ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 512 ต้นฮว๋าย
สายตาคู่นั้นจับจ้องไปที่นางด้วยความหวาดกลัวอยู่บ้าง
จากนั้นสายตาคู่นั้นก็ไปหยุดอยู่ที่ดอกพลับพลึงแดงที่รั้งอยู่ข้างกายนาง ดวงตาคู่นั้นเปลี่ยนเป็นประหลาดใจ ทั้งยังทวีความซับซ้อนสับสน
ตู๋กูซิงหลันก้าวไปข้างหน้าอีกสองก้าว ก็รู้สึกว่าใต้ฝ่าเท้าเบาหวิว อยู่ๆพื้นผิวบนสะพานที่สร้างจากแผ่นหินก็สลายหายไปราวกลีบดอกไม้ ร่างของจึงตกลงไปยังเบื้องล่าง
พอก้มศีรษะลงมองดู ก็เห็นว่าดอกพลับพลึงแดงที่อยู่ใต้สะพานหายไปหมดแล้ว สิ่งที่อยู่แทนที่มีแต่ผืนน้ำหมึก กลางผืนน้ำมีฝูงปลาสีดำราวหมึกขนาดใหญ่หลายสิบตัวกำลังเงยหัวขึ้นมา อ้าปากกว้างยิงฟันราวกับกำลังรอคอยเหยื่ออันโอชะอย่างไรอย่างนั้น
ปลาแต่ละตัวมีฟันคมยาวราวดาบที่เรียงราย ฟันแต่ซี่ทั้งแหลมคมและยาวราวกริชเล่มหนึ่ง
ตู๋กูซิงหลันสงบนิ่งอย่างยิ่ง ขณะที่ร่างกำลังตกลงไปนั้น ยันต์สีเหลืองหลายแผ่นก็ถูกเขวี้ยงออกมา เพียงครู่เดียวก็กลายเป็นลำแสงสีทองสาดส่องลงไป
ยันต์เหล่านั้นพุ่งเข้าหาร่างของปลายักษ์ เพียงพริบตาที่สัมผัสก็ลุกไหม้กลายเป็นเปลวเพลิงสีน้ำเงิน
ปลายักษ์เหล่านี้เป็นร่างจิต เป็นจิตวิญญาณชั่วร้ายที่อยู่ในธารน้ำพุเหลือง พวกมันกลืนกินวิญญานร้ายที่หล่นลงไปโดยเฉพาะ
เกรงว่าบางทีแม้แต่คนเป็นเช่นตู๋กูซิงหลันที่บุกรุกเข้ามาในธารน้ำพุเหลือง พวกมันก็คงจะเคยกินมาบ้างแล้ว
เพียงแต่คิดไม่ถึงว่า ที่มาในครั้งนี้จะเป็นตัวร้ายกาจผู้หนึ่ง พอยันต์หลายผืนถูกซัดออกมา ปลายักษ์สิบกว่าตัวนั้นก็มอดไหม้จนกลายเป็นเถ้าธุลี
ปลายเท้าของนางสัมผัสกับผิวน้ำอย่างแผ่วเบา ร่างกายก็หยิบยืมกำลัง ดีดกลับขึ้นไปบนสะพานใหม่อีกครั้ง
เหล่าวิญญาณคนตายที่อยู่ใกล้ต่างก็ชมดูจนเซื่องซึมไปแล้ว ต่างก็ตกตะลึงจนยืนค้างอยู่บนสะพาน
วิญญาณคนตายเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนสวมใส่เสื้อผ้าของโลกปัจจุบันพอได้เห็นตู๋กูซิงหลันสร้างความวุ่นวายขึ้นมา ก็พากันหันไปมองดูนาง ในสมองของพวกเขาพลันปรากฏคำบางคำขึ้นมา ‘เทพธิดาแห่งชาติ’
เอ๋? นี่ นี่มันเยี่ยซิงหลันมิใช่หรือ?
นางเองก็ตายไปแล้วเช่นกันหรือ?
