ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 559 ท่านอาจารย์ต้าฉุย
ดวงตาหงส์คู่นั้นเหมือนจะมองทะลุเข้าไปในหัวใจของตู๋กูซิงหลัน
นางเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น อยู่ๆในสมองถึงได้ผุดภาพของจีเฉวียนขึ้นมา
หัวใจของนางก็พลอยเต้นดังตึกตักๆอย่างรุนแรง
หรือจะเป็นเพราะว่าเมาน้ำชาถ้วยนั้นเสียแล้ว…..
เนิ่นนานกว่าครึ่งวันนางถึงสามารถถอนสายตาออกมาได้ นางยังไม่ทันได้กระพริบตา ท่านเจ้าสำนักก็ยื่นมือออกมา ประคองใบหน้าของนางเอาไว้ จับศีรษะตั้งตรง
บังคับให้นางเผชิญหน้ากับเขาอย่างตรงๆ
“ลูกศิษย์ตั้งชื่อให้กับอาจารย์ ก็ไม่มีอะไรผิดสักหน่อย เจ้ากลัวอะไรอยู่หรือ?”
สองมือของเขาประคองใบหน้าของนางเอาไว้
ใบหน้าของศิษย์น้อยอ่อนนุ่ม และลื่นละมุน ให้สัมผัสที่ดีอย่างยิ่ง พอจับเอาไว้ในมือก็เกิดความรู้สึกนุ่มลื่น อยากจะเพิ่มแรงบีบลงมาจนทนไม่ไหว
แต่ก็เกรงว่าจะทำให้นางเจ็บปวด จึงได้แต่ฝืนเอาไว้
กลัวเจ้าที่ไหนกัน!
ตู๋กูซิงหลันเองก็มิได้คิดจะหลบหลีก เพียงจ้องมองเขากลับไปตรงๆ พอเก็บอารมณ์ได้แล้ว แววตาของนางก็เพิ่มความเจ้าเล่ห์กว่าเดิม หากแต่สีหน้าของนางยังคงทำเป็นจริงจัง “ข้าคิดว่า ชื่อต้าฉุย(ค้อนยักษ์) นี้ดีมากเลย”
ในสมองของท่านเจ้าสำนักพลันปรากฏรูปค้อนด้ามยักษ์ที่ใหญ่กว่าภูเขาขึ้นมาด้ามหนึ่ง
บันทึกโบราณบอกเอาไว้ว่า ในยุคบรรพกาลอาวุธของเทพแห่งสายฟ้านั้นก็คือค้อนใหญ่ยักษ์ด้ามหนึ่ง ทุบลงมาแต่ละครั้งก็จะเกิดสายฟ้านับหมื่นสาย สั่นสะเทือนเลื่อนลั่น
คิดดูแล้วศิษย์น้อยช่างมีความสามารถในการตั้งชื่อ คงจะต้องครุ่นคิดแทนเขามาอย่างละเอียดจึงได้มอบชื่อนี้ให้แก่เขา
ดังนั้นท่านเจ้าสำนักจึงรับไว้อย่างเต็มใจ
“ชื่อนี้ดีมาก นับจากวันนี้ไปข้ามีนามว่า ต้าฉุย เจ้าจงเรียกข้าว่าท่านอาจารย์ต้าฉุย”
เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งก็รู้สึกว่าเรียกแบบนี้ไม่สะดวกปากอยู่บ้าง จึงเอ่ยอีกว่า “จะเรียกสั้นๆว่า ฉุยซือ (อาจารย์ฉุย) ก็ได้”
ตู๋กูซิงหลัน “……” ฉุยซืออะไรกัน เจ้าก็กล้าพูดออกมา ข้ากลับไม่กล้าเรียก
นางก็แค่กระพริบตาตั้งชื่อมั่วๆขึ้นมา แค่คิดจะล้อเลียนเขาเล่นๆเท่านั้น ไม่คิดเลยว่าจะเอาจริงหรือ?
ยังชมว่าดี? ขอถามหน่อยว่าดีที่ตรงไหน? ค้อนด้ามใหญ่ก็คือดีแล้วเนี่ยนะ?
ตู๋กูซิงหลันคิดๆไป อยู่ๆก็พลันหน้าแดงขึ้นมา….
นางชักจะพอรู้แล้วว่า ที่ว่า ‘ดีมาก’ ของท่านเจ้าสำนักนั้น มันคือดีที่ตรงไหน
เจ้าบุรุษลามก!
ภายนอกทำเป็นถือศีลกินเจ งดเว้นใดๆอย่างเข้มงวด แต่ว่าในใจกลับคิดเลอะเทอะลามกสกปรก!
คราวนี้แววตาที่นางมองไปยังท่านเจ้าสำนักจึงปรากฏแววขุ่นเคืองขึ้นมาจางๆ
ตัวลามก!
