ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 600 พี่สาวแท้ๆแน่นอน
“นางในดวงใจ ก็คือฮ่องเต้หญิงแห่งแผ่นดินโบราณนางนั้น?” ดวงตาของพี่สาวจิ้งจอกหรี่ลงจนเหลือเพียงเส้นเดียว
ดวงตาเรียวยาวที่กลายเป็นเส้นตรงนั้น เกิดประกายความสนอกสนใจขึ้นมาอย่างชัดเจน
ซูเยาเห็นแล้วก็อดที่จะร่างสะท้านไม่ได้
“ถูกแล้ว เป็นนาง” ใบหน้าของเขานับว่าด้านพอ
พี่สาวจิ้งจอกพ่นเสียงเย็นชาออกมา “เจ้ากลับลงมือได้รวดเร็วดี นางใจดวงใจยังไม่ทันได้พามา กลับจับพี่ชายของนางมาก่อน”
นางพูดพลางก็เหลือบตาไปมองตู๋กูเจวี๋ยไปพลางๆ
ครั้งนี้ แสงในแววตาเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือก
“หุบเขาหมื่นปีศาจของข้า แต่ไหนแต่ไรก็คือพื้นที่หวงห้ามสำหรับพวกมนุษย์ ต่อให้เป็นพี่ชายของนางในดวงใจเจ้าก็ไม่ได้ เสี่ยวเยา เจ้าสมควรรู้กฏระเบียบของข้าดี”
“แต่ว่าอาเจ้ …. เขา….”
“ไม่มีแต่ว่า” พี่สาวจิ้งจอกทำตาโต “เห็นแก่ที่เจ้าเป็นน้องชายของข้า จงรีบโยนคนผู้นี้ออกไปจากหุบเขาปีศาจ ข้าจะปล่อยเขาไปสักครั้ง”
“อาเจ้ ในร่างของเขามีพิษ หากว่าให้ลงเขาไป มีหวังตายสถานเดียว”
ซูเยายืดตัวขึ้นตั้งตรง นับตั้งแต่ที่ได้ความทรงจำชาติก่อนกลับมา เขาก็เชื่อฟังคำพูดของพี่สาวมาโดยตลอด แต่ว่าหากเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอาหลัน เขาก็มีจุดยืนของตนเองเช่นกัน
พอได้ยินแล้ว พี่สาวจิ้งจอกก็คลี่ยิ้มเย็นชายิ่งกว่าเดิม “หากเขารั้งอยู่ที่นี่ จะตายอนาถกว่าเดิม เร็วกว่าเดิม”
สีหน้าของซูเยาเปลี่ยนไปในทันที เขาสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ จากนั้นค่อยกล่าวว่า “อาเจ้ ไม่ใช่เพราะว่าท่านเกลียดชังพวกมนุษย์ แล้วทุกคนจะต้องเกลียดชังพวกมนุษย์ตามท่านไปด้วย ….ผู้คนในใต้หล้า มิใช่ว่าจะเลวร้ายไปเสียหมด
“หากข้าบอกว่าเลว นั่นก็แปลว่าเลว” พี่สาวจิ้งจอกไม่ยอมอ่อนข้อแม้แต่น้อย
ยามนี้ในสายตาของนาง ตู๋กูเจวี๋ยเป็นดั่งพิษร้ายชนิดหนึ่ง
ยามปกติแล้วซูเยามีฝีปากคมคาย เพียงแต่ว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าพี่สาว จึงไม่กล้าหักหน้านาง
เพราะถึงแม้ว่าเผ่าจิ้งจอกสายตระกูลซูของเขาจะมีอิสระสามารถทำสิ่งใดตามอำเภอใจ แต่ว่าต่างก็รู้จักให้ความเกรงใจต่อผู้ที่มาก่อน เหมือนกับในเผ่ามนุษย์ที่เคารพในอาวุโสในครอบครัว
ยิ่งไปกว่านั้น พี่สาวผู้นี้ก็อายุมากกว่าเขาไม่น้อยกว่าบรรพชนทั้งสิบแปดรุ่นรวมกันเลย
เขายังไม่ทันได้เอ่ยปาก ก็เห็นตู๋กูเจวี๋ยพยายามดิ้นรนจากความตาย “พี่สาว คำพูดนี้ของท่านออกจะไม่ถูกอยู่บ้าง….เพราะอย่างน้อยๆข้าก็เป็นคนดีผู้หนึ่ง….”
