ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 570 ศิษย์น้อยงดงามต้องตาที่สุดแล้ว
เมื่อครู่เป็นเพราะว่าเขาประมาทจนเกินไป เกือบจะโดนหมัดของมันเข้าแล้ว
คนผู้นี้มีพละกำลังเหลือล้น ไม่ควรต่อสู้กับเขาในระยะประชิด
ลำคอของเขาแทบจะบิดกลับไปอีกด้านหนึ่ง ขณะที่หันศีรษะไปนั้นเส้นสีแดงบนลำคอก็เคลื่อนตามไปด้วย
แม้แต่ผิวหนังก็ถูกลากตามไป กลายเป็นภาพที่หน้าหวาดผวา
เขานำลูกแก้วโลกาวินาศลูกนั้นมาไว้กลางอกอีกครั้ง
ริมฝีปากก็ท่องคาถาออกมาอีกครั้ง ขณะที่เขาท่องคาถาออกไป ลูกแก้วสีดำที่เดิมทีใหญ่เท่าใบหน้าก็ขยายออกจนกินพื้นที่เกือบครึ่งห้องในชั่วเวลาเพียงสั้นๆ
ลูกแก้วสีดำใบใหญ่นี้ ดูเหมือนโลกที่มีแต่ความมืดมิดไร้แสงสว่างใดๆใบหนึ่ง
พอมันขยายตัวออกมา แม้แต่ห้องหลังนี้ก็แทบจะถูกกลืนกินลงไปด้วย
ทั่วทั้งห้องส่งเสียงสะเทือนเลื่อนลั่น ห้องที่สร้างจากไม้วัชระทั้งหลัง ยังไม่อาจต้านทานแรงดึงดูดของสิ่งนี้ได้ เพียงครู่เดียวก็ถูกมันดึงดูดเข้าไปแล้วกว่าครึ่งห้อง แม้แต่พื้นไม้ที่เท้าก็ยังหลุดลอยออกมา
ราวกับถูกมือที่มีพละกำลังข้างหนึ่งฉีกออกจนกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ลอยเข้าไปในหลุมมืดสีดำสนิท
แรงดึงดูดนั่นคืบคลานไปจนครอบคลุมถึงกระถางติ่งยักษ์ของตู๋กูซิงหลัน
แม้กระถางยักษ์จะยังคงสงบนิ่งไปขยับเขยื้อน แต่ว่าพื้นไม้โดยรอบกลับหลุดลอกออกไปจนหมดแล้ว นอกจากจุดที่ถูกกระถางติ่งครอบเอาไว้ พื้นที่โดยรอบก็ไม่มีอะไรเหลืออยู่อีกต่อไป
จากนั้น กระถางติ่งใบยักษ์ก็ร่วงลงไปจากห้องที่พังทลายอย่างรวดเร็ว
เจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนคว้าจุดอ่อนของท่านเจ้าสำนักได้แล้ว ก็ไม่คิดจะเผชิญหน้ากับเขาตรงๆอีกต่อไป แต่หันไปเล่นงานตู๋กูซิงหลันแทน
ใครๆก็รู้ว่า เพื่อเจ้าศิษย์ใหม่ผู้นี้ เจ้าสำนักหยินหยางถึงกลับกล้าเป็นปรปักษ์กับดินแดนจิ่วโจวทั้งหมดโดยไม่เสียดาย
เขาอาจจะแข็งแกร่ง แต่ว่าทันทีที่เขามีจุดอ่อน เขาก็มิใช่ผู้ที่เอาชนะไม่ได้อีกต่อไป
เจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนตะโกนออกมา ผลักลูกแก้วสีดำนั้นเข้าใส่กระถางติ่ง
ท่านเจ้าสำนักก็ไล่ตามไปโดยไม่แม้แต่จะคิด
เส้นผมสีดำบนศีรษะพลิ้วไปด้านหลัง แม้แต่เสื้อผ้าก็ถูกลูกแก้วสีดำนั้นฉุดกระชากจนหลวมคลาย
แขนเสื้อข้างขวาถูกกระชากออกจนขาดไปแล้ว เผยให้เห็นท่อนแขนและหัวไหล่
ด้านในกระถางติ่ง ตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่าตนเองสูญเสียการควบคุม นางซัดผ่ามืออกไปอีกหลายครั้ง แต่ว่ากระถางติ่งยักษ์ก็ไม่ยอมขยับแม้แต่น้อย
กระถางติ่งใบนี้แข็งแกร่งอย่างยิ่ง สะกัดกั้นทุกสิ่งที่ภายนอกออกไป แม้แต่เสียงก็ยังไม่ได้ยิน
