ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 483 เรียกคืนความยุติธรรมให้กับศิษย์ของข้า
ปีศาจตนนั้น นางแสยะปากแยกเขี้ยวออกมา พอถอดเปลือกที่เป็นซ่งเจียงเสวี่ยออกไป ร่างกายก็สูงขึ้นถึงสามเมตร
บนร่างของนางมีรูโบ๋มากมายนับสิบกว่ารู สายโซ่มากมายร้อยทะลวงผ่านร่างกาย ดูแล้วน่าสะอิดสะเอียนกว่าเดิม
ยังดีที่เจ้าตัวนี้ยังมีเส้นผม แต่เส้นผมที่ปลิวกระจายออกมาก็ย้อมไปด้วยเลือด
“เยี่ยซิงหลัน!” นางตะโกนกรีดร้อง ดวงตาที่มีแต่เลือดคู่นั้นสาดแสงเย็นยะเยือกออกมา ราวกับว่าต้องการจะฉีกกระชากตู๋กูซิงหลันทิ้งไป
ทั้งยังแฝงเอาไว้ด้วยความเคียดแค้น และเกลียดชัง
จีเฉวียนทรงขวางอยู่ด้านหน้าของตู๋กูซิงหลันแต่แรกแล้ว หมอกดำกำจายออกมาจากพระวรกายตลอดเวลา ใจกลางฝ่าพระหัตถ์ปรากฏแสงสว่างเย็นวาบขึ้น ดาบสีดำทองที่หักแล้วปรากฏขึ้นในฝ่าพระหัตถ์อีกครั้ง
จีเฉวียนทรงกระฉับดาบที่หักครึ่งเล่มนั้นเอาไว้ในพระหัตถ์ ทั่วพระองค์เปี่ยมไปด้วยไอสังหารที่เข้มข้น
“ดาบปลิดวิญญาณในยมโลก?” ปีศาจตนนั้นคล้ายกับว่าจดจำดาบของพระองค์ได้ในทันที…..
“หักเสียแล้ว? ทำไมถึงได้หักเสียแล้ว! เพราะช่วยเหลือเยี่ยซิงหลันจึงหักหรือ?” นางแสยะเขี้ยวกรีดร้อง ความเคียดแค้นพวยพุ่งขึ้นฟ้าอย่างรวดเร็ว
ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้นางไม่อาจจะแน่ใจได้ว่าบุรุษผู้นี้ก็คือซื่อมั่ว…..แต่ว่าตอนนี้ ก็มั่นใจไปแปดเก้าส่วนแล้ว
ดาบนี้…..ทั่วทั้งใต้หล้ามีแต่ซื่อมั่วเพียงผู้เดียวที่สามารถใช้มันได้!
จีเฉวียนมิได้เคลื่อนไหวอย่างวู่วาม เพียงแต่คอยปกป้องตู๋กูซิงหลันเท่านั้น ว่าตามจริงแล้ว แม้แต่พระองค์เองก็ไม่ทรงรู้ว่าดาบเล่มนี้มีชื่อเรียกว่าอะไร
ตอนที่พระองค์สามารถใช้พลังของหยกสรรพชีวิตได้เป็นครั้งแรกนั้น ดาบเล่มนี้ก็อยู่ในร่างกายของพระองค์แล้ว
สามารถเรียกออกมาได้ทุกเมื่อ
พออยู่ๆก็ได้ยินชื่อของมัน สมองของพระองค์ก็ปวดร้าวขึ้นมาในทันที
ที่ด้านหลังของจีเฉวียน ตู๋กูซิงหลันหยิบยันต์แผ่นหนึ่งขึ้นมาไว้ในมือ ดูท่าเจ้าตัวประหลาดที่อยู่ข้างหน้านี้จะไม่ใช่ปีศาจธรรมดาเสียแล้ว
