ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 545 โฉมงามน้ำแข็งที่ทรงเสน่ห์ดุจภูติร้าย
คนผู้นั้นมิได้สนใจนาง เขาปล่อยให้นางนั่งแกว่งขาอยู่บนบ่าของตนเอง
ขาของนางแกว่งไกวไปมาอยู่บนบ่าของเขา น้ำหนักก็ไม่มาก ให้ความรู้สึกเหมือนเดี๋ยวมีเดี๋ยวหาย เหมือนกับมีบางอย่างเคาะเบาะที่หัวใจของเขา
ทำให้เขาอยากจะคว้าขาทั้งคู่ที่อยู่ไม่สุขนัั่นลงมา สับแล้วโยนให้สุนัขกิน!
ทั้งๆที่ในหัวใจเต้นตึกๆตักๆ แต่เขายังคงทำสีหน้าสูงส่งเย็นชา
คนของวังตันติ่งกงตาค้างไปแล้ว …….พวกเขาคิดขึ้นมาในทันทีว่า สองคนมามาเพื่อโอ้อวดความรักใคร่สนิทสนม!
พวกเขาบุกมาวังตันติ่งกงอย่างเปิดเผยก็เพื่อแสดงฉากรักหวานเลี่ยน!
คู่บุรุษหน้าเหม็นที่ไร้ยางอาย! สมควรจับไปเผาทิ้งหรือไม่?
…………………………..
ซ่งชิงอีเห็นตู๋กูซิงหลันนั่งอยู่บนบ่าของเขา ก็ต้องโกรธจนแทบจะกระอักเลือดออกมา
นางคิดถึงตอนก่อนหน้านี้ นางไปคารวะถึงสำนักหยินหยางด้วยตนเอง แต่ว่าเขากลับไม่ให้เกียรติพบหน้าเลยสักนิด ขับไล่นางออกมาต่อหน้าผู้คนทั้งหมด
แต่ว่าตอนนี้…..เขากลับยอมให้เจ้าเดรัจฉานน้อยนั่นนั่งอยู่บนบ่า?
ซ่งชิงอีรู้สึกว่า หากไม่ใช่ว่านางตาบอด เขาก็ต้องเสียสติไปแล้ว
เจ้าเดรัจฉานน้อยนั่น มีดีที่ตรงไหน?
นางใช้พลังทั้งหมดเป่าขลุ่ยกระดูกออกไป….
ดวงตาของนางเรืองวาบด้วยความชิงชัง และมุ่งหวังให้ผีกุ่ยหลัวซาของต้นพุ่งเข้าไปฉีกทึ้งเด็กหนุ่มผู้นั้น
และเพราะนางใช้พลังอย่างมากเกินควร ใบหน้าจึงแดงก่ำราวตับหมู บาดแผลบนใบหน้าก็ยิ่งปริแตก หยดเลือดไหลออกมาอีกครั้ง
ฝูลั่วรีบหาผ้าสะอาดมาช่วยซับหน้าให้กับนาง
แต่ว่าซ่งชิงอีกลับไม่สนใจ ดวงตาของนางเรืองโรจน์อย่างคลุ้มคลั่ง
นางกำลังนับถอยหลังอยู่ในใจ นับถอยหลังที่จะได้เห็นพวกผีกุ่ยหลัวซาฉีกทึ้งเจ้าเดรัจฉานน้อยนั่นเป็นชิ้นๆ
สาม……
สอง…..
หนึ่ง…..
หึ หึ หึ มันกำลังจะจบสิ้นแล้ว
ต่อให้มีเจ้าสำนักหยินหยางคอยปกป้องอยู่แล้วจะอย่างไร? หากว่าเสียงพิณของเขาจะสามารถกำจัดผีกุ่ยหลัวซาได้หมด อย่างนั้นก็คงจะทำไปตั้งแต่แรกแล้ว ไม่ต้องมารอนาน จนไม่กล้าขยับเช่นตอนนี้
มุมปากของซ่งชิงอีถึงกับมีรอยยิ้มผุดขึ้นมาแล้วด้วยซ้ำ
แต่รอยยิ้มของนางยังไม่ทันได้คลี่ออกมา ก็ต้องแข็งค้างไปเสียแล้ว
ภายใต้แสงดาวเกลื่อนฟ้า ขณะที่ผีกุ่ยหลัวซานับเจ็ดแปดสิบตัวกำลังรายล้อมเข้าไปนั้น อยู่ๆพวกมันทั้งหมดก็พากันคุกเข่าลงที่ตรงหน้าตู๋กูซิงหลันกับคนผู้นั้น
คุกเข่ากลางอากาศ!
ใครมันจะไปเชื่อกัน!
ทุกคนต่างตกตะลึง ล้วนอ้าปากค้างราวกับจะใส่ไข่เป็ดได้ทั้งใบ
ซ่งชิงอีลืมตาโต นางเองก็นึกไม่ถึง
นางรีบยกขลุ่ยกระดูกขึ้นมาเป่าอีกครั้งอย่างรวดเร็ว ทางหนึ่งเป่า ทางหนึ่งก็คิดไปว่า วิธีการเป่าของนางก็ไม่มีสิ่งใดที่ผิดพลาดนี่นา!