ฝูงชนต่างก็ไม่อยากจะเชื่อ จึงได้แต่ยืนตกตะลึงอยู่กับที่ไม่กล้าเคลื่อนไหวใดๆ
ตู๋กูซิงหลันเหาะลงไปตรงหน้าของหญิงสาวในชุดดำผู้หนึ่ง ระยะระหว่างทั้งสองห่างกันเพียงก้าวเดียวเท่านั้น
สตรีในชุดดำผู้นั้นตัดสินใจก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่ง สายตาของนางมองเลยไปที่ด้านหลังของตู๋กูซิงหลัน มองดูดวงไฟสีน้ำเงินใต้สะพานที่ยังไม่ทันได้มอดดับดี
ท่าทางของนางไม่ได้มีความประหลาดใจใดๆ
ในมือของนางมีตราประทับอยู่อันหนึ่ง ดวงวิญญาณทุกดวงที่เดินทางผ่านมา ล้วนต้องได้รับการประทับตราจากนาง
“ท่านผู้นี้เมื่อเดินทางผ่านธารน้ำพุเหลือง ข้ามสะพานไน่เหอมา ต่อไปเบื้องหน้าก็คือธารทรายเหลือง ใต้ผืนทรายเหลืองคือขุมนรกที่ไร้สิ้นสุด การเดินทางนี้มีอันตรายนับพันนับหมื่น สมควรไตร่ตรองให้ดีก่อน” สตรีผู้นี้คล้ายไม่มีเจตนาเป็นศัตรูกับตน น้ำเสียงของนางสงบนิ่ง ทั้งยังออกจะไม่แยแสอยู่บ้าง
ตู๋กูซิงหลันมองดูนางแวบหนึ่ง ก็เห็นว่าบนหลังมือของนางมีลวดลายบางอย่าง เป็นดอกพลับพลึงแดง
นางจึงมองดูให้ละเอียดกว่าเดิม ดอกไม้นี้เหมือนกับดอกไม้ที่อยู่บนร่างของเสินฟางไม่มีผิด
เพียงแต่ตอนนี้ตนไม่มีอารมณ์จะสนใจเรื่องของผู้อื่น ตู๋กูซิงหลันจึงเพียงผงกศีรษะ เดินผ่านแผ่นหลังของสตรีผู้นั้นไป
สตรีในชุดดำผู้นั้นหันศีรษะกลับมา มองดูเงาหลังของตู๋กูซิงหลันอยู่ครู่หนึ่ง ในดวงตาทอประกายบางอย่าง
………………..
ตู๋กูซิงหลันเดินต่อไปจนไม่รู้ว่านานเพียงใด แต่ว่าหมอกตรงหน้าก็จางลงเรื่อยๆ เส้นทางของพลับพลึงแดงที่คดเคี้ยวในที่สุดก็มาถึงจุดสิ้นสุด
เบื้องหน้ามีสายลมพัด ในอากาศมีฝุ่นทรายสีเหลืองปะปน
แห้งกร้านและหนาวเย็น
ฟ้าดินไม่แบ่งแยกกลางวันและกลางคืน มีแต่ผืนทรายกว้างใหญ่ไพศาล ยามที่สายลมพัดผ่านใบหน้าก็บาดผิวจนเจ็บแสบ
ตู๋กูซิงหลันพาติ๊งต๊องและจู๋จู๋มุ่งหน้าต่อไป ทรายใต้ฝ่าเท้าทั้งร่วนและเย็นเฉียบ
