ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 398 ตัวร้ายลึก
หมัดที่ชกลงไปบนนุ่นนั้นให้ความรู้สึกเช่นนี้ไง?
ยามนี้ตู๋กูซิงหลันก็ได้รู้แล้ว
ฟาดโบยเขาอย่างโหดเ**้ยมไปรอบหนึ่ง เขายังจะมาถามว่านางเจ็บมือบ้างหรือไม่ นี่มันน่าเจ็บใจหรือไม่เล่า?
นางคันมือขึ้นมาแล้ว!
พอฟาดโบยต่อเนื่องกันไปอีกสองแส้ ทรวงอกของเขาก็เพิ่มแถบโลหิตขึ้นมาอีกสองรอย
จีเฉวียนทางหนึ่งทนรับเอาไว้ อีกท่านหนึ่งก็ตรัสกับนางว่า “เรื่องพวกนั้น เอาไว้เราจะอธิบายให้เจ้าฟังอย่างละเอียด”
“ทูลฮ่องเต้หญิงซิงซิง ข้ารักเจ้า ตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เคยเปลี่ยน”
ทางหนึ่งก็กอดแสงจันทราในดวงใจ ทางหนึ่งก็มาบอกรักนาง?
ตู๋กูซิงหลันอยากจะหัวเราะแล้ว
พอฟาดไปหลายแส้เข้า นางก็คร้านจะโบยเขาอีกต่อไป สิ้นเปลืองพละกำลังเสียเปล่า
ในเมื่อพละกำลังสิ้นเปลืองไปกับกองนุ่น ก็ไม่มีความหมายอะไรอีกต่อไป
นางพิงลงไปบนเก้าอี้ เสยเส้นผมสยายลงมาช้าๆ ท่อนขาที่เรียวยาวพาดอยู่บนที่เท้าแขนอย่างตามสบาย
ดวงตาจับจ้องไปทางเขาอย่างเย็นชา “อย่าได้เอ่ยเรื่องไร้สาระ ใต้หล้านี้คนที่หลงรักข้ามีอยู่มากมาย ไม่จำเป็นจะต้องเป็นเจ้า”
“แต่ว่าข้ารักแต่เพียงเจ้าเท่านั้น” ทั่วทั้งร่างของจีเฉวียนมีแต่โลหิต ทั้งยังมีแต่บาดแผลเต็มไปหมด ทำให้เขาเหมือนดั่งตัวน่าสงสารที่ถูกรังแกทั้งเป็น
ในตำหนักบรรทมไม่มีผู้อื่นอยู่อีก ด้วยพละกำลังของเขาย่อมเหนือกว่านางอย่างเกินพอ
แต่ว่าเขาก็ยังคงเป็นเช่นดังแต่ก่อน
ไม่ยอมโต้ตอบใดๆทั้งนั้น
พอได้ฟังแล้ว ตู๋กูซิงหลันก็หัวเราะออกมาในทันที นางปิดปากเบาๆ ดวงตาดอกท้อที่เย็นชาคู่นั้นมีแต่ความเย้ยหยัน “เก็บคำรักพวกนั้นไปเถอะ เราไม่อยากจะฟัง”
ก่อนหน้านั้นเขาก็เป็นเช่นนี้ คำหวานมีเป็นชุด
แต่ว่าเขาเคยทำเรื่องใดให้เห็นจริงๆบ้างเล่า?
ตู๋กูซิงหลันจดจำไม่ได้แล้ว……..
วันนั้นตอนที่อยู่บนกำแพงเมือง นางเคยให้โอกาสเขาได้อธิบาย
แต่ว่าสุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ได้พูดอะไร ทั้งยังพาฉางซุนอิงกลับไปต้าโจวต่อหน้าต่อตาของนาง
ของสกปรก นางทิ้งเสียก็เป็นอันจบ
ตอนนี้ยังจะให้นางเก็บกลับมาหรือ? ฝันไปเถอะ
ยามปกติคนอย่างตู๋กูซิงหลันนั้นย่อมเป็นคนที่ไร้น้ำใจ พอดีกับใครขึ้นมาก็แทบจะยกขึ้นไปให้ถึงสวรรค์เลย
แต่พอมีเรื่องให้ปวดใจขึ้นมาครั้งหนึ่ง ต่อให้เป็นสุสานของบรรพชนทั้งสิบแปดรุ่นของเจ้าก็จะขุดขึ้นมาให้หมด
และตอนนี้นางก็กำลังเป็นอย่างหลังนั้นอยู่
……………………….