ไอหยินบนร่างของนางหนักแน่นมาก…..ไอหยินเช่นนี้ ตอนที่อยู่ในร่างของซ่งเจียงเสวี่ยกลับไม่อาจสัมผัสได้อย่างชัดเจน
มิน่าเล่าวันนี้ตั้งแต่ตอนที่เข้าไปทดสอบบทที่บริษัทเทียนหยิ่ง แค่ย่างเท้าเข้าไปนางก็รู้สึกได้ถึงไอหยินที่อึดอัดคับข้อง ที่แท้ก็มาจากร่างของปีศาจตนนี้นั่นเอง
ปีศาจทั่วๆไปก็ทำได้เพียงแค่เข้าสิงร่างกายเพื่อบงการเท่านั้น แต่ว่าเจ้าตัวนี้กลับไม่เหมือนกัน มันสามารถหยิบยืมผิวหนังของมนุษย์มาครอบครองได้ด้วย
พอคลุมตัวด้วยหนังมนุษย์ ก็จะสามารถสกัดกลิ่นอายที่อยู่บนร่างของนางเอาไว้ได้อย่างมิดชิด ทำให้ไม่ถูกคนค้นพบโดยง่าย
“เยี่ยซิงหลัน เยี่ยซิงหลัน!” ปีศาจตนนั้นกรีดร้องออกมา ทั้งยังใช้สองตาที่ชุ่มไปด้วยเลือดจดจ้องนาง “ทั้งหมดก็เป็นเพราะเจ้า เขาถึงต้องทุกข์ร้อนเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งหมดก็เป็นเพราะเจ้า แม้แต่ดาบปลิดวิญญาณของเขาก็ยังหักไปแล้ว!”
นางทางหนึ่งกรีดร้อง อีกทางหนึ่งก็วาดมือที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือดออกมาราวกับสายฟ้าฟาดสีแดงเลือด พุ่งเข้าถึงเบื้องหน้าของตู๋กูซิงหลันอย่างรวดเร็ว
จีเฉวียนไหนเลยจะให้โอกาสนาง ดาบในพระหัตถ์สะบัดออกไป ถึงตัวดาบจะหัก จิตดาบสิ้นสูญ แต่ว่ายังคมกริบดุจเดิม
ดาบนี้วาดออกไป เกือบจะตัดมือของปีศาจตนนี้ออกมา
นางถอยวูบหลบไปด้านหลัง ด้วยความกริ่งเกรงจีเฉวียนอยู่บ้าง
ขณะเดียวกัน ยันต์สีเหลืองในมือของตู๋กูซิงหลันก็พุ่งออกไป
ปีศาจตนนั้นเตรียมพร้อมอยู่ก่อนแล้ว รอบกายนางมีแต่ไอหยินเข้มข้น เพียงพริบตาเดียวก็ปรากฏมนุษย์กระดาษน้อยสีแดงเลือดนับสิบคนขึ้นมา
มนุษย์กระดาษน้อยเหล่านั้นรายล้อมนางเอาไว้เป็นวงกลม เสียงกระดาษขยับพรูก็เหาะขึ้นไปปะทะกับยันต์สีเหลืองของตู๋กูซิงหลัน
ทำลายยันต์ของนางจนกลายเป็นผุยผง
ยันต์สีเหลืองถูกทำลายลงไปแล้ว แต่ว่ามนุษย์กระดาษน้อยยังคงไม่ยอมหยุด พวกมันส่งเสียงขึ้นพร้อมเพรียงกันพุ่งเข้าไปหาตู๋กูซิงหลัน หากมองดูให้ละเอียด ย่อมได้เห็นว่าในมือของพวกมันแต่ละตัวต่างก็มีเข็มสีดำเล่มหนึ่ง
เข็มเหล่านั้นมีไอหยินรุนแรง แฝงด้วยไอศพ
ขอเพียงโดนแทงลงไปสักเข็ม ต้องให้เป็นยอดนักพรตที่ยิ่งใหญ่ก็ยังต้องจบสิ้น
