ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 471 ข้าสนใจเพียงแค่อย่างเดียว ค่าตัว
โทรศัพท์มือถือแตกกระจายเป็นชิ้นอยู่บนพื้น ทั้งยังได้ยินเสียงไฟฟ้าช๊อตดังออกมาเบาๆ ก่อนที่เสียงจะตัดไปตู๋กูซิงหลันยังได้ยินเสียงตะโกนด้วยความตกใจของ Sherry
โทรศัพท์มือถือแบบใหม่ล่าสุดที่ผลิตโดยประเทศM ทั่วโลกมีอยู่เพียงหนึ่งร้อยเครื่องเท่านั้น
โทรศัพท์ที่ต่อให้รถฮัมวี่บดลงไปก็ยังไม่เป็นอะไร กลับแตกละเอียด…..ในมือของจีเฉวียน
กระแสไฟฟ้าแผ่ออกมาจากตัวเครื่องช๊อตพระหัตถ์ของจีเฉวียนเบาๆ พระองค์ได้แต่ขมวดพระขนง หันไปตรัสกับตู๋กูซิงหลันว่า “ซิงซิง ของสิ่งนี้ไม่ดีเลย มันกัดคนด้วย”
ตู๋กูซิงหลันพูดอะไรไม่ออก ได้แต่มองดูโทรศัพท์ที่แหลกละเอียดเป็นเศษเล็กเศษน้อยไปแล้ว
พี่ชาย ท่านไล่ดูละครวังหลวงจนจบเรื่องไปแล้ว ….ขนาดทีวียังยอมรับได้….แล้วกะอีแค่มือถือเครื่องหนึ่งทำไมถึงเข้าใจได้ยากนัก?
เสินฟางยืนมองด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ พอเห็นเศษที่แตกละเอียด ในมือก็เพิ่มไม้กวาดมาจากไหนก็ไม่รู้
“มือถือเครื่องนี้พังไปแล้ว เงินในบัญชียังต้องติดลบไปอีกสองแสน รถเข็นของฮ่องเต้ชาวมนุษย์ราคาแปดพันหยวน คุณหนูต้องขยันหาเงินกลับมาเติมในบัญชีโดยเร็ว”
ตู๋กูซิงหลัน “…..”
หากว่านางจำได้ไม่ผิดล่ะก็ เงินในบัญชีของนางมีอยู่มากมายหลายล้านเลยไม่ใช่หรือ?
“หลังจากที่ท่านตายแล้วไปที่โลกโบราณได้สามเดือน ซื่อมั่วก็เอาสมบัติทั้งหมดของท่านไปบริจาคให้กับพื้นที่ในภูเขาที่กันดาร สร้างโรงเรียนประถมขึ้นมาพันแห่ง” เสินฟางทางหนึ่งดีดลูกคิดอย่างรวดเร็ว ทางหนึ่งก็กล่าวไปเรื่อยๆ “ตอนนี้สมบัติทั้งหมดที่คุณหนูมีอยู่ก็คือสวนกุหลาบแห่งนี้ กับรถยนต์เฌอรี่หนึ่งคัน….”
“ค่าน้ำค่าไฟและค่าใช้จ่ายประจำวันต่อเดือนของบ้านหลังนี้อยู่ที่ประมาณ ห้าพันหยวน….รวมกับ…..เงินเดือนในฐานะพ่อบ้านของข้า…..รวมกันแล้วก็ประมาณสองหมื่นหยวน”
ตู๋กูซิงหลัน “? ? ?” เรื่องที่ท่านอาจารย์ขายสมบัติทั้งหมดของนางไปสร้างโรงเรียนประถม….นั่นยังพอเข้าใจได้ คงจะทำไปเพื่อสร้างกุศลให้กับตัวนาง
แต่ว่าเสินฟางที่บอกอยู่ชัดๆว่าเป็นทาสของนาง ก็ยังจะเอาเงินเดือน?
“คุณหนู ถึงเป็นทาสแต่ก็มีสิทธิเหมือนกันนะ…” ดอกพลับพลึงแดงที่ข้างแก้มของเสินฟางแดงก่ำขึ้นมาราวกับซับเลือด เสียงดีดลูกคิดดังต่อไป “เดิม….ทุกเดือนข้าต้องไปซื้อหินวิญญาณมาต่อชีวิต….”
ตู๋กูซิงหลันมองดูเขาอย่างจับจ้องอยู่ครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าตั้งแต่แรกนั้นเสินฟางไปทำอะไรมา ดูดกลืนพลังวิญญาณผู้คนไปตั้งมากมายแล้ว ตอนนี้ก็ยังจะต้องพึ่งพาหินวิญญาณมา ‘ต่อชีวิต’ อีก?