ท่านเจ้าสำนักกลับเข้าใจไปว่านั่นเป็นแววตาอันแสนจะเคารพเทิดทูน ในใจจึงยิ่งเกิดความภาคภูมิใจต่อชื่อนี้อย่างเต็มเปี่ยม
เพียงแต่ว่าแผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาล ยังไม่เคยได้เจอคนใช้แซ่ต้ามาก่อนเลย
เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็เอ่ยว่า “ในเมื่อเจ้าเป็นศิษย์ของข้า ข้าก็จะใช้แซ่ตามเจ้า ต่อไปให้เรียกว่า ตู๋กูต้าฉุย แต่กับคนนอกเรียกว่าเยี่ยต้าฉุย”
ตู๋กูซิงหลัน “…..” ขอร้องเถอะเจ้าอย่ามาใช้แซ่เดียวกับข้าจะได้ไหม แบบนี้ตระกูลตู๋กู กับตระกูลเยี่ยของพวกเรา ถือว่าถูกบีบคั้น จริงๆนะ
แต่ว่าคำพูดนี้นางย่อมไม่กล้าพูดออกมาจริงๆ
กับความคิดที่วกวนอยู่ในสมองของท่านเจ้าสำนักแล้ว นางไม่ค่อยจะเข้าใจที่มาที่ไปอะไรนัก
คนทั้งสองเหมือนตกอยู่ในภวังค์ของความเงียบงัน บรรยากาศจึงดูน่าขัดเขินขึ้นมา
ตู๋กูซิงหลันชักจะนั่งนิ่งๆไม่ได้อีกต่อไป แต่ในตอนนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูเบาๆ
นางหันไปมองทางประตูบานใหญ่ ก็เห็นว่าไม่มีเงาคนเลยสักคน
แต่กลับมีกลิ่นหอมของขาหมูฟุ้งกระจายไปทั่ว ทั้งยังมีแพะย่างทั้งตัวส่งเข้ามา!
ในใจของนางตกตะลึงขึ้นมา!
ภาพตรงหน้าช่างประหลาดเกินไปแล้ว
ใครจะสามารถจินตนาการภาพเช่นนี้ได้บ้าง?
ขาหมูเดินลอยมาในอากาศ แพะย่างทั้งตัวที่ตายไปแล้วก็เดินส่ายสะโพกเข้ามาอย่างช้าๆ แถมบนน่องใหญ่ๆของมันยังมีน้ำมันไหลเยิ้ม…..
ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ที่ด้านหลังของพวกมัน ยังมีไก่ย่างทั้งตัว
ผิวภายนอกของไก่ย่างตัวนั้นดูทั้งเหลืองและกรอบน่ากิน แม้ว่าหัวจะถูกหักไปร้อยแปดสิบองศาไปแล้ว แต่ก็ยังเดินพริ้วเข้ามาราวกับกำลังเต้นระบำ
จากนั้นทั้งขาหมู แพะย่าง ไก่ย่าง…..ก็มารวมกันอยู่บนโต๊ะเตี้ยตรงหน้าของพวกนางอย่างพร้อมเพรียง
สุดท้ายประตูที่สร้างจากหยกบานใหญ่ก็ปิดลงด้วยตนเอง
หากมิใช่เพราะว่าตู๋กูซิงหลันคือปรมาจารย์นักพรต ที่เห็นเรื่องผีสางมานานจนคุ้นชินแล้ว นางคงจะต้องคิดไปว่า ในห้องนี้มีผีอย่างแน่นอน
ตอนนี้พอมองดูเนื้อที่วางอยู่จนเต็มโต๊ะ …..และคิดไปถึงภาพที่พึ่งจะได้เห็นเมื่อครู่ ตู๋กูซิงหลันก็ชักจะรู้สึกว่าเนื้อเหล่านี้ไม่ค่อยจะน่ากินสักเท่าไหร่แล้ว
เหมือนกับว่าอยู่ๆความอยากอาหารก็พลันหายไป
เมื่อครู่นี้….ไม่ใช่หนังผีสยองขวัญใช่หรือไม่?
“ท่านเจ้าสำนัก…. หากว่าข้าไม่ได้เข้าใจผิดล่ะก็ พวกเรากำลังตาฝาดจนเห็นเป็นภาพหลอนผุดซ้อนๆกันหรือเปล่า……”
ตู๋กูซิงหลันจับท้องของตัวเองเอาไว้ พยายามฝืนความรู้สึกแปลกๆที่บรรยายไม่ถูกที่กำลังตีขึ้นมา
“เรียกฉุยซือ”
ตู๋กูซิงหลัน “……..”
“ยังมี ภาพหลอนที่ว่านั่นคืออะไร? ตกลงมีกี่ภาพกันแน่? หนึ่งภาพ สองภาพ ผุดขึ้นมาทำอะไรได้?”
ในตอนนี้สมองของตู๋กูซิงหลันเต็มไปด้วยเสียงของท่านเจ้าสำนักที่ว่า ‘ภาพหลอนผุดขึ้นมา ผุดขึ้นมา…..’