เป็นไปได้อย่างไร?
ตลอดร้อยปีมานี้ นางฝึกฝนและสร้างผีกุ่ยหลัวซาขึ้นมาอย่างยากลำบาก แล้วทำไมมันถึงได้ไปคุกเข่าให้กับผู้อื่นเสียง่ายๆ?
เขาอาจจะแข็งแกร่งก็จริง แต่ก็ไม่จำเป็นที่ผีกุ่ยหลัวซาจะต้องไปศิโรราบต่อเขานี่?
ซ่งชิงอีเป่าอยู่เป็นนาน ผีกุ่ยหลัวซาเหล่านั้นก็ยังคงคุกเข่าอย่างนอบน้อมอยู่ตรงหน้าคนผู้นั้น โดยไม่สนใจจะฟังคำบัญชาของนางเลยสักนิด
เป็นไปไม่ได้…..นี่มันเป็นไปไม่ได้!
ผีกุ่ยหลัวซาไม่มีทาง มีความรู้สึกใดๆ พวกมันเชื่อฟังแต่ผู้ที่บ่มเพาะมันขึ้นมาเท่านั้น…..
ตกลงแล้วนี่มันผิดพลาดที่ใดกันแน่?
ซ่งชิงอีเป่าขลุ่ยกระดูกจนจะร้าวอยู่แล้ว!
ฝูลั่วที่ตื่นตะลึงอยู่ข้างๆ ก็เตือนออกมาด้วยความระมัดระวังว่า “ท่านเจ้า….บางทีคนผู้นี้อาจจะ….อาจจะแข็งแกร่งเกินไปแล้ว แข็งแกร่งถึงขนาดที่ว่าแม้แต่ภูติผีก็ยังฟังคำบัญชาจากเขา…..”
“ท่านลองดูกลิ่นอายที่กำจายออกมาจากเขาสิ ราวกับว่าป่ายปีนขึ้นมาจากขุมนรกอย่างไรอย่าง
นั้น….”
ใช่แล้ว คนผู้นั้นดูเยือกเย็นและลึกลับเกินไปแล้ว เยือกเย็นเสียจนทำให้หัวใจผู้คนเหน็บหนาว
บางที่เขาอาจจะเป็นผู้ที่มาจากนรกตั้งแต่แรกแล้วก็เป็นได้กระมัง?
ซ่งชิงอีชะงักค้าง แม้แต่ขลุ่ยกระดูกในมือก็ยังตกลงไปบนพื้น
………………………..
ใต้แสงดาว ตู๋กูซิงหลันนั่งอยู่บนบ่าของเขา มองดูเหล่าผีกุ่ยหลัวซาที่คุกเข่าลงไป พลังวิญญาณที่รวมอยู่บนฝ่ามือก็ค่อยๆคืนกลับดังเดิม
บ่าของเขาให้ความรู้สึกที่ปลอดภัยและมั่งคง
นางสมควรจะคิดได้ตั้งแต่แรกแล้ว ว่าเรื่องนี้ไม่ถึงรอบให้นางได้ลงมือเสียด้วยซ้ำ
“เก่งสุดยอด!” ทันทีที่พลังวิญญาณบนฝ่ามือจางหายไป นางก็ปรบมือขึ้นมา ด้วยดวงตาเป็นประกาย
“เช่นนี้ก็ให้เจ้าเป็นฝ่ายคุ้มครองข้าดีกว่า…..ถึงแม้ว่าข้าจะเก่งมาก แต่ถ้าจะให้พวกมันทั้งหมดยอมก้มหัวคุกเข่าให้ข้า ก็ออกจะยากไปสักหน่อย”
อีกฝ่าย “…..”