พื้นไม้ใต้ฝ่าเท้าเหมือนถูกกาวที่เหนียวและแข็งแรงเชื่อมเอาไว้ ปิดจนแน่นสนิท
นางจึงกระทืบลงไปบนพื้นอย่างแรงอีกครั้งพื้นที่โดยรอบไม่แตกหัก แต่ว่าตรงกลางกลายเป็นหลุมเล็กๆ ตู๋กูซิงหลันก็คว้าโอกาสนี้กระทืบเท้าตามลงไปอีก จนหลุมเล็กขยายออกเป็นรูใหญ่
ทันใดนั้น สายลมที่รุนแรงก็พัดสวนเข้ามาในรูแตก นางจึงรีบ แทรกตัวออกไปตามรอยแตก
ทันทีที่ก้าวเท้าออกมา ก็ถูกแรงดึงดูมหาศาลสูบไว้จากเหนือศีรษะ
พลังที่มหาศาลนั้นราวกับใช้คนหนุ่มฉกรรจ์ฉุดกระชากนางทั้งแขนขา คิดจะฉีกนางออกเป็นสี่ห้าส่วน
นางขับพลังวิญญาณในร่างออกมา สร้างเป็นเกราะป้องกันชั้นหนึ่ง
มืออีกข้างก็ขับพลังวิญญาณออกจากใจกลางฝ่ามือ กลายเป็นคฑาไม้สีดำทะมึนด้ามหนึ่ง
เส้นผมสีดำประกายเงินของนางกำจายออกไป ร่างเหาะอยู่กลางอากาศ
เนื่องเพราะแรงดึงดูดของลูกแก้วโลกาวินาศรุนแรงอย่างยิ่ง กลีบดอกไห่ถางจากบนทั่วทั้งเกาะจึงถูกดูดจนลอยขึ้นฟ้าไป
กลีบดอกไม้สีแดงมากมายพลิ้วผ่านด้านหลังของนางออกไป ราวกับว่ามันโบยบินออกมาจากตัวนาง
กลายเป็นภาพที่งดงามจนน่าตื่นตะลึง ทำให้ผู้คนไม่อยากจะเชื่อว่าเป็นจริง
แรงดึงดูดที่มหาศาลนั้นยังดูดเอาเครื่องแปลงโฉมบนใบหน้าของนางหลุดลอกออกไป
ถึงจะถูกเส้นผมปกคลุมเอาไว้กว่าครึ่ง แต่รูปโฉมที่งามล้ำของสาวน้อยผู้หนึ่งค่อยปรากฏขึ้นมาทีละน้อย
เจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนเคลื่อนกายอย่างรวดเร็ว ทั่วทั้งร่างของเขาปกคลุมไปด้วยหมอกสีดำ เสมือนดั่งปีศาจร้ายที่น่าเกลียดน่ากลัวตนหนึ่ง ผลักดันลูกแก้วโลกาวินาศเข้าหานาง
แต่พอเข้าไปได้ใกล้จนได้เห็นโฉมหน้าหลังเส้นผมยาวสลวยนั่น เขาก็ต้องตกตะลึงไป
เป็นนาง?
ตอนแรก……เขายังมองไม่ออก!
และเพราะชะงักงันไปเพียงชั่วครู่ ท่านเจ้าสำนักก็เหาะไปจนถึงข้างกายตู๋กูซิงหลันแล้ว มือข้างหนึ่งคว้าเอวของนางเอาไว้อย่างรวดเร็ว มืออีกข้างโบกสะบัดออกไป กระถางติ่งยักษ์ที่ใกล้จะหล่นถึงพื้นก็หดเล็กลงเท่ากำมือลอยขึ้นจากด้านล่างกลับเข้าสู่ฝ่ามือของเขาอีกครั้ง
ในอากาศไม่มีสิ่งใดเกื้อหนุน แต่อาศัยเพียงพลังที่แข็งแกร่งของเขาเองหนุนนำ ก็สามารถลอยตัวอยู่กลางอากาศได้อย่างมั่นคงแล้ว
ชั่วขณะที่คว้าร่างของลูกศิษย์ตัวน้อยเอาไว้ได้ จิตใจของเขาถึงพอจะสงบลงได้บ้าง
มือใหญ่ที่คว้าเอาไว้อดไม่ได้ที่จะเกาะกุมให้แนบแน่นกว่าเดิมขึ้นไปอีก ราวกับว่าเมื่อครู่เกือบจะทำศิษย์ตัวน้อยหลุดลอยไปแล้ว
พอก้มหน้าลงไปมอง ก็เห็นโฉมหน้าที่งดงามล้ำโลกของสาวน้อย ทำเอาหัวใจของเขากระตุกไปวูบหนึ่ง
ถึงแม้จะรู้มานานแล้วว่า ศิษย์น้อยคือฮ่องเต้หญิงของแผ่นดินโบราณ…..