พูดถึงหินวิญญาณ มันคือหินที่ดูดซับพลังชีวิตและจิตวิญญาณเอาไว้อย่างเข้มข้น มีการซื้อขายกันในหมู่นักพรต จุดประสงค์หลักก็คือใช้เพื่อฝึกฝนตนเอง
“เงินเดือนเดือนละหมื่นห้า….ราคานี้ขาดตัวแล้ว” เสินฟางไม่ยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียว
พอเห็นว่าสีหน้าของตู๋กูซิงหลันยิ่งทียิ่งไม่น่าดู เสินฟางก็กล่าวต่อไปว่า “คุณหนูอย่าพึ่งใจร้อน ซื่อมั่วยังทิ้งเงินสดไว้ให้ท่านอีกจำนวนหนึ่ง ทั้งหมดประมาณสามแสน มือถือใช้ไปแล้วสองแสน….หักโน่นนี่ไปอีกเล็กน้อย ตอนนี้ในบัญชียังพอมีเหลืออยู่ประมาณห้าหกหมื่น”
ตู๋กูซิงหลันมองดูมือถือที่ถูกฮ่องเต้สุนัขบีบแตกไป อยู่ๆในใจก็เหมือนจะหลั่งเลือดออกมา!
จีเฉวียนมองดูสีหน้าที่แสนจะเจ็บปวดใจของนาง ถึงแม้ว่าไม่อาจเข้าใจความหมายของถ้อยคำทั้งหมด แต่ก็ยังจับประเด็นสำคัญได้อยู่
ซิงซิงเปลี่ยนจากเศรษฐีแสนร่ำรวยกลายเป็นคนยากจนไปแล้ว
ใช่แล้ว…..แต่ถึงจะยากจนขนาดนั้นก็ยังใช้เงินของตนเองไปซื้อรถเข็นให้กับเขา
ฮ่องเต้มิได้ทรงเข้าใจเรื่องเงินๆทองๆของโลกใบนี้มากนัก
แต่ว่าก่อนนี้ตอนที่อยู่ในต้าโจว ช่างฝีมือสร้างรถเข็นขึ้นมาตามแบบวาดของตู๋กูซิงหลัน ก็ยังต้องสิ้นเปลืองทุนทรัพย์ไปไม่น้อย จีเฉวียนทอดพระเนตรมองดูรถเข็นที่วางอยู่กลางห้องโถง ยังดูสวยงามและทันสมัยกว่าของซิงซิงมากมายนัก จึงรู้สึกว่ามันต้องมีราคาแพงอย่างแน่นอน
“ซิงซิง ……” จีเฉวียนทรงวางแอปเปิ้ลในพระหัตถ์ลง ยื่นไปจับกระโปรงของตู๋กูซิงหลันแทน “ถึงแม้ว่าตอนนี้เราจะพิการไปแล้ว แต่ว่าก็ยังสามารถไปเป็นขอทานเพื่อเลี้ยงดูเจ้าได้”
ว่าตามจริง พระองค์ก็ไม่ทรงทราบว่าร่างกายนี้เมื่อไหร่ถึงจะหายดี ก่อนหน้านั้นต่อให้พระองค์จะต้องทรงไปเป็นขอทาน ก็จะต้องให้ตู๋กูซิงหลันอยู่ดีกินดีให้ได้
“ข้าว่าสามารถทำได้” เสินฟางรีบวางลูกคิดในมือลง หันไปหยิบชามบิ่นขนาดใหญ่และกระดาษ QR code มาส่งถวาย
จากนั้นก็กล่าวอย่างเชื่อมั่นว่า “จำเอาไว้ว่าหากคนไม่มีเงินสด ก็ให้เขาใส่เงินมาที่บัญชีใน QR code นี้”
ตู๋กูซิงหลัน “……”
เสินฟาง “ค่ายาที่ใช้รักษาฮ่องเต้ชาวมนุษย์ผู้นี้ไม่ต่ำกว่าล้านหยวนแล้ว …..จากนี้ยังต้องมีพวกยาวิเศษมาบำรุงอีกมากมาย ราคาย่อมไม่น้อย คุณหนูคงไม่อาจรับภาระแต่เพียงผู้เดียวกระมั้ง?
ตู๋กูซิงหลันคิดไม่ถึงจริงๆว่า เสินฟางที่เคยแต่ฆ่าคนไม่กระพริบตา ดื่มกินวิญญาณอย่างดิบเถื่อน อยู่ๆจะเปลี่ยนเป็นหัวการค้าขนาดนี้?
นางหันมามองดูจีเฉวียนอีกครั้ง เห็นในมือของเขามีชามปากบิ่นใบใหญ่กว่าใบหน้า ในชามนั้นยังมีกระดาษ QR codeที่เคลือบจนแวววาวอีกแผ่น
ดูท่าตัวเลวร้ายอย่างเสินฟางคงจะคิดแผนให้จีเฉวียนไปขอทานเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว
ไม่เช่นนั้นจะหาชามปากบิ่นมาให้เขาอย่างทันท่วงทีได้อย่างไร
ขมับของนางเต้นตุ๊บๆ จนต้องยกมือนวด จากนั้นมือข้างหนึ่งก็ตบลงไปบนบ่าของจีเฉวียน ยิ้มให้กับเขาอย่างอ่อนหวาน “ไม่ใช่อย่างนั้น….เสี่ยวเฉวียนจื่อ ข้าเพียงแต่ห่วงอยู่เรื่องเดียว นั่นคือไม่สมฐานะ!”