ที่ด้านนอกตำหนักหย่งหนิงกง เหล่า ‘ชายบำเรอ’ที่มีเฉาโหยวเฉียวเป็นแกนนำกำลังแอบมองดูอยู่แต่ไกล
เนื่องเพราะอยู่ห่างมากจึงฟังได้ไม่ชัดว่าฮ่องเต้หญิงกับชายบำเรอคนใหม่กำลังพูดกันเรื่องอะไร
เห็นแต่ว่าแต่ละแส้ที่ฟาดออกมานั้นช่างดุเดือดรุนแรงอย่างยิ่ง
“คุณชายเฉา……คนที่ท่านหามาครั้งนี้ ช่างทนทายาดดีแท้! กระทั่งขนาดนี้แล้วก็ยังไม่เปลี่ยนสีหน้า?”
เหล่าพี่น้อยชายบำเรอต่างก็พากันแปลกใจ
ไม่รู้ว่าคนมาใหม่ผู้นั้นทำเรื่องอะไรให้ฝ่าบาททรงขุ่นพระทัย
นับตั้งแต่ที่พวกเขาเข้าวังมา ฝ่าบาทก็มีแต่ด้านที่นุ่มนวลอยู่เสมอ แม้แต่ถ้อยคำแรงสักคำก็ยังไม่เคยตรัสกับพวกเขา
อย่าว่าแต่จะลุกขึ้นมาทุบตีผู้คนเลย
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้รับความโปรดปราน แต่ว่าก็ทรงปฏิบัติตอบอย่างดีอยู่เสมอ
“พวกเจ้าจะไปเข้าใจอะไร? นี่เรียกว่าหยอกเย้า!” คุณชายเฉาที่เปลี่ยนเป็นชุดสุภาพเรียบร้อยแล้วถลึงตาให้คนด้านหลัง
“เจ้าไม่เคยเห็นฝ่าบาททรงทุบตีพวกเขามาก่อนใช่หรือไม่? ที่ตบตีเช่นนี้เรียกว่าตีเพราะรัก คนอย่างสหายเนี่ยซิงนั้น ข้าจะบอกให้พวกเจ้าฟัง ต่อให้เสาะหาจนทั่วแคว้นเหยียนก็ไม่มีคนที่สองอีกแล้ว”
“พวกเราจะสามารถไปต่อได้อย่างยืนยาวหรือไม่ ก็ต้องดูที่การแสดงออกของสหายเนี่ยซิงแล้ว!”
ทุกคนต่างก็ยอมฟังคำพูดของเฉาโหยวเฉียน
เนื่องเพราะต่อให้พวกเขารวมตัวร่วมมือกันแล้วก็ยังไม่อาจต่อกรกับซูเยาได้เลย ดังนั้นได้แต่เสาะหาคนที่มีกำลังพอฟัดพอเหวี่ยวกันมาแย่งชิงความโปรดปรานแล้ว
คราวนี้ผู้คนทั้งหลายต่างก็แอบเอาใจช่วยจีเฉวียนอย่างเงียบๆ
……………..