รอบกายมีแต่วิญญาณคนตายมากมาย ทั้งยังมีเรื่องแปลกประหลาดอยู่บ้าง
ในผืนทรายมีสัตว์ประหลาดปรากฏกายขึ้นอยู่ตลอดเวลา พวกมันคอยดักจับวิญญาณที่ผ่านทางมากิน
มีแต่วิญญาณที่ยามมีชีวิตอยู่ประกอบกุศลสร้างผลบุญเอาไว้มาก ทำให้บนร่างมีรัศมีแห่งความดีโอบล้อมจึงจะสามารถผ่านพ้นไปได้
ธรรมชาติย่อมมีการปรับสมดุลในตนเอง ทุกวันนี้เมื่อโลกปัจจุบันมีจำนวนประชากรเพิ่มพูน ในธารน้ำพุเหลืองก็กำเนิดปีศาจต่างๆขึ้นมา
พวกมันจะเลือกกินแต่เฉพาะวิญญาณบาป ไม่ให้โอกาสวิญญาณเหล่านั้นได้ไปผุดไปเกิดอีก เช่นนี้จึงจะเป็นการรักษาสมดุลในธรรมชาติสืบไป
ยามที่อยู่บนสะพานหิน ก็ได้กวาดล้างเหล่าคนที่ยามมีชีวิตอยู่ประกอบกรรมชั่วช้าสามานย์ไปบ้างแล้ว ยามนี้เมื่ออยู่ในทะเลทรายเหลือง ก็ยังมีการเลือกเฟ้นอีกครั้ง
ใต้เท้าของตู๋กูซิงหลันมักมีเหล่าตัวประหลาด ทั้งหนอนประหลาด ปีศาจตะขาบผุดขึ้นมาอยู่เรื่อยๆ
ดาบยักษ์ของนางถูกทะลวงป็นรูใหญ่ จึงเก็บเอาไว้ในถุงเฉียนคุน พอตอนนี้บังเอิญเจอะเจอตัวประหลาดเหล่านั้น จึงได้แต่ระดมหมัดเท้าออกมา
พอพวกมันถูกต่อยตีจนแหลกสลายกลายเป็นเถ้าถ่านไปหลายสิบตัว ก็ไม่มีตัวประหลาดตนใดกล้าลงมือกับนางง่ายๆอีกต่อไป
แต่ว่าวิญญาณคนตายเหล่านั้นเสมือนได้เจอขาใหญ่เข้าแล้ว ต่างก็พากันติดตามมาที่ด้านหลังของนางหวังจะได้รับความคุ้มครอง
ตอนที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่ ก็เคยได้ยินว่าว่าเทพธิดาของประชาชนผู้นี้เป็นผู้มีใจเมตตาการุณอย่างยิ่ง คิดไม่ถึงว่า นางจะแข็งแกร่งขนาดนี้ แม้ต้องเผชิญกับเหล่าสัตว์ปีศาจก็ไม่เปลี่ยนสีหน้า
ในบรรดาวิญญาณเหล่านั้น ย่อมมีแฟนคลับของนางปะปนอยู่ด้วย พวกเขาเห็นแล้วทางหนึ่งก็รู้สึกว่าแผ่นหลังเย็นวาบ อีกทางหนึ่งก็รู้สึกว่าตนเองช่างโชคดีเข้าแล้ว ยามมีชีวิตอยู่ไม่มีโอกาสได้ใกล้ชิดกับตัวจริง พอตายแล้วกลับได้พบเจอโดยบังเอิญ นี่ยังไม่นับว่าน่าประทับใจอย่างยิ่งหรอกหรือ
……………………….
