ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 547 คนหนึ่งชั่วร้ายเย็นชา คนหนึ่งยโสโอหัง
ตอนนี้นางแทบจะอยากจับเขากลับไปยัดใส่ห้อง แล้วทำการตรวจสอบดูโดยละเอียด ไหนเลยจะมีเวลามาสิ้นเปลืองไปพร้อมๆกับนาง
ขณะที่นางพูดออกไป เศษหมั่นโถที่มุมปากก็ร่วงลงมาเรื่อยๆ แถมยังมีเศษเล็กๆหล่นลงไปบนบ่าของเขาอีกด้วย
เขาเหลือบตามองดูเล็กน้อย ปลายนิ้วเรียวยาวกวาดผ่านเบาๆ ปัดเศษหมั่นโถที่ร่วงลงมาจากปากของนางออกไป
คิ้วที่โก่งยาวได้รูปของเขาขมวดขึ้นมา แววตาจากดวงตาหงส์เผยความเอือมระอาจางๆ
ที่เขาเอาหมั่นโถออกมา ก็เพื่ออุดปากนาง ไม่ใช่ให้นางกินจนหมด
เขาไม่เข้าใจเลยว่าสมองของสาวน้อยผู้นี้คิดอะไรอยู่
แต่พอมองเห็นว่ามุมปากของนางเปรอะเปื้อน ก็ต้องอดใจไม่ไหว จำต้องยื่นมือได้รูปเหมือนชิ้นหยกที่เย็นฉ่ำไปที่มุมปากของนาง เช็ดเศษหมั่นโถเหล่านั้นออกไป
เช็ดจนสะอาดเกลี้ยงเกลา
ตู๋กูซิงหลันได้แต่จ้องมองดูเขา รูปโฉมของเขางามน่ามองมากจริงๆ เป็นความงามจากภายในสะท้อนสู่ภายนอก และจากภายนอกเข้าไปถึงภายใน
นางคิดถึงปัญหาขึ้นมาได้ข้อหนึ่ง ทั้งอาจารย์และจีเฉวียนต่างก็เป็นโรคบ้าความสะอาด
ดูท่าเขา….ก็คงจะบ้าความสะอาดด้วยเช่นกัน
มิเช่นนั้นจะมาเช็ดปากให้นางต่อหน้าผู้คนเช่นนี้หรือ?
เนื่องเพราะดวงตาหงส์คู่นั้น ตู๋กูซิงหลันจึงรู้สึกว่าเขาดูคล้ายกับเสี่ยวเฉวียนเฉวียนมากกว่า นางยอมรับก็ได้ว่า เมื่อครู่นี้ นางถึงกับติดเบ็ดเข้าแล้ว
ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่กับเสี่ยวเฉวียนเฉวียน ยังไม่ทันได้มีเวลาไปกระทำเรื่องมากมายที่ชายหนุ่มหญิงสาวมักทำให้แก่กัน….
ใบหน้าขาวสะอาดเกลี้ยงเกลาประดุจหยก ดูเหมือนจะมีสีแดงอ่อนๆซับขึ้นมาอยู่จางๆ
นางยังคงไม่กล้าละสายตา มือข้างหนึ่งยื่นออกไปกระตุกเสื้อผ้าของเขา “ตอนนี้เจ้าอยู่ที่ไหน ชื่ออะไร ข้าจะตามเจ้ากลับบ้านไป พวกเราไปพูดคุยกัน”
พอพูดออกไป ก็รู้สึกว่าตนเองช่างโง่งมนัก….
เมื่อครู่ซ่งชิงอีพึ่งจะเรียกเขาออกมาแล้วนิ—เจ้าสำนักหยินหยาง
มุมปากของนางคลี่ยิ้มหวานออกมาอีกครั้ง “ข้าจะตามเจ้ากลับไปสำนักหยินหยาง”
สายลมพัดจนเส้นผมที่เกล้าสูงเป็นทรงหางม้าของนางปลิวกระจาย ภายใต้แสงดาวกระพริบ ดวงหน้าที่แดงระเรื่องของสาวน้อยคล้ายจะมีแสงสว่างเรืองรองอาบไล้บางๆชั้นหนึ่ง ช่างน่าชมอย่างยิ่ง
ดั่งเสน่ห์ของสายลมในฤดูใบไม้ผลิที่ทำให้ผู้คนหลงใหลเคลิบเคลิ้ม
รอบกายของเขายังคงมีแต่เหล่าผีกุ่ยหลัวซาและวิญญาณแค้นทั่ววังตันติ่งกงอยู่เลย สายลมเย็นยะเยือกก็พัดโดยไม่หยุดนิ่ง แต่ว่าบนใบหน้าของนางกลับมีแก้มพองๆสีแดง
ซ่งชิงอีโกรธจนกระอักเลือด นางแอบหลงรักคนผู้นั้นอยู่ แต่ว่าตอนนี้อยู่ๆก็ถูกเจ้าเดรัจฉานน้อยที่มาจากไหนก็ไม่รู้บุกมาหยามถึงวังตันติ่งกงของนาง เช่นนี้นางจะทนได้อย่างไร?