“เฮอะ เฮอะ เฮอะ” เพียงแค่ครู่เดียว ก็ได้ยินเสียงหัวเราะอย่างเย็นชาลอยมาจากด้านหลัง
เหล่าหนุ่มน้อยทั้งหลายต่างก็หันหน้ากลับไปด้วยอาการขนลุกชัน พอเบือนหน้าไป สิ่งที่ปรากฏขึ้นในสายตาคือสีแดงเพลิงกลุ่มหนึ่ง
สองมือของเขาซ่อนอยู่ภายใต้แขนเสื้อตัวกว้าง ดวงตาสุนัขจิ้งจอกคู่นั้นทั้งเย้ายวนและชั่วร้าย
ยามอยู่ต่อหน้าของตู๋กูซิงหลัน รอยยิ้มของเขาอ่อนหวานจนคนแทบจะถูกเชื่อมตาย
แต่ว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าเหล่าชายบำเรอ รอยยิ้มของเขาก็ปรากฎเขี้ยวสีขาวยาวๆออกมา
เขี้ยวของซูเยาทั้งขาวสะอาด ยาวและแหลมคมกว่าผู้อื่น หากว่าบนศีรษะเพิ่มใบหูสัตว์ขึ้นมาละก็ จะยิ่งดูเหมือนสุนัขจิ้งจอกอย่างแน่นอน
ตอนนี้ เขาคลี่ยิ้มของมารร้ายออกมา ทำเอาเหล่าหนุ่มน้อยทั้งหลายต่างพากันขนหัวลุก
“เหล่าฉากหลังทั้งหลาย ดูท่ายามปกติข้าจะปล่อยปละละเลยพวกเจ้ามากไปเสียแล้วละมั้ง?”
เหล่าชายบำเรอ “…..” นี่ พวกเขามีชื่อมีแซ่นะ
“คนที่ไม่เชื่องสมควรถูกกินให้เรียบ~”เขาหรี่ดวงตาลงราวกับสตว์ป่าที่พร้อมจะล่าเหยื่อ
เหล่าชายบำเรอทั้งหลายต่างก็ใจหายวาบ อยู่ๆในใจก็เกิดความหวาดกลัวขึ้นมา
จากนั้นก็เห็นเจ้าจิ้งจอกผู้นั้นโฉบไปโฉบมาเพียงสองสามแวบก็หายลับไปจากสายตาของพวกเขาพุ่งเข้าไปในตำหนักบรรทม
……………..
ภายในตำหนักบรรทม
จีเฉวียนหอบร่างที่มีแต่บาดแผล เขยิบเข้าไปหาตู๋กูซิงหลันอีกสองก้าว
พระองค์เสด็จเข้ามาก้าวหนึ่ง ปากแผลก็ฉีกออกขึ้นไปอีก โลหิตไหลรินมากกว่าเดิม
ตอนนี้พระองค์ปรารถนาจะอยู่ใกล้นางอีกนิด บาดแผลทั่วร่างเพียงแค่นี้ย่อมไม่อาจขัดขวางไปได้
พอเพิ่งจะขยับเข้าไปใกล้นาง ก็เห็นเงาร่างสีแดงสายหนึ่งพุ่งเข้ามาในตำหนักหย่งหนิงกง
ยามที่ซูเยาบิดร่างทิ้งเอวเดินเข้ามานั้น ชุดสีแดงบนร่างพลิ้วไปกับสายลม สายตาของเขาไม่ได้เหลือบดูจีเฉวียนเลยแม้แต่น้อย ร่างสีแดงโฉบเข้าไปหาตู๋กูซิงหลันดั่งโบยบินคิ้วโก่งโค้งดวงตาก็เป็นประกาย
“อาหลัน นี่คือ?”
พอมาถึงข้างกายตู๋กูซิงหลัน เขาถึงได้กวาดสายตามองไปยังจีเฉวียน
ดวงตาจิ้งจอกคู่นั้นเผยความไม่สบอารมณ์ออกมาเล็กน้อย ขณะเดียวกันก็ยกมือขึ้นไปลูบปอยผมทัดไว้หลังใบหูให้กับตู๋กูซิงหลัน
เขากวาดตาดูรูปโฉมของจีเฉวียนอย่างรวดเร็ว แต่ก็กลับจดจำไม่ออก
ตู๋กูซิงหลันเก็บแส้ภายในมือ เอ่ยเสียงราบเรียบว่า “ฮ่องเต้สุนัขข้างบ้าน”
ซูเยา “……”
เรียกตรงๆถึงเพียงนี้?
