ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 608 ดาวตี้ซิน[1]เปลี่ยนแปลง
ที่จริงแล้วต่อให้ไม่ต้องมีซูเยานำทาง นางก็แทบจะสามารถแบกพี่รองตรงไปยังห้องของซูเยาได้อย่างง่ายดาย
ในใจของซูเยาเบิกบานเสียจนแทบจะอธิบายอะไรไม่ถูกแล้ว
ตำหนักของหย่งเฉิงอ๋อง จำนวนครั้งที่ตู๋กูซิงหลันเคยไปก็มินับว่ามากมายเท่าไรนัก แต่ว่านางกลับจดจำตำแหน่งห้องของเขาได้อย่างชัดเจน
ดังนั้นแล้ว นี่เท่ากับว่าในใจของอาหลัน เขายังมีพื้นที่และน้ำหนักอยู่พอสมควรใช่ไหม?
ท่านเจ้าสำนักและฟ่านอิงติดตามอยู่ด้านหลังราวกับดวงวิญญาณ
หากเปรียบเทียบกับท่านเจ้าสำนักแล้ว ฟ่านอิงเงียบงันกว่ามาก คำพูดคำจาก็น้อยแสนน้อย
ยิ่งไปกว่านั้นนับตั้งแต่ที่ขึ้นมาบนเขาหมื่นปีศาจ ความรู้สึกถึงการคงอยู่ของเขาก็เหลืออยู่เพียงไม่กี่ส่วน
………………
หุบเขาหมื่นปีศาจ คือสวนบุปผาวิญญาณแห่งจิ่วโจว
บุปผาวิญญาณสีแดงอมทองผลิบานอยู่ทั่วสวนดอกไม้ บุปผาวิญญาณเหล่านี้ชูช่อสูงขึ้นมาถึงครึ่งตัวคน
กลางสวนดอกไม้ มีเก๋งแปดเหลี่ยมหลังหนึ่ง
ในเก๋งแปดเหลี่ยม มีสระน้ำพุร้อนแห่งหนึ่ง
สระน้ำเป็นทรงดอกไม้แปดกลีบ
ยามนี้ ในสระมีสตรีโฉมงามอันล้ำเลิศนั่งอยู่ผู้หนึ่ง นั่นก็คือต๋าจี่
เส้นผมสีแดงเปียกชื้นเพราะถูกน้ำร้อนในสระ ตลอดทั้งร่างมีไอน้ำร้อนหนาปกคลุม
ผิวพรรณที่พ้นน้ำออกมาขาวนวลดุจหิมะ แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดยามนี้ถึงได้มีไอสีดำจางๆระเหยขึ้นมาจากใต้ผิวอยู่ตลอด
ต๋าจี่พิงร่างอยู่ที่ขอบสระ นางยกมือขึ้นมา มองดูไอสีดำที่ระเหยออกมาจากหลังมือ พลางขมวดคิ้วมุ่น
พิษชนิดนี้นับว่าร้ายแรงจริงๆ
นางแค่สัมผัสโดนเลือดของมนุษย์ผู้นั้นเพียงเล็กน้อย ก็ยังถูกพิษจนสลบไปหลายวัน
ถึงจะบอกว่านางก็แค่ง่วงจนหลับไป แต่ถึงแม้จะหลับไหลติดต่อกันตั้งหลายวันเช่นนี้ ก็ยังไม่สามารถสลายพิษเหล่านี้ออกไปได้หมด
ในดินแดนจิ่วโจวไหนเลยจะมีพิษที่ทำร้ายผู้คนได้ถึงเพียงนี้ แม้แต่นางยังพลาดท่าไปด้วย?