“ภาพหลอนคือสิ่งใด….. ที่นี่คือโลกของผู้ฝึกตนเป็นเซียน การฝึกฝนบำเพ็ญเพียร มีขั้นตอน มีต้นมีปลาย ดำเนินไปทีละก้าว ต้องฝ่าฟันความยากลำบากไปเพียงลำพัง อย่าได้สับสนหรือว้าวุ่นไปเอง”
ตู๋กูซิงหลันได้แต่เม้มปากเอาไว้ คำถามที่ไม่ควรไต่ถามเหล่านี้เมื่อเอามาถามท่านเจ้าสำนัก ก็เหมือนเอาอิฐมาทุบหัวตนเอง
เขาพูดพลาง ก็เริ่มขยับตะเกียบในมือ คีบขาหมูชิ้นหนึ่งวางลงในชามของนาง “กินข้าวเถอะ”
ตู๋กูซิงหลันหมดความอยากอาหาร นางแค่อยากจะดื่มชาอู้เต้าสักสองชามใหญ่เท่านั้น
“ไม่ชอบกินหรือ?” ตั้งแต่ที่ท่านเจ้าสำนักมาถึงเหลาจุ้ยเซียนจู ก็พูดมากขึ้นเรื่อยๆ
ศิษย์น้อยมีนิสัยแปลกประหลาด ชอบกล่าววาจาไร้สาระ จนคนสับสนจับต้นชนปลายไม่ถูก
แต่ว่านี่ไม่เป็นไร…..ในเมื่อเป็นศิษย์ของตนเอง จะมีข้อตำหนิบ้างก็มิใช่ปัญหา
คนเป็นอาจารย์ ก็เหมือนเป็นบิดา ต้องเปิดใจให้กว้าง ให้อภัยมากๆหน่อย
ดังนั้นท่านอาจารย์ต้าฉุยจึงผุดรอยยิ้มอันหาได้ยากยิ่งขึ้นมา ทั้งล้วงเอามีดเล่มเล็กในอกเสื้อออกมาด้วย
พอเขายิ้ม ตู๋กูซิงหลันก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาในทันที เกือบจะวิญญาณหลุดออกจากร่าง
จะว่าอย่างไรดี…..คนผู้นี้งดงามอย่างร้ายกาจ ยามปกติก็ทำหน้าตายอยู่ตลอด มองนานเข้าก็นับว่ารับได้อยู่
แต่พออยู่ๆยิ้มขึ้นมา ประกอบกับแสงสลัวของเทียนภายในห้อง และแสงรำไรที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่าง ก็ให้ความรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังเจอกับ….คนบ้าโรคจิต
ท่านอาจารย์ต้าฉุยล้วงเอามีดเล่มเล็กออกมาจากในอกเสื้อ มันสะท้อนกับแสงเทียนจนส่องประกายคมวาบขึ้นมา
ขณะเดียวกับรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาอยู่ๆก็ดูลึกลับกว่าเดิม
ตู๋กูซิงหลันอดจะหวาดกลัวไม่ได้จนต้องกลืนน้ำลายลงไปอึกหนึ่ง นางยื่นมือไปลูบศีรษะของตนเอง อยู่ๆก็รู้สึกขึ้นมาว่าศีรษะไม่ค่อยจะมั่นคงสักเท่าไหร่
ขณะที่มีดของอาจารย์ต้าฉุยยังไม่ทันเข้ามาใกล้ นางก็รีบยื่นมือไปคว้าน่องไก่ย่างมาข้างหนึ่ง ยัดใส่ในปากอย่างรวดเร็ว
“ฉุยซือ……ไก่ย่างนี่หอมมากเลย เจ้าเอาสักน่องหนึ่งไหม?”
น่องไก่หอมหรือไม่ นางก็ไม่ค่อยรู้เรื่องหรอก
นางรู้แต่ว่าเวลาท่านเจ้าสำนักทำตัวโรคจิตขึ้นมา ก็ทำเอาคนหัวใจกระดอนออกมาได้เหมือนกัน
อย่าหาว่านางปอดแหก…..นี่มันเรื่องจริง
ตู๋กูซิงหลันรู้ว่าตนเองมีความสามารถ แต่ก็ใช่ว่านางจะเอาชนะท่านเจ้าสำนักได้
ยิ่งไปกว่านั้น ในใต้หล้านี้ มิว่าผู้ใดที่ได้เห็นรอยยิ้มเช่นนั้นของท่านอาจารย์ต้าฉุย เกรงว่าคงต้องขนหัวลุกด้วยกันทั้งนั้นแหล่ะ?
อาจารย์ต้าฉุยออกจะงุนงงอยู่บ้าง….
ทำไมอยู่ๆศิษย์น้อยถึงได้เปลี่ยนเป็นเชื่อฟังขึ้นมา?
มีดในมือของเขาตวัดผ่านน่องของแพะที่ย่างมาทั้งตัว เพียงพริบตาก็แล่เนื้อหลายชิ้นออกมา วางลงบนจานส่งให้ศิษย์น้อย “อาจารย์ถือศีลอด ทั้งหมดนี้ให้เจ้ากิน”
……………………………