เสี่ยวเฉวียนจื่อ…
เฉวียนจื่อ….
จื่อ….
ริมพระกรรณของจีเฉวียนมีแต่เสียงของนางสะท้อนกลับไปกลับมา สุดท้ายก็คิดข้อสรุปได้ข้อหนึ่ง “ซิงซิง เรารู้สึกว่า…..งานชมพลุวันสิ้นปีเมื่อปีก่อน เจ้าเรียกเราว่าเสี่ยวเฉวียนๆยังน่าฟังมากกว่า….”
ตอนนั้นเป็นเพราะความผิดพลาดและบังเอิญ นางจึงดื่มยาสร่างเมาของอันหว่านจรือลงไป….จากนั้นก็พะเน้าพะนอพระองค์ต่อหน้าผู้คน แถมยังเรียกพระองค์ว่าเฉวียนเฉวียน
ด้วยท่าทางที่เย้ายวน จีเฉวียนยังคงจดจำได้จนถึงทุกวันนี้
เสี่ยวเฉวียนจื่อ….ฟังดูแล้วเหมือนเสี่ยวหลี่จื่อ
ที่พระองค์มักจะใช้เรียกหลี่ต้าชิงอยู่เสมอ
ตู๋กูซิงหลันยื่นมือไปเชยคางของเขาขึ้นมา “ช่างน่าไม่อาย!”
ตอนนี้นางกับจีเฉวียนต่างก็กลับมาอยู่ในโลกปัจจุบัน ไม่รู้ว่าบรรดาญาตมิตรที่อยู่ในโลกโบราณจะเป็นเช่นไรกันบ้าง…..อย่างไรเสียช่วงเวลาสั้นๆนี้ก็ยังไม่อาจกลับไปได้ กังวลใจไปก็ไร้ประโยชน์
ร่างกายของจีเฉวียนยังคงไม่หายดี ตอนนี้ก็เป็นอย่างที่เสินฟางว่า จะออกไปไหนมาไหนล้วนต้องใช้เงิน
ตอนนี้สมควรตั้งหลักในมั่นคงก่อน จากนั้นค่อยหาโอกาสไปตามหาท่านอาจารย์ที่ธารน้ำพุเหลือง….
นางคาดเดาเอาเองว่า ตนเองกับจีเฉวียนคงจะถูกบิดาคนงามส่งกลับมาผ่านทางลูกแก้ว
ท่านอาจารย์กับบิดาคนงามมีความสัมพันธ์ที่เหนียวแน่น ….บางทีเขาอาจจะมีวิธีพิเศษเฉพาะที่สามารถทำให้คนเดินทางข้ามมิติได้ก็เป็นได้
ที่นางเป็นห่วงที่สุดก็คือพี่รองกับชือหลี….
จะอย่างไรก็ต้องคิดหาหนทางกลับไปยังโลกโบราณ
ยังมีเรื่องที่ก่อนหน้านี้เพื่อให้นางสามารถ ‘กลับมาเกิดใหม่’ ในร่างของไทเฮาน้อย ท่านอาจารย์จึงได้ใช้คาถารักษาจิตคืนชีพกับนาง ตอนนี้นางกลับมาแล้ว รอให้หาตัวท่านอาจารย์เจอ ค่อยขอให้แก้ไขคาถานี้
ถึงแม้ว่าท่านอาจารย์จะแข็งแกร่งยิ่งกว่าที่เคยคิด แต่การจะให้ต้องมาเดือดร้อนพลังชีวิตของท่านอาจารย์อยู่ทุกครั้ง ตู๋กูซิงหลันก็รู้สึกว่าทำไม่ได้
………………..
สวนกุหลาบมีพื้นที่กว้างขวาง ตัวบ้านพักจัดสร้างอยูตรงกลาง กิ่งกุหลาบที่ยืดยาวและสลับซับซ้อนพันขึ้นไปบนกำแพง แทบเลื้อยอยู่บนบ้านพักกว่าครึ่งหลัง
หากมองดูแต่ไกล ก็คล้ายกับปราสาทโบราณในยุโรป
ยามดึกดื่น สายลมพัดเย็น จนเกิดฝนตกโปรยปราย ลมพัดแรงจนดอกกุหลาบโยกคลอนอยู่ท่ามกลางสายลม ฟ้าแลบแปลบปลาบอยู่นอกตัวบ้าน
ได้ยินเสียงใครสักคนทุบประตูอย่างรุนแรง
“ปึงปึงปึง…..”
เสียงที่ดังอยู่นอกประตูท่ามกลางสายฝนยามค่ำคืนทำให้คนรู้สึกว่าน่าหวาดกลัวกว่าธรรมดา
………………..
ตอนต่อไป “พ่อคุณทูนหัว”