ยังคงเย็นชา เงียบขรึม และคร้านจะสนใจนาง
ทั้งยังเบื่อหน่ายที่นางพูดมาก เขาทำท่าเหมือนอยากจะให้นางปิดปากเอาไว้
“ถ้าหากว่าเจ้าไม่เต็มใจ เช่นนี้พวกเราก็มาร่วมมือกันก็ได้ เหมือนกับเมื่อก่อน ไม่ว่าจะพบเจอกับอะไร ก็จะยืนหยัดร่วมกัน”
หาได้ยากนักที่ตู๋กูซิงหลันจะอารมณ์ดีถึงเพียงนี้
นางยังคงใช้มือข้างหนึ่งจับคางเอาไว้ ขณะนั่งอยู่บนบ่าของเขา ก็โน้มตัวลงไปดูเขาสักเล็กน้อย
ใต้แสงดาว มืออีกข้างของนางยื่นออกไป
ปลายนิ้วที่บอบบางนั้นสัมผัสกับหน้ากากครึ่งใบของเขาอย่างแผ่วเบาๆ ทำท่าจะปลดออกมาอย่างแม่นยำ
แต่ว่าเขาก็ไม่ได้ให้โอกาสนางเลยสักนิด
อืม….ก่อนที่นางจะชิงลงมือ คนผู้นั้นก็ปลดหน้ากากลงมาด้วยตนเอง
ทั่วร่างของเขากำจายหมอกสีดำราวน้ำหมึกเข้มข้นออกมา เหนือศีรษะมีแสงดาวทอประกายระยิบระยับ เบื้องหน้าคือเหล่าผีกุ่ยหลัวซาที่คุกเข่ารวมกันอย่างหนาแน่น
และบนพื้นดินคือดวงหน้าที่ตื่นตะลึงของศิษย์วังตันติ่งกง ไกลออกไปบนตึกสูงนั้น ก็คือซ่งชิงอีที่โกรธเคืองจนแทบลุกเป็นไฟแล้ว
ในสถานการณ์เช่นนี้ เขากลับปลดหน้ากากของตนเองลงมา
พิณโบราณที่เคยอยู่ตรงหน้าลอยกลับไปอยู่ที่บั้นเอวด้านหลัง
ใบหน้าหลังหน้ากากนั้น ยกขึ้นน้อยๆ เหลือบมองลงมาที่นางอย่างจับตาดูอยู่
นั่นเป็นดวงหน้าที่แสนจะงดงามจนไม่มีสิ่งใดจะเปรียบเทียบได้
ปราณีต สูงส่ง ราวกับว่าต่อให้รวบรวมความงดงามทั้งหมดในใต้หล้าเข้าไว้ด้วยกัน ก็ยังไม่อาจจะเอาชนะเขาได้แม้แต่น้อย
ตู๋กูซิงหลันกวาดตามองไป ก็ได้เห็นว่าดวงตาหงส์ที่งดงามคู่นั้น
คล้ายคลึงกับจีเฉวียน แต่ก็มีส่วนที่ไม่คล้ายอยู่ ดูจะเหมือนของท่านอาจารย์มากกว่า
ดวงตาของเขาดำลึกดุจน้ำหมึก ราวกับว่าเป็นที่สุดแห่งความมืดมิดในใต้หล้า เพียงมองดูแค่แวบเดียวก็ทำให้คนต้องตราตรึงไปตลอดกาล
ขอบตาเป็นสีแดง และแม้แต่หัวคิ้วที่โก่งงามนั้นก็ดูจะมีสีอมแดงอยู่ด้วย
ดวงหน้าหล่อเหลาอย่างยิ่ง แต่ก็เย็นชาอย่างที่สุดเหมือนดั่งมารน้ำแข็ง
หากก็น่าดูอย่างที่สุดด้วย
โฉมงามน้ำแข็งที่ทรงเสน่ห์ดุจภูติร้าย
นั่นคือขอสรุปแรกที่ตู๋กูซิงหลันมีให้
นี่มิใช่ใบหน้าของจีเฉวียน และไม่ใช่ใบหน้าของอาจารย์
แต่ก็คล้ายกับทั้งสองคนมากๆ
ตู๋กูซิงหลันบอกไม่ถูกว่าเหมือนกันที่ตรงไหน แต่ว่าช่างเหมือน
ชั่วขณะนั้น นางเกิดความรู้สึกว่า …..นี่คือการหลอมรวมกันของคนทั้งสอง
นางมองดูเขาอย่างลึกซึ้ง เนิ่นนาน
ส่วนเขาเองก็มองดูนางเช่นกัน ครู่หนึ่งริมฝีปากดุจกลีบบัวนั่นค่อยขยับน้อยๆ เอ่ยออกมาอย่างเย็นชาประโยคหนึ่ง “เจ้าจำคนผิดแล้ว”
จำคนผิด….แล้วจะอย่างไร
ดวงตาหงส์ของเขาไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆเลยแม้แต่น้อย
จนตู๋กูซิงหลันเกือบจะเชื่อแล้วว่า พวกเขาเป็นแค่เพียงคนผ่านทางที่ได้มาพบกันอย่างบังเอิญเท่านั้น
หัวใจของนางเต้นระทึก ดังตึกตักจนแทบจะกระดอนออกมา นางดึงมือของตนเองกลับมา กดลงไปบนหัวใจของตนเอง
“ข้าจำผิดไปจริงๆน่ะหรือ?”
นางถามออกไป
“คนอย่างข้าจะไม่พูดซ้ำเป็นหนที่สอง”
เขาเก็บสายตากลับไป ไม่มองดูนางอีกแม้แต่น้อย
ตู๋กูซิงหลันคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็สวนกลับไปว่า “แต่เมื่อครู่นี้เจ้าพึ่งบอกให้ข้านั่งลงให้ดีตั้งสองครั้ง”
อีกฝ่าย “……”
เขาไม่คิดจะพูดกับนาง เอาแต่หันท้ายทอยให้อย่างเย็นชาขั้นสุด
…………………