซิงหลัน
แต่ว่ามันกลับรู้สึกได้แต่เพียงความว่างเปล่า
นางตัดขาดความรู้สึกของตนเองออกจากมัน
สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นได้น้อยมาก….ครั้งก่อน คือตอนที่ศิษย์น้องของนางตายในทะเล
เมื่อสัมผัสความรู้สึกไม่ได้ นี่จึงจะเรียกว่าน่ากลัวจริงๆ
จนถึงตอนนี้มันก็ยังจำได้ว่า หลังจากที่ศิษย์น้องตายไป…..
การรับรู้ของตู๋กูซิงหลันก็พังทลายไปเกือบครึ่งเดือน
ช่วงนั้นนางเอาแต่มืดมนอยู่ตลอดเวลา ทุกครั้งที่ร้องไห้เป็นต้องเสียอกเสียใจจนหัวใจแทบสลาย
จนมีคนให้ฉายาว่า พี่สาวเจ้าน้ำตา
ปกตินางมักจะเข้มงวดกับตนเอง…..ยิ่งเป็นเรื่องการร้องไห้ ยิ่งต้องหาเหตุในการร้องที่จริงจัง
ตอนนี้เพียงเพราะแค่เรื่องราวในอดีตที่ผ่านมาของฮ่องเต้สุนัข….นางก็ถึงกับตัดขาดความรู้สึกของตนเอง
วิญญาณทมิฬรู้แต่ว่าสถานการณ์ไม่สู้ดี แต่พอหันไปมองดู ก็เห็นสีหน้าของนางเรียบเฉย นอกจากเคร่งขรึมไปหน่อยแล้ว ก็แทบจะไม่มีอะไรที่ดูผิดปกติ?
ในตอนนั้นเอง สายตาของฉางซุนซิ่วก็จับจ้องไปยังกระบี่ในพระหัตถ์ของจีเฉวียน เขายิ้มอย่างเย็นชาออกมา “ตอนนี้แคว้นเหยียนก็กลายเป็นเพื่อนร่วมกลบฝังของนางแล้ว ความมุ่งหวังเดียวในชีวิตของข้าก็สำเร็จเสร็จสิ้นแล้ว ถึงแม้ว่าจะยังมีเรื่องที่น่าเสียดายอีกมาก แต่เมื่อเทียบกันแล้วก็ไม่ได้มีค่าสักเท่าไร ท่านก็ฆ่าข้าเสียเถอะ”
หากต้องปะทะกับพระองค์ เขาก็ยังไม่ใช่คู่มือของพระองค์อยู่ดี ทั้งยังคร้านที่จะต่อสู้ดิ้นรนอีกด้วย
“ได้ตายในเงื้อมือของฝ่าบาท นับว่าเป็นจุดจบที่ไม่เลวแล้ว”
“เจ้าเป็นพี่ชายของอาอิง เราจะไม่ฆ่าเจ้า” จีเฉวียนเก็บกระบี่เหมันต์ในพระหัตถ์ไป
พอคิดถึงฐานะที่สำคัญของเขา พระองค์ยิ่งไม่มีทางปล่อยให้ฉางซุนซิ่วตายได้ง่ายๆ
ก็เพราะคิดถึงฐานะกับสิ่งที่หลายปีมานี้เขาได้ทำให้พระองค์ยอมอดทนให้เขาท้าทายครั้งแล้วครั้งเล่า
ตอนนี้ เนื่องเพราะเรื่องของซิงซิงและอีกหลายชีวิตมากมาย พระองค์ไม่อาจจะปล่อยเขาไปได้อีกแล้ว
“ไม่ฆ่าข้าหรือ?” ฉางซุนซิ่วหน้าเปลี่ยนสี “นั่นเท่ากับว่าจะทรมานข้าไปชั่วชีวิต? จะจับข้าไปใส่ไว้ในคุกหรือว่าขังในตำหนักลงทัณฑ์ของราชวงศ์กันละ? ทำลายอิสระภาพชั่วชีวิต ให้ต่ำต้อยดุจมดตัวหนึ่ง?”
“จีเฉวียน เห็นแก่ความสัมพันธ์ของพวกเรา ท่านให้ความรวบรัดกับข้าได้หรือไม่?”