คราวนี้แม้แต่ฝูลั่วก็ไม่อาจรั้งนางได้อีกต่อไป ใต้แสงจันทร์จางๆ เห็นนางทะยานออกไปจากตึกสูง เหาะไปยังทิศทางที่คนผู้นั้นอยู่ด้วยท่วงท่าราวเซียนจากสรวงสวรรค์
ในมือของนางยังคงถือขลุ่ยกระดูกเลานั้นเอาไว้ ไม่รอให้นางเข้าใกล้คนผู้นั้น เหล่าวิญญาณแค้นก็พากันพุ่งเข้ามาสกัดนางเอาไว้ ถึงแม้ว่าบนร่างของวิญญาณแค้นเหล่านั้นจะมีอักขระสีทองส่งวิญญาณของเขาห่อหุ้มอยู่ แต่เพราะความเกลียดชังซ่งชิงอีอย่างท่วมท้น จึงอดกลั้นไม่อยู่จนต้องพุ่งเข้าไป
หากไม่ใช่เพราะว่านางมีขลุ่ยกระดูกเลานั้นอยู่ในมือ ทำให้เหล่าวิญญาณแค้นกริ่งเกรง น่ากลัวว่าป่านนี้ก็คงจะกลุ้มรุมกันเข้าไปฉีกทึ้งนางออกเป็นแปดชิ้นไปนานแล้ว
นางเองก็ไม่หวาดกลัว จรดขลุ่ยกระดูกบนริมผีปาก เป่าเสียงที่ยากจะรับฟังเหล่านั้นออกมาอีก
แม้ว่าตอนนี้เสียงขลุ่ยกระดูกของนางจะไม่อาจควบคุมพวกมันได้อีก แต่ก็สามารถทำให้พวกมันกริ่งเกรงจนไม่อาจทำอะไรกับนางได้
ดังนั้นนางจึงยังสามารถเหาะไปถึงข้างกายคนผู้นั้นได้อยู่ดี
นี่เป็นครั้งที่สองที่นางได้มองดูเขาใกล้ๆเช่นนี้ บุรุษผู้นี้เป็นเหมือนสมบัติล้ำค่า ทำให้คนอยากจะจับเขากลับไปเก็บซ่อนเอาไว้ ชื่นชมแต่เพียงผู้เดียวไปชั่วชีวิต
ในใจซ่งชิงอีบังเกิดความยินดี แต่ภายนอกกลับทำเป็นสงวนท่าทีเอาไว้
นางเก็บงำประกายในดวงตา คำนับเขากลางอากาศครั้งหนึ่ง “เจ้าสำนักหยินหยาง ไม่พบกันนาน”
นางทำเหมือนตู๋กูซิงหลันเป็นเพียงอากาศที่ว่างเปล่า
เขาไม่ได้สนใจนาง ขณะที่ปลายนิ้วกำลังจะขยับ ก็ได้ยินซ่งชิงอีเอ่ยออกมาอย่างรีบร้อนว่า “ระหว่างพวกเราใช่มีอะไรเข้าใจผิดกันหรือไม่? ในดินแดนจิ่วโจว มีสหายมากขึ้นคนหนึ่งย่อมดีกว่ามีศัตรูเพิ่มอีกคนหนึ่ง หรือไม่จริง?”
นางออกจะเกริ่งเกรงการดีดพิณของเขาอยู่บ้าง เพราะครั้งก่อนที่นางไปเยี่ยมคาราวะที่สำนักหยินหยาง ยังไม่ทันได้พบหน้าคนก็ถูกเสียงพิณของเขากวาดออกนอกประตูไปแล้ว
วันนี้นางอยู่ในถิ่นของตนเอง ต่อหน้าลูกศิษย์และผู้อาวุโสจำนวนมาก ย่อมไม่อาจถูกเขา…..
หากว่าเล่าลือกันออกไปย่อมกลายเป็นที่ขบขันไปทั่วทั้งแผ่นดิน
นางไม่มีทางยอมเสียหน้าถึงเพียงนั้นอย่างเด็ดขาด
ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบนาง นางก็เอ่ยต่อไปอีกว่า “ที่จริงแล้วข้าคิดจะหาโอกาสอันเหมาะสมเพื่อสนทนากับท่านมาโดยตลอด ท่านเองก็ทราบดีว่า วังตันติ่งกงของข้า ไม่มีสิ่งใด มีเพียงยาตันจำนวนมาก…..”