เขารู้สึกได้เลยว่าซูเยานั้นพึ่งพาไม่ได้ เขากลัวตนเองจะตาย
เขากลัวว่าหากตนเองตายไปแล้ว ชือหลีก็จะไม่มีผู้ใดช่วยเหลือ กลัวว่าหากตนเองตาย น้องเล็กและคนในครอบครัวต่างก็ต้องเสียใจ
เกิดเป็นคน ต้องรู้จักความรับผิดชอบและห่วงใยคนรอบข้าง ดังนั้นจึงไม่อาจตายได้
“เจ้าเรียกใครเป็นพี่สาว?” พี่สาวจิ้งจอกเดิมทีเพียงแค่รังเกียจเขา แต่ว่าตอนนี้เริ่มโกรธเคืองขึ้นมาแล้ว “ข้ากับเจ้าไม่ได้อยู่เผ่าเดียวกัน อย่าได้เอาคำว่าพี่สาวมาใช้ทำให้ข้าต้องอับอาย”
ตู๋กูเจวี๋ย “…….”
สรุปแล้ว พวกจิ้งจอกนี่ให้ความสำคัญกับอะไรประหลาดๆใช่ไหม?
“หากจะพูดถึงเผ่าพันธุ์ ….ข้าอย่างมากก็เป็นมนุษย์เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น” ประเด็นหลังของตู๋กูเจวี๋ยยังคงอยู่ที่การหาทางรอด
“ท่านเป็นผู้ที่มีศักดิ์ฐานะสูงส่ง คิดว่าคงจะเคยได้ยินชื่อของเผ่ามังกรทมิฬมาบ้างกระมัง ….. ช่างบังเอิญจริงๆ ผู้น้อยสืบทอดสายเลือดของเผ่ามังกรทมิฬ พูดไปแล้วก็ไม่ใช่คนจริงๆ”
ซูเยาตกตะลึงไปแล้ว ไม่ใช่เพราะความแปลกใจในฐานะของเขา เพียงแต่ตกตะลึงว่ามีคนกล้าเอ่ยออกมาตรงๆว่า ‘ตนเองไม่ใช่คน’ ได้อย่างชัดเจนถึงเพียงนี้
ดูเอาเถอะ หน้าหนาถึงขนาดที่สามารถพูดได้โดยหน้าไม่แดง หนังตาไม่กระตุก
“เผ่ามังกรทมิฬ….” พี่สาวจิ้งจอกได้ยินแล้วก็ยื่นกรงเล็บเข้าใส่ในทันที
นางคว้าหมับเข้าที่หัวไหล่ของเขา ชนิดที่เรียกเลือดจากเนื้อ กรีดข่วนเป็นรอยสามเส้น
นางนำปลายเล็บที่เปื้อนเลือดของตู๋กูเจวี๋ยมารองใต้จมูกสูดดมเข้าไปเล็กน้อย
หัวคิ้วของนางขมวดมุ่น ถึงแม้ว่าจะมีสายเลือดมนุษย์เพียงครึ่งเดียว แต่ว่าความน่ารังเกียจนั้นก็ยังทำให้คนอยากจะอาเจียนออกมาอยู่ดี
เลือดอีกครึ่งหนึ่ง แฝงเอาไว้ด้วยพลังที่แข็งแกร่ง เข้มข้นและมืดมิด
ไอ้เด็กน้อยนี่มิได้โป้ปดนาง
นางสูดดมอย่างละเอียด กลิ่นคาวเลือดกรุ่นอยุ่ในจมูก
ซูเยาที่อยู่ด้านข้าง ได้แต่ลังเลขึ้นมา
ในกายของตู๋กูเจวี๋ยมีพิษร้าย หากสูดดมเลือดของเขาเข้าไปเช่นนี้ ทั้งยังมีเลือดของเขาเปรอะเปื้อนจนเต็มมือ จะไม่ทำให้เกิดปัญหาจริงๆหรือ?
ขณะที่มัวแต่ลังเลอยู่นั้น ก็เห็นพี่สาวของตนเองใบหน้าเปลี่ยนสี เอ่ยโพล่งออกมาสองคำ “พิษนี้มัน….”
พอเอ่ยออกมา ก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น อยู่ๆนางก็โอนเอนไปทางด้านหลังล้มหงายลงไป
เส้นผมสีแดงที่ยาวสลวยสยายกระจายอยู่เต็มพื้น นางหมดสิ้นสติลงไปบนพื้น โดยไม่รู้เรื่องใดๆอีกทั้งสิ้น
ซูเยาเห็นสถานการณ์เปลี่ยนไป ก็รีบพาตู๋กูเจวี๋ยออกจากตำหนักหลัก ไปซ่อนตัวอยู่ในตำหนักหลังหนึ่ง
ตู๋กูเจวี๋ยหันกลับไปมองดูพี่สาวจิ้งจอกที่นอนสลบอยู่บนพื้น ก็หันกลับมามองดูซูเยาที่กำลังพาเขาวิ่งหนีอย่างรวดเร็วราวกับเหาะได้ ก็ถามอย่างสงสัยว่า “ใช่พี่สาวแท้ๆหรือ?”
ซูเยา “พี่สาวแท้ๆ แท้เสียยิ่งกว่าแท้”
“ไม่ไปประคองสักหน่อยหรือ?”
ซูเยา “ไม่ถึงตายหรอก”
ตู๋กูเจวี๋ย “….”