ฉางซุนซิ่วเป็นคนที่หยิ่งทนงผู้หนึ่ง ไหนเลยจะยอมถูกกักขังอยู่ในที่ที่ไร้เดือนไร้ตะวัน ออกไปไหนไม่ได้ชั่วชีวิต
หากเป็นเช่นนี้มิสู้ฆ่าเขาให้ตายๆ ไปเสีย ยังรวบรัดสมใจยิ่งกว่า!
ในตำหนักบรรทมยังมีเหล่าองครักษ์จำนวนหนึ่ง เหล่าพระสนม และแม้กระทั่งเหยียนหยุนก็อยู่ด้วย
เพียงแต่ว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าจีเฉวียน และฉางซุนซิ่ว พวกเขาก็เป็นได้เพียงฉากหลังที่เลือนลางเท่านั้น ไม่มีใครกล้าพูดจาหรือว่าเคลื่อนไหวใดๆ ทั้งสิ้น
เนื่องเพราะว่าฮ่องเต้ผู้ชราของเขาและฮ่องเต้พระองค์ใหม่….คนหนึ่งอยู่ทางซ้าย คนหนึ่งอยู่ทางขวา ต่างก็นอนร่างแข็งทื่อไปแล้ว
ใครเล่าจะกล้าคิดว่า คนที่ยั่วยุวางแผนให้ฮ่องเต้ผู้ชราแพร่เชื้อผีดิบใส่ผู้คน จะเป็นราชครูแห่งแคว้นต้าโจวนั่นเอง?
หากมิใช่ว่าตอนนี้คนทั้งสองกลายเป็นศัตรูกัน พวกเขาย่อมต้องสงสัยแน่ว่าทั้งสองร่วมมือกันทำร้ายผู้อื่น
ขณะที่ฟังคำพูดของฉางซุนซิ่ว สีหน้าของเหยียนหยุนก็วุ่นวายใจอย่างยิ่ง
พอย้อนคิดกับไปถึงเรื่องเหล่านั้นเขาก็จดจำมันได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะเรื่องของฉางซุนอิง
ตอนนั้นจีเฉวียนอายุยังน้อย ด้วยฐานะที่เป็นตัวประกันของเขาจึงมักจะถูกกลั่นแกล้งอยู่เสมอ ทุกสองสามวันเป็นต้องถูกจับยัดเข้าคุกไปโดนทุบตีอยู่เรื่อย
แต่ถึงอย่างนั้นก็มักจะมีเด็กหญิงที่เงียบงันอยู่คนหนึ่งคอยอยู่เคียงข้างเขาตลอดเวลา
เด็กหญิงผู้นั้นหน้าตางดงาม พูดจาแต่น้อย มักจะเอาแต่ก้มหน้า สวมใส่เสื้อผ้าเก่าขาด ไม่กล้าสบตาใครทั้งสิ้น
ต่อให้ซื้อซาลาเปามาได้สักลูกหนึ่ง ก็จะเก็บไส้ไว้ให้จีเฉวียน ตนเองกินแต่เปลือก
ตอนนั้นเพียงเพื่อขอเงินไม่กี่ตำลึง ถึงกับยอมมาทำงานเป็นนางกำนัลซักล้างในตำหนักของเขาอยู่สามเดือน
เหล่าคนรับใช้มักจะกลั่นแกล้งนาง …… แต่นางก็ไม่เคยบ่นว่า ขนาดถูกตีก็ยังยิ้มได้ อะไรก็ยอมรับว่าเป็นความผิดของตนเองอยู่เสมอ
อายุเพียงแค่เจ็ดแปดขวบเท่านั้น……ต้องทำตัวต่ำต้อยราวสุนัขตัวหนึ่ง
เหยียนหยุนจดจำนางได้อย่างแม่นยำ…..
ปีนั้นที่นางอายุได้สิบสามปี จีเฉวียนเองก็มีที่ทางยืนหยัดอยู่ในแคว้นเหยียนได้แล้ว
เขาเลี้ยงดูนางให้อยู่ดีมีกิน ฐานะของพวกเขาค่อยๆ เขยิบขึ้นมาเรื่อยๆ …..
………………………………………
ตอนต่อไป “เฉวียน หลายปีมานี้ข้าคิดถึงท่านมาตลอด”