“ตอนนี้จิ่วโจวมีแต่ความวุ่นวาย มีสายตามากน้อยเพียงใดจับจ้องไปที่ท่านเพ่งเล็งไปที่สำนักหยินหยาง หากว่าท่านได้รับการสนับสนุนจากวังตันติ่งกงของข้า ดูแล้วแม้แต่ตำหนักซิวหลัวเตี้ยนก็คงจะไม่กล้าทำสิ่งใดกับท่านเป็นแน่”
ซ่งชิงอีกล่าวออกมาอย่างมั่นอกมั่นใจ เรื่องการหลอมปรุงยาตันของตนเอง นางมีความเชื่อมั่นถึงสิบส่วน
ในดินแดนจิ่วโจวคนที่คิดจะดึงนางไปเป็นพวกมีอยู่มากมาย แต่นางไม่สนใจแม้แต่น้อย ตอนนี้นางเป็นฝ่ายเสนอตัวให้เขา เขาย่อมไม่มีความจำเป็นใดจะต้องปฏิเสธ
เพราะว่า…..นางเองก็ไม่เคยกระทำเรื่องใดผิดใจกับเขามาก่อน ที่เขาเข้าชิงชัยในสุดยอดการประลอง ก็เพื่อจะได้มาซึ่งตำแหน่งและอำนาจไม่ใช่หรือ?
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ย่อมต้องไม่มีเหตุผลใดมาปฏิเสธตนเองอย่างแน่นอน
ตู๋กูซิงหลันชมดูอยู่ด้านข้าง ซ่งชิงอีอยู่ใกล้ถึงเพียงนี้ นางย่อมสามารถมองดูได้อย่างละเอียด
ก่อนหน้านี้ได้เห็นแค่เพียงขอบหน้าด้านข้างแต่ไกล ย่อมไม่ชัดเจนเหมือนตอนนี้ที่ได้เห็นใกล้ๆ
หากจะบอกว่าซ่งชิงอีกับซ่งเจียงเสวียไม่ได้มีความเกี่ยวพันกันทางสายเลือด ตนต้องไม่เชื่ออย่างแน่นอน
คนทั้งสองคล้ายคลึงกันอยู่หลายส่วน เพียงแต่ซ่งชิงอีดูสง่างามกว่าเล็กน้อย กลิ่นอายบนร่างก็แตกต่างจากซ่งเจียงเสวีย
นางหรี่ตามองดู ในดวงตาทอประกายอย่างเงียบๆ
“ข้าบอกแล้ว…..ว่าเจ้าอย่าได้พูดพล่าม ไม่เข้าใจหรือ?” ตู๋กูซิงหลันไม่คิดจะฟังนางกล่าวพร่ำเพรื่ออีกต่อไป
นางคว้าแขนเสื้อของคนผู้นั้นขึ้นมากำเอาไว้ ด้วยท่าทางไม่พอใจอย่างชัดเจน
“ข้าผู้เป็นเจ้าวังกำลังพูด เดรัจฉานน้อยอย่างเจ้าสอดปากได้อย่างไร?” ซ่งชิงอีก็อยากจะต่อยนางสักชุดเช่นกัน
ว่าตามจริงแล้ว เจ้าสำนักหยินหยางนั้นงดงาม ส่วนเจ้าเดรัจฉานน้อยนั่นก็มิได้ย่ำแย่
พอสองคนนี้อยู่เคียงข้างกัน กลายเป็นความลงตัวอย่างอธิบายไม่ถูก
คนหนึ่งชั่วร้ายเย็นชา คนหนึ่งยโสโอหัง
ตู๋กูซิงหลันยังไม่ได้ลงมือ แขนเสื้อของซ่งชิงอีก็ขยับก่อน เข็มพิษที่เบาบางจำนวนนับไม่ถ้วนบินออกไป
ในดินแดนจิ่วโจวนี้นางคือสุดยอดปรามาจารย์หลอมปรุงยาตัน ในเมื่อแตกฉานจนสามารถปรุงยาต่างๆได้ดังใจ ย่อมต้องสามารถปรุงยาพิษได้ด้วย
ใช้พิษเล่นงานคน เป็นเรื่องที่นางถนัดอยู่แล้ว
เข็มพิษนี้ ขอเพียงสัมผัสกับผิวหนังนิดเดียวพิษก็จะกระจายไปทั่วร่าง จนทำให้คนเลือดออกเจ็ดทวารตกตายอย่างอนาถ
การตายเช่นนี้ต้องถือว่าให้ความสบายกับเจ้าเดรัจฉานน้อยมากแล้ว
เข็มพิษของนางพึ่งจะบินออกไป ตู๋กูซิงหลันก็ยิ้มเย็นชาออกมา ทั่วร่างของนางปรากฏพลังวิญญาณสีดำขุมหนึ่ง
พลังวิญญาณของนางกับคนผู้นั้นหลอมรวมกลายเป็นเกราะที่ไร้สภาพ สกัดกั้นเข็มพิษเหล่านั้นเอาไว้ด้านนอก
ทันทีที่ฝ่ามือเคลื่อนไหว พลังวิญญาณสีดำก็พวยพุ่งออกมา ผลักเข็มพิษเหล่านั้นกลับไป
……………………………