นางตัดสินใจว่า จะต้องหาเวลาไปซักถามไอ้เด็กครึ่งมังกรครึ่งมนุษย์นั่นดูสักหน่อย
เห็นได้ชัดว่า ไอสีดำที่ระเหยออกมาจากผิวพรรณของนางก็คือพิษชนิดนั้นนั่นเอง
ไอ้เด็กครึ่งมังกรครึ่งมนุษย์นั่น โดนพิษนี้เข้าไปยังสามารถทนมาได้จนถึงตอนนี้นับว่าไม่ใช่เรื่องง่ายดายเลย
ต๋าจี่คิดไปเรื่อย จึงไม่ได้ว่ายไปที่กลางสระ
สระน้ำพุร้อนนี้ได้รับการหล่อเลี้ยงจากบุปผาวิญญาณ สามารถกล่าวได้ว่าเป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในหุบเขาหมื่นปีศาจ
สระน้ำพุร้อนบุปผาวิญญาณได้รับพลังวิญญาณจากบุปผาวิญญาณในสวนทั้งหมด หากได้แช่เพียงครั้งเดียวก็สามารถชำระเส้นเอ็นและไขกระดูกจนบริสุทธิ์
คนธรรมดาหากได้ดื่มน้ำพุร้อนนี้เข้าไปสักอึกก็สามารถยืดอายุไขได้ยืนยาว
ที่นางมาแช่น้ำพุร้อนที่นี่ ก็เพราะคิดจะสลายพิษที่อยู่ในร่างกายให้หมดสิ้นไป
ครู่ต่อมา ต๋าจี่ถึงได้ผุดขึ้นมาจากก้นสระน้ำพุร้อน
โฉมงามผุดขึ้นจากน้ำเป็นความงดงามเกินสิ่งใดจะเปรียบเทียบ
ขณะที่นางสะบัดผม หยดน้ำก็หล่นลงไปราวสายไข่มุก แม้แต่ไอสีดำที่ระเหยออกมาจากผิวก็สลายหายไปจนหมดสิ้น
ผิวพรรณละเอียดนุ่มลื่นกระจ่างใสราวเนื้อหยก ทั้งยังส่องประกายราวอัญมณี ใครได้เห็นเป็นต้องน้ำลายยืด
นางพิงร่างกับขอบสระอย่างเงียบๆอีกครั้ง ทั้งยังปิดตาลง ในสมองผุดภาพของตู๋กูซิงหลันขึ้นมาเรื่อยๆไม่มีหยุด
ฮ่องเต้หญิงแห่งดินแดนโบราณผู้นี้ ภาพเหมือนของนางมีอยู่เกลื่อนดินแดนจิ่วโจว
นางเองก็เคยได้เห็นมาแล้ว
แต่เมื่อได้พบกับตัวจริง ถึงได้รู้ว่าภาพเหมือนช่างต่างกับตัวจริงอย่างลิบลับ โดยเฉพาะความงดงามที่เพียบพร้อมจนไร้ที่ตินั้นไม่อาจถ่ายทอดออกมาได้แม้หนึ่งในสิบส่วนเสียด้วยซ้ำ
ตอนนี้ ภาพที่วนเวียนอยู่ในสมองของนาง ก็คือดวงตาของตู๋กูซิงหลันคู่นั้น ให้ความรู้สึกคุ้นเคยราวกับว่าเคยได้พบกันมาก่อน แต่ก็คิดไม่ออกว่าเคยเจอกันที่ไหน
ก็ใช่อยู่ ตัวนางซูจี่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ไม่รู้ว่านานขนาดไหนแล้ว เคยได้พบเจอภูติผีปีศาจมาก็มากมายนับพันนับหมื่น หากจะรู้สึกคุ้นเคยอยู่บ้าง ก็มิใช่เรื่องที่แปลกประหลาดอะไร
ท่ามกลางผู้คนมากมาย ย่อมต้องมีคนที่เคยพบหรือคุ้นเคยบ้างอยู่แล้ว
ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร
“ต๋าจี่….” นางเหยียดมือไปจนสุด ผลักน้ำในสระที่มีอยู่เต็มสระออกไป
ไอน้ำร้อนในสระถูกวงน้ำสะท้อนผลักออกไปเป็นชั้นๆ
ในระลอกคลื่น สะท้อนรูปโฉมของนาง
“ต๋าจี่….” นางเรียกซ้ำๆอยู่หลายครั้ง ราวกับว่าเรื่องเก่าๆที่ผ่านไปแล้วได้ย้อนกลับมาอีกครั้ง
“ต๋าจี่ตายไปนานแล้ว ตายอยู่บนหอสอยดาวลู่ไถ[2]….ตายด้วยน้ำมือของเทพสวรรค์ที่ไร้น้ำใจ”
นับจากนั้นเป็นต้นมา ในใต้หล้านี้ก็ไม่มีต๋าจี่อีกแล้ว นางละทิ้งชื่อต๋าจี่ไป เปลี่ยนชื่อให้ตนเองใหม่ว่าซูจี่
ซูจี่ ซูจี่ จะทำเพื่อตนเองเท่านั้น!