พอเขาหันไปมอง ก็เห็นว่าจีเฉวียนเองก็กำลังมองมาเช่นกัน
ดวงเนตรคู่นั้นอาบไปด้วยหมอกโลหิตชั้นหนึ่ง ไอสังหารเข้มข้น
ซูเยาหรี่ดวงตาลง หันหน้ากลับไป กล่าวกับตู๋กูซิงหลันว่า “ถึงจะส่งเข้าประตูมา แต่หากไม่ต้องการก็คือไม่ต้องการมิใช่หรือ?”
“หากโบยไปรอบแล้วยังไม่หายโกรธละก็ เช่นนั้นก็โบยสักสองรอบเป็นอย่างไร?”
ว่าแล้ว เขาก็ปลดแส้ของตนเองให้กับตู๋กูซิงหลัน นั่นเป็นแส้ที่ทำจากเหล็กกล้า บนแส้ยังมีหนามเล็กๆมากมาย หากโดนฟาดไปสักรอบเกรงว่ากระทั่งเลือดเนื้อก็คงถูกกระชากออกมจนหมด
ความทรมานเป็นที่คาดคิดได้
เขายิ้มแย้มอย่างร่าเริง “โบยเสร็จแล้วก็จับขังเอาไว้ พอเจ้านึกขึ้นมาได้ก็สั่งสอนสักรอบหนึ่ง เจ้าฮ่องเต้ผู้นี้มิใช่ตัวดี ทำให้อาหลันขุ่นเคือง ย่อมต้องจ่ายค่าตอบแทน”
ตู๋กูซิงหลันรับแส้ของเขามา นางเหลือบเห็นแววตาที่ร้ายกาจของเขา
เดิมทีพอเจ้าจิ้งจอกน้อยปรากฏตัว นางยังคิดจะเบามือรักษาน้ำใจเอาไว้บ้าง เพราะว่าอย่างไรเขาก็เคยเป็น ‘พระสนม’ ของจีเฉวียนมาก่อน
ทั้งยังรักอย่างลุ่มลึกจนถึงขั้นยอมกลายเป็นหวงกุ้ยเฟยอยู่ในวัง
แต่ตอนนี้พอดูแล้ว เหมือนจะเป็นว่า รักยิ่งลึกล้ำ ความแค้นก็ยิ่งหนักหนากว่านางเสียอีก?
ท่าทางที่สงบเสงี่ยมแต่จริงๆกลับร้ายลึกเช่นนี้ ทำให้คนเกลียดไม่ลงจริงๆ
จีเฉวียนทอดพระเนตรดูซูเยาด้วยแววตาที่เย็นยะเยือกราวกับดาบที่พร้อมจะเชือดเฉือน
เขาลืมข้อตกลงระหว่างพวกเขาไปแล้วหรือ?
หากว่าจริง…..ก็ถือว่าเป็นจิ้งจอกใจคดตัวหนึ่ง
โดนฟาดโบยถือว่าเป็นเรื่องเล็ก แต่พอเห็นเขาเข้ามาสนิมสนมใกล้ชิดกับตู๋กูซิงหลัน พระทัยของจีเฉวียนกลับเหมือนจะระเบิดออก
พระองค์แย้มสรวลออกมาจางๆ “ซิงซิง ไม่ต้องรู้สึกสำนึกผิดหรอก เราหนังหนา เนื้อเยอะตีไปก็ไม่ตาย”
ตรัสแล้ว ก็หันไปสบตากับซูเยาครั้งหนึ่ง “แต่กลับเป็นหย่งเฉิงอ๋องสามีภรรยา ที่มากบอกกับเราว่า บุตรชายของพวกเขาหายสาปสูญไป ตอนนี้ดูท่าแล้ว เป็นเรื่องโกหกกระมั้ง?”
…………………………
ตอนต่อไป “พี่รองเป็นอะไรไป?”