ตู๋กูซิงหลันยังไม่ทันลงมือใช้ยันต์ ก็เห็นจีเฉวียนวาดดาบที่หักเล่มนั้นออกไปอีกครั้ง หมอกสีดำบนร่างของพระองค์ผสานกันจนกลายเป็นโซ่เหล็ก ร้อยรัดพวกมนุษย์กระดาษเหล่านั้นเอาไว้
จากนั้นก็รัดจนฉีกขาดสะบั้น
และเพียงพริบตาเดียว จีเฉวียนก็ทรงวาดดาบที่หักออกไปอีกครั้ง
ร่างของพระองค์เหาะอยู่กลางอากาศ ราวเสื้อผ้าที่อยู่ภายในร้านพังยุบลงไป ฮ่องเต้ทรงวาดดาบขึ้นมา พุ่งตรงไปยังศีรษะของปีศาจตนนั้นอย่างโหดเ**้ยม
ปีศาจตนนั้นเงยหน้าขึ้นมา ในดวงตามีความผิดหวัง เคียดแค้นและชิงชัง
“หมิงอ๋อง ท่านคิดจะทำกับข้าเช่นนี้จริงๆนะหรือ?” นางร้องออกมา “เพื่อสตรีผู้นั้น ท่านจึงทำกับข้าเช่นนี้?”
ตู๋กูซิงหลันได้ยินชื่อ ‘หมิงอ๋อง’ สองคำนั้น ก็ต้องตกตะลึงไป
จีเฉวียนกลับมิได้สนใจใยดีปีศาจตนนั้น ดาบในมือยังคงพุ่งเข้าหาต่อไป
ขณะที่ดาบเล่มนั้นกำลังกรีดลงมา
“ติ๊ง….” เสียงบาดแก้วหูเสียงหนึ่งก็สะท้านขึ้นมา พร้อมกันประกายไฟจากทุกทิศทาง
ดาบเล่มนั้นมิได้ฟันลงไปยังร่างของปีศาจตนนั้น แต่กลับฟันลงบนไม้พลองด้ามหนึ่งแทน
พออาวุธทั้งสองกระทบกัน ก็เกิดความสั่นสะเทือนจนตึกทั้งตึกโยกคลอน แม้แต่จีเฉวียนเองก็ยังถูกแรงสะท้อนจนในพระอุระอึดอัดคับข้องไปหมด
พอกวาดพระเนตรมองไป จึงได้ทรงเห็นว่า สิ่งที่ช่วยเหลือปีศาจตนนั้นเอาไว้ก็คือเงาร่างสีม่วงสายหนึ่ง
เส้นผมสีดำราวน้ำหมึกพลิ้วไหวอยู่ในอากาศ ดวงตาคู่นั้นคมคายดุจมังกรดุจหงส์ งดงามจนคนไม่อาจละสายตาจากไปได้
เขาปรากฏขึ้นอย่างกระทันหัน บดบังอยู่ที่ด้านหน้าของปีศาจตนนั้น
แววตาลึกลับสุดหยั่งถึง กวาดลงมองไปที่ตู๋กูซิงหลันและจีเฉวียนอย่างช้าๆ
ทันทีที่สบเข้ากับดวงเนตรหงส์ของจีเฉวียน ตู๋กูซิงหลันก็รู้สึกได้เลยว่าจีเฉวียนทรงชะงักค้างไปทั้งร่าง
พระองค์กุมดาบในพระหัตถ์ค้างเอาไว้อยู่กับที่ แววพระเนตรจับจ้องอยู่บนร่างของบุรุษที่พึ่งปรากฏตัวขึ้นมาอย่างกระทันหัน
ในชั่วขณะนั้น สมองของพระองค์บังเกิดภาพมากมายในชั่วพริบตา
ภาพอันเลือนลาง
ความเจ็บปวดสุดแสน
“ท่านอา…จารย์….” ตู๋กูซิงหลันเองก็ตกตะลึงไป
ท่านอาจารย์กักตนเข้าณานอยู่ที่ธารน้ำพุเหลืองมิใช่หรือ แล้วทำไมอยู่ๆถึงปรากฏตัวขึ้นมาได้กัน?