บนท้องฟ้ายังคงมีหิมะตกลงมา แต่ว่าลมหนาวคล้ายไม่อาจกร้ำกรายเข้ามาในเก๋งแปดเหลี่ยม
ซูจี่ค่อยลุกขึ้นยืนจากสระน้ำพุร้อน เผยให้เห็นแผ่นหลังอันละเอียดเนียนงามอ่อนช้อย
เพียงแต่เส้นผมที่เหยียดยาวยามนี้ถูกน้ำจนเปียกชื้น จึงมิได้ปิดบังส่วนที่ควรมีเอี้ยมทับไว้ได้ทั้งหมด
ทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ตรงที่ควรเป็นเอี้ยมนั้น มีรอยแผลเป็นที่น่ากลัวแห่งหนึ่ง
บาดแผลนั้นลึกมากราวกับว่าใช้เหล็กแหลมแทงเข้าไป ราวกับว่าได้ทำลายงานศิลปะวัตถุที่มีชีวิตทิ้งไปอย่างน่าเสียดาย
ผ่านมาก็ต้องนานหลายปีแล้ว แผลเป็นนี้ก็ยังไม่จางหายไป ทำให้เห็นว่าตอนนั้น….นางต้องถูกทำร้ายอย่างแสนสาหัส
“นายหญิง ท่านช่างใจอ่อนเสียจริง ทั้งๆที่ทราบดีว่าพวกมนุษย์มิใช่ตัวดีอะไร ทำไมถึงยังปล่อยให้องค์ชายน้อยเหลวไหลได้อีก?”
ในตอนนั้นเอง ในสวนก็เกิดมีความเคลื่อนไหวบางอย่าง หลังจากสิ้นเสียง เสือที่มีร่างสีดำขลับทั้งร่างก็ก้าวออกมาจากในในสวนดอกไม้
มันคำรามครั้งหนึ่งก็เคลื่อนเข้ามาหยุดอยู่ที่ข้างสระน้ำ ดวงตาสีเขียวเหลื่อมพรายทั้งคู่นั้นจับจ้องอยู่ที่รอยแผลเป็นตรงเอี้ยมของนาง
“เพราะเหล็กแหลมที่แทงลงมานั่น แม้แต่หัวใจของท่านก็ยังถูกคว้านออกไปครึ่งหนึ่ง จนมาถึงวันนี้ ท่านก็ยังคงยอมให้พวกมนุษย์เข้ามาในหุบเขาหมื่นปีศาจอีกนะรึ!”
เสือดำถึงกับฮึดฮัดขึ้นมา มันเดินหงุดหงิดกลับไปกลับมาอยู่ที่ข้างกายซูจี่
“ตอนนั้นเป็นเพราะท่านหลงเชื่อในพวกมนุษย์ จึงได้ทำให้ตระกูลซูทั้งหมดต้องตกอยู่ในเภทภัย แม้แต่น้องชายแท้ๆของท่านก็ยังเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด! เรื่องนี้ท่านลืมมันไปแล้วหรือ?”
กรงเล็บของเสือดำตัวนั้นตวัดลงไปบนพื้น เกิดเป็นเสียงแหลมบาดหู
นับตั้งแต่ที่องค์ชายน้อยทรงนำไอ้ครึ่งมังกรครึ่งมนุษย์ผู้นั้นกลับมาเขาก็คอยจับตาดูทุกความเคลื่อนไหวในหุบเขาหมื่นปีศาจอยู่ตลอด
แต่ก็คิดไม่ถึงว่า พวกมนุษย์จะมาถึงได้ไวขนาดนี้
แถมในบรรดาพวกมัน ยังมีผู้ที่ฟื้นขึ้นมาจากความตายอยู่ด้วยผู้หนึ่ง!