เพียงชั่วครู่เดียว รอบข้างของตู๋กูซิงหลันก็เต็มไปด้วยเหล่าวิญญาณ แต่ละตนวนเวียนอยู่รอบกาย แต่ละสายตาเปี่ยมไปด้วยประกายของความเคารพนับถือ
คนเช่นนาง ไม่ว่าไปที่ใดก็กลายเป็นเป้าสายตาของผู้คน
แม้แต่ในทะเลทรายของธารน้ำพุเหลืองที่เป็นเส้นแบ่งของความเป็นความตาย นางก็ยังเป็นดวงเดือนในหมู่ดาวของผู้คนทั้งหลายอยู่ดี
ตู๋กูซิงหลันไม่ได้คิดจะเดินทางผ่านทะเลทรายของธารน้ำพุเหลืองออกไป ก่อนหน้านี้ตอนที่นางติดตามอาจารย์มา อาจารย์เคยสั่งให้นางรอเขา
นางจึงก็เคยหยุดเท้าอยู่ที่เพิงพักเท้าแห่งหนึ่ง
ตู๋กูซิงหลันต้องการจะตามหาเพิงพักแห่งนั้นให้เจอ เพื่อรออาจารย์อยู่ที่นั่น
แต่ว่านางวนเวียนอยู่ในนี้รอบใหญ่แล้วก็ยังเสาะหาที่พักแห่งนั้นไม่พบ
เดิมทีนางต่อสู้กับซือเป่ยจนได้รับบาดเจ็บมาไม่น้อย ทั้งยังเจ็บปวดทุกข์ใจเพราะการ ‘ตาย’ ของอาจารย์และจีเฉวียน ตอนนี้พอวนเวียนอยู่ในทะเลทรายรอบหนึ่งก็ต้องรู้สึกอ่อนล้าอย่างถึงที่สุด
ไม่รู้ว่าเดินมานานเท่าไหร่ ท้องฟ้าเหนือทะเลทรายของธารน้ำพุเหลืองก็เหมือนจะอึมครึมขึ้นมา
ไม่ไกลจากที่ที่นางอยู่ มีต้นไม้ต้นหนึ่งปรากฏขึ้น
ต้นฮว๋าย
ต้นฮว๋ายสะสมไอหยิน จึงดึงดูดวิญญาณและภูติผีปีศาจ แต่ว่าในตอนนี้ ที่ใต้ต้นฮว๋ายต้นนั้นกลับไม่มีวิญญาณใดอยู่แม้แต่ตนเดียว
ตู๋กูซิงหลันเดินไปข้างหน้าอีกหลายก้าว เหล่าวิญญาณที่รายล้อมนางอยู่ก็คล้ายกับว่าสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง พวกเขาพากันหวาดกลัวขึ้นมา
จากนั้นก็พากันถอยห่างออกไปจนไกล
ตู๋กูซิงหลันรู้สึกเหมือนมีบางอย่างกำลังเรียกหา นางเดินตรงเข้าหาต้นฮว๋าย พึ่งจะเดินไปได้สองก้าวก็หันหน้ากลับมา เอ่ยกับเหล่าวิญญาณที่อยู่ด้านหลังว่า
“ชาติหน้าพอเกิดใหม่แล้วจงเป็นคนดี ตั้งจิตให้บริสุทธิ์อยู่ในเมตตาธรรม เช่นนี้ตนย่อมได้รับผลบุญตอบแทน”
บาปบุญมีกรรมตามสนอง แม้ว่าก่อนตายจะยังไม่ได้รับผลกรรม แต่ยามตายไปแล้วย่อมหนีไม่พ้นต้องรับโทษทัณฑ์อยู่ดี
เหล่าวิญญาณทั้งหลายพากันพยักหน้า แต่ละตนต่างก็ขอบคุณตนเองที่ยามมีชีวิตอยู่ไม่ได้กระทำความชั่ว จึงได้มีโอกาสคงอยู่ต่อไป
ตู๋กูซิงหลันสั่งสอนจบแล้ว ก็หันร่างเดินตรงไปยังต้นฮว๋าย
พึ่งจะเข้าใกล้ นางก็สัมผัสได้ถึงพลังหยินที่แข็งแกร่ง พลังหยินนั่น…..ให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างยิ่ง
หยกสรรพชีวิต?
นางหรี่ดวงตาลง สาวเท้าเดินเข้าไปอีกหลายก้าว ต้นฮว๋ายเ**่ยวเฉาไปแล้ว กิ่งก้านทั้งเก่าและแห้งกรัง ไม่รู้ว่ามันผ่านวันคืนมาเนิ่นนานเท่าไร
ตู๋กูซิงหลันยืนอยู่ใต้ต้นไม้ พลางยื่นมือออกไป ทันทีที่มือสัมผัสกับลำต้น ก็เห็นว่าต้นไม้สั่นสะเทือนขึ้นมาเบาๆ
…………………………..