พอได้ยินนางส่งเสียงเรียกอาจารย์ ปีศาจตนนั้นถึงได้สติขึ้นมา นางตกตะลึงไปครู่หนึ่ง จับจ้องอยู่ที่เงาของร่างนั้น กล่าวอย่างยินดีและสับสนงุนงงว่า “ท่าน….ถึงจะใช่ซื่อมั่ว?”
กลิ่นอายของพลังจากร่างของเขา ช่างคล้ายคลึงกับบุรุษที่อยู่ข้างกายตู๋กูซิงหลัน…..เกินไปแล้ว
ในมือของซื่อมั่วถือไม้พลองท่อนหนึ่ง ขณะที่ปีศาจตนนั้นเอ่ยปากออกมา พลองด้ามนั้นก็พาดลงมาบนหัว แทบจะแยกหัวของนางออกเป็นเสี่ยงๆ
“พลองนี้ ถือว่าคืนความยุติธรรมให้กับศิษย์ของข้า ในเมื่อไม่ตาย ก็ต้องถือว่าชะตาของเจ้ายังดีอยู่”
พลองนี้ของซื่อมั่วแฝงพลังไม่น้อย แม้แต่ตู๋กูซิงหลันก็ยังรู้สึกได้ถึงแรงสะท้อนกลับที่ออกมาจากร่างของอีกฝ่าย จนทำให้ร่างสั่นสะท้าน
ปีศาจตนนั้นเดิมทีก็มีเลือดท่วมตัวอยู่แล้ว ตอนนี้พอรับพลองของซื่อมั่วไปไม้หนึ่งก็หลั่งเลือดเป็นสายธาร
นางยื่นมือออกมากุมหัวเอาไว้ มองดูเขาด้วยแววตาที่ไม่อยากจะเชื่อ
“ท่านไม่ใช่ ไม่ใช่ว่ามาช่วยข้าหรอกหรือ?”
จริงด้วย จะต้องเป็นเพราะว่าเขายังจดจำนางได้ จึงช่วยเหลือนาง….แล้วทำไมตอนนี้ถึงได้จะฆ่านางกัน?
พลังของพลองนี้รุนแรงมาก หากมิใช่เพราะว่านางฝึกฝนจนมีตบะสูงส่ง เกรงว่าตอนนี้คงต้องกลายเป็นก้อนเนื้อไปแล้ว
ซื่อมั่วสีหน้าปราศจากอารมณ์ใดๆ เขาเพียงกุมพลองในมือเอาไว้ หันไปทางจีเฉวียน และมองไปยังตู๋กูซิงหลันที่ยืนอยู่ด้านหลัง
เขาไม่สนใจปีศาจตนนั้น แต่กลับยื่นมือหาตู๋กูซิงหลัน ส่งเสียงเรียกคำหนึ่ง “มานี่”
พอเอ่ยเบาๆแฝงด้วยนำเสียงโปรดปราน
ตู๋กูซิงหลันก็ขยับเดินไปทางเขา เหมือนกับไม่อาจควบคุมตนเอง
พึ่งจะเดินออกไปไม่กี่ก้าว พอผ่านตัวจีเฉวียนไป ก็ถูกเขาคว้าข้อมือเอาไว้
จีเฉวียนสีหน้าซีดขาว ทั้งยังเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
“ซิงซิง อย่าได้ไป” พระองค์ตรัสออกมา เกาะกุมข้อมือของนางเอาไว้อย่างแน่นหนา ราวกับเกรงว่าหากเผลอปล่อยเพียงนิดเดียวนางก็จะไม่กลับมาหาพระองค์อีกแล้ว
………………………….