คนผู้นั้นแค่ดูก็รู้แล้วว่ามิได้มีเจตนาอันดี ในช่วงเวลาเช่นนี้ สมควรปล่อยให้ทุกอันตรายไปนอนสบายๆอยู่บนเปลต่างหาก!
เห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่า นายหญิง มีเมตตาปล่อยให้พวกมันรั้งอยู่
เรื่องที่ผ่านมากลายเป็นเพียงอดีตไปแล้ว ตกตะกอนไปตั้งเนิ่นนานหลายปี อีกทั้งใจของนางก็มิได้เ**้ยมพอ
ซูจี่ปล่อยให้เจ้าเสือดำตัวนั้นตะโกนโหวกเหวกโวยวายอยู่ตรงหน้านางต่อไป
รอจนเสือดำพูดจนเหน็ดเหนื่อยแล้ว นางเคยเอ่ยอย่างเรื่อยเฉยออกมาประโยคหนึ่ง “ฮ่องเต้หญิงผู้นั้นมีบุญคุณช่วยชีวิตเสี่ยวเยา ข้าก็มีน้องชายแค่เพียงคนเดียว”
หากไม่ตามใจเขา จะให้ตามใจใคร
ประโยคหลังนั้น ซูจี่ย่อมมิได้เอ่ยออกไป
เสือดำก็รู้อยู่แก่ใจดี
“ท่านรักเขา แต่ว่าองค์ชายน้อยอาจมิได้เข้าใจในความลำบากใจของท่าน” ดวงตาสีเขียวของมันเป็นประกายมันวาว
“หากว่าเขาเข้าใจ ก็คงจะไม่ดื้อดึงให้คนเหล่านั้นรั้งอยู่ในหุบเขาหมื่นปีศาจ”
“ช่วงนี้ข้าสำรวจดูลักษณะของดวงดาว ดูเหมือนว่าในหกภพภูมิกำลังจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว ในช่วงเวลาเช่นนี้นายหญิงสมควรระมัดระวังรักษาตนให้ดี ปกป้องหุบเขาหมื่นปีศาจจึงจะเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด”
ซูจี่เดิมลุกขึ้นยืนแล้ว ตอนนี้พอได้ยินคำพูดของเสือดำ จึงกลับลงไปนั่งในสระน้ำพุร้อนอีกครั้ง
แม้แต่แผลเป็นตรงเอี้ยมก็จมลงไปอยู่ใต้น้ำ
นางค่อยหมุนศีรษะกลับมา หันใบหน้าด้านข้างให้กับเสือดำ “อ้อ เจ้าพบเห็นอะไรหรือ?”
“กลุ่มดาวตี้ซิงมีความเปลี่ยนแปลง ด้านข้างปรากฏดาวมฤตยูขึ้นมาอีกดวงหนึ่ง ดาวมฤตยูดวงนั้นกำลังขับไล่แสงสว่างของกลุ่มดาวตี้ซิงออกไป”
“เมื่อได้รับผลกระทบเช่นนี้ ดวงดาวทั้งสิบสองราศีต่างก็เกิดความวุ่นวายขึ้นมา เกรงว่าไม่เพียงแต่หกภพภูมิ แม้แต่แดนสวรรค์เบื้องบนก็คงไม่สงบสุขไปด้วย”
พอเอ่ยถึงแดนสวรรค์ หัวคิ้วของซูจี่ก็ขมวดมุ่นขึ้นมาในทันที
………………….
[1] กลุ่มดาวหมีเล็ก: (Ursa Minor) เป็นกลุ่มดาวฤกษ์ บนท้องฟ้าฝั่งซีกโลกเหนือ มีชื่อเรียกหลากหลาย เช่น ราชรถแห่งสวรรค์ (บาบิโลเนีย) หรือ กลุมดาวคันไถ (อังกฤษ) มีดาวหลักที่สว่างที่สุดก็คือ ดาวเหนือ (Polaris)
[2] หอสูงที่โจ้วหวางสร้างขึ้นจากการขูดรีดภาษีประชาชนเพื่อเอาใจพระสนมคนโปรดอย่างต๋าจี่ ภายหลังเมื่อบ้านเมืองล่มสลาย โจ้วหวางสำนึกเสียใจจึงฆ่าตัวตายพร้อมกับจุดไฟเผาหอนี้ทิ้ง