บางทีอาจเป็นเพราะในบ้านของเขาทุกคนต่างคอยรายล้อมอยู่รอบๆตัวน้อยเล็ก ยามปกตินางมักถูกพวกเขาทนุถนอมเอาไว้บนฝ่ามือ แค่ผมร่วงลงไปเส้นหนึ่งก็แตกตื่นกันขึ้นมาแล้ว หากว่าเกิดเหตุการณ์เช่นเดียวกันกับพี่สาวจิ้งจอกเมื่อครู่ มีหวังคนทั้งบ้านคงวิตกกังวลแทบหัวใจวายตายไปแล้ว
ดังนั้นพอได้เห็นภาพแปลกๆเช่นนี้ เขาจึงรู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง
“จะไม่เป็นไรจริงๆนะหรือ?” ในใจของตู๋กูเจวี๋ยยังคงมีจิตสำนึกดีอยู่บางๆ ที่พี่สาวจิ้งจอกไม่ชมชอบเขา เขาก็เข้าใจได้
ตนเองพึ่งมาถึงก็แพร่พิษจนทำให้คนเขาสลบไป หากว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นมา ในใจของเขาคงรู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง
เพราว่านางรูปโฉมงดงามยิ่งนัก
คนที่มีรูปโฉมงดงามเช่นเดียวกับน้องเล็ก จะกลายเป็นคนชั่วร้ายได้อย่างไร
“พี่สาวแข็งแกร่งกว่าที่เจ้าคิดเอาไว้ร้อยเท่าพันทวี เจ้าห่วงใยตนเองก่อนดีกว่า” พูดพลาง ซูเยาก็พาเขาเข้าไปในตำหนักเล็กๆแห่งหนึ่ง
แม้จะบอกว่าเป็นตำหนัก แต่กลับเหมือนเรือนในสวนมากกว่า
ตำหนักของหย่งเฉิงอ๋อง ตู๋กูเจวี๋ยย่อมเคยได้ไปเยี่ยมชมมาก่อน นับว่ามีส่วนที่เหมือนกันอยู่
ดูไปแล้วที่นี่คล้ายคลึงกับที่นั่นมากนัก
ข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวที่มีก็คือ ที่นี่มีหิมะตกอยู่ตลอด หนาวเย็นอยู่เสมอ
“เจ้าพักผ่อนอยู่ที่นี่ รอคอยอาหลันมา นางจะต้องมีหนทางสลายพิษได้เป็นแน่” ซูเยาหาที่พักให้คนปลอดถัยแล้ว ก็ออกไปด้านนอก เด็ดบุปผาวิญญาณกลับมา
ประดับเอาไว้จนเต็มห้อง
บนยอดของหุบเขาหมื่นปีศาจ มีหิมะตกตลอดทั้งปี บุปผาวิญญาณพวกนี้ เติบโตได้ในสภาพอากาศเช่นนี้เท่านั้น
ในใจของเขาคาดหวังให้ตู๋กูซิงหลันมาถึงเร็วๆ หากว่าพี่สาวตื่นขึ้นมา เกรงว่าคงจะต้องบุกมาเข่นฆ่าถึงที่นี่เป็นแน่
ถึงตอนนั้น เขาอาจปกป้องตู๋กูเจวี๋ยไม่สำเร็จ
คนผู้นี้เป็นพี่ชายของนาง หากเขาไม่อาจปกป้องได้ อาหลันจะต้องเสียใจอย่างยิ่งแน่นอน
อาหลัยเศร้าเสียใจ ตำแหน่งของเขาในใจของนางเดิมก็ร่อแร่อยู่แล้ว เกรงว่ามีหวังต้องสูญสลายไปแน่
ซูเยานั่งลงบนก้อนหินที่ปากประตู ถอนใจอย่างยืดยาว
……………..
เมืองว่านฮวาเฉิงล่มสลายเสียแล้ว
เพราะเมื่อเกาะลอยฟ้าของตำหนักซิวหลัวเตี้ยนพังทลาย ผู้คนต่างก็จิตใจเคว้งคว้างหวาดผวา
หลังจากคืนนั้น ยังมีสายฟ้าฟาดลงมาอีกหลายครั้ง ทำเอาเกาะลอยฟ้าต่างๆเหนือเมืองว่านฮวาเฉิงพังทลายลงจนหมดสิ้น
ก้อนหินมากมายถล่มลงมา ทุบทำลายพื้นที่เมืองไปกว่าครึ่ง
เพียงแค่คืนเดียว ต้องสูญเสียชีวิตไปมากมาย
ใครเลยจะไปคิดว่า เมื่อตอนยามหัวค่ำทุกคนยังร่วมกันจุดโคมไฟอย่างมีความสุขสนุกสนาน แต่พอครึ่งคืนหลังโลกก็พลิกกลับ ผู้คนต่างดับอนาถ
………………..