แต่ว่าตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ ตู๋กูซิงหลันก็ไม่เคยเผยโฉมหน้าที่แท้จริงให้เขาได้เห็นมาก่อนเลย
ถึงแม้ว่าหลังจากที่แปลงโฉมแล้วจะมีความละม้ายคล้ายคลึง…..แต่ว่ารูปโฉมที่แท้จริงของนางย่อมผุดผาดงดงามกว่ามากนัก
ก่อนหน้านี้เนิ่นนาน เขาเคยได้เห็นภาพเหมือนของนาง…..ภาพเหมือนที่นางสวมใส่ชุดสีแดงตลอดร่าง ดวงตาและหัวคิ้วที่เย็นชา เหมือนยอดโฉมงามผู้เย็นชาที่ผลักไสผู้คนออกไปไกลนับพันลี้
แต่ว่าพอได้พบกับตัวจริง ถึงได้รู้ว่าภาพเหมือนนั้นไม่อาจเทียบกับความงดงามของนางได้แม้แต่หนึ่งในสิบ
นางในตอนนี้….ทำให้เขาเกิดความรู้สึกคุ้นเคยจากส่วนลึกภายใน
ราวกับว่า พวกเขานั้นรู้จักกันมาเนิ่นนานมากแล้ว
ตู๋กูซิงหลันถูกเขาจ้องมอง ก็ได้แต่จับจ้องกลับไป เอวของนางถูกเขาคว้าเอาไว้จนเจ็บ
นางบ่นออกมาเบาๆว่า “ฉุยซือ ข้ารู้ตัวว่าข้างดงาม เจ้าไม่จำเป็นต้องจ้องมองมากขนาดนั้น….”
ท่านเจ้าสำนัก “…..”
เขาเหมือนถูกเคาะความในใจออกมา จึงต้องเบนสายตาออกไปทางอื่น กลับไปมองดูเจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนใหม่อีกครั้ง
เดิมทีความงามหรืออัปลักษณ์ใดๆ ไม่เคยมีผลต่อจิตใจของเขา เพียงแค่มองดูแล้วสบายตาหรือไม่สบายใจ ก็เท่านั้น
แต่ว่าช่างแปลกจริงๆ รูปโฉมนี้ของศิษย์น้อยกลับต้องตาของเขาอย่างยิ่ง
พอมองดูเจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนอีกครั้ง ท่านเจ้าสำนักก็ต้องรู้สึกเหมือนแสบตาจนตาจะบอด
เมื่อสิ่งที่ต้องตาและบาดตามาเปรียบเทียบกันเช่นนี้ ช่างทำให้ผู้คน……..
ภายใต้แรงดูดของลูกแก้วสีดำ ต้นไห่ฮางต่างถูกโยกคลอนจนหลุดออกมา
ผืนดินบนเกาะลอยฟ้าก็หลุดออกไปมากมาย จนไม่รู้ว่าลูกแก้วโลกกาวินาศนั่นดูดดึงสิ่งต่างๆเข้าไปมากน้อยเพียงไรแล้ว ราวกับกระเพาะที่เติมเท่าไหร่ก็ไม่ยอมเต็ม
ตู๋กูซิงหลันเองก็เก็บสีหน้ากลับไปกลบเกลื่อนความรู้สึก นางเหลือบตาไปมองดูลูกแก้วสีดำแวบหนึ่ง สุดท้ายก็หันเหสายตาไปทางร่างของเจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยน
หมอกสีดำบนร่างของเขายังคงหนาแน่นแต่ก็สามารถมองเห็นใบหน้าที่น่าหวาดกลัวและรอยเย็บสีแดงสดบนลำคอนั้นได้อย่างชัดเจน
เส้นสีแดงนั้นร้อยผ่านผิวเนื้อบนลำคอ เย็บศีรษะและร่างกายให้ติดกัน ดูแล้วทำให้คนต้องขนลุกทั่วร่าง
สายตาของตู๋กูซิงหลันทอประกายแหลมคม นางมองผ่านหมอกสีดำเขาไป จนเห็นว่าที่ใต้ใบหูด้านหลังของเขามีรอยประทับรูปดอกไห่ถาง
ทันใดนั้นเอง สมองของนางก็แล่นชิว ปรากฏภาพของเมืองกู่เย่วดั่งเดิมและบุคคลผู้หนึ่งในความทรงจำของท่านยายขึ้นมา
ขณะที่เขาผลักดันลูกแก้วสีดำเข้าหานั้น นางก็ร้องเรียกออกไปคำหนึ่ง
“ฟ่านอิง”
……………………………