ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 615 สิ่งที่โผล่ออกมาจากกระถางดอกไม้.....
พอนางขยับตัวถึงได้รู้สึกว่าทั่วทั้งร่างระบมจนปวดไปทั้งหลังไหล่ ราวกับว่าถูกเครื่องมือหนักๆบางอย่างกดทับ
ความรู้สึกเช่นนี้ทำเอานางต้องตื่นตระหนกขึ้นมา….
เมื่อคืนนี้ เอาแล้วไง ดูท่าคงจะเกิดเรื่องอะไรที่มิได้คาดฝันขึ้นมากระมัง?
หรือว่าเมื่อคืนนางจะโดนวางยาบางอย่าง จากนั้นก็ไปกระโดดโลดเต้นอยู่กลางลานกว้างกับพี่สาวต๋าจี่?
เพราะว่า แววตาที่พี่สาวต๋าจี่มองมาที่นางในตอนนี้ ช่างเปี่ยมล้นไปด้วยความรักอันร้อนแรงเสียเหลือเกิน!
พอได้สติ สิ่งที่นางทำคือจับชายแขนเสื้อของตนเองขึ้นมา ยื่นส่งไปที่เบื้องหน้าของต๋าจี่
“ในเมื่อเรื่องก็เกิดขึ้นไปแล้ว …..พี่สาวต๋าจี่มิสู้ประทับชื่อลงบนตรงนี้หน่อยเป็นไง?”
ถึงอย่างไรก็เคยไปกระโดดโลดเต้นบนลานมาด้วยกัน…..
ซูจี่ “……”
ตอนที่เจ้าเสือดำกลับมา ก็บอกว่าสมองของฮ่องเต้หญิงผู้นี่ค่อนข้างมีปัญหา ตอนแรกนางยังไม่คิดจะเชื่อ แต่ว่าตอนนี้ดูแล้ว สิ่งที่เจ้าเสือดำเล่าออกมามิได้มีสิ่งใดเป็นเท็จแม้แต่อย่างเดียว
คาดว่า สมองของนางคงจะถูกลาถีบมาอย่างแน่นอน
“เมื่อคืนนี้…. เจ้าดูดซับพลังของบุปผาวิญญาณของข้าไปจนหมด” ซูจี่คือจิ้งจอกเก้าหางที่ไม่เคยพูดจาอ้อมค้อมมาก่อนอยู่แล้ว
ท่อนขาที่เรียวยาวของนางพาดอยู่บนหัวเตียงของตู๋กูซิงหลัน
เรียวขาที่ทั้งยาวตรงและขาวสะอาด ดูแล้วนุ่มนวลเหมือนดั่งเต้าหู้!
ตู๋กูซิงหลันมองดูจนตกตะลึงไปแล้ว
ขาที่สวยงามขนาดนี้ ….ไม่ได้ไปถีบจักรยานสามล้อ ดูแล้วช่างน่าเสียดายเสียเหลือเกิน!
ตู๋กูซิงหลันได้แต่แสร้งเป็นโง่งม ทำหน้าหนาไม่เข้าอกเข้าใจอะไรทั้งสิ้น
นางไม่รู้จริงๆว่าเมื่อคืนนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น เมื่อตนใช้กลยุทธ์สงบนิ่งไม่เคลื่อนไหว พี่สาวต๋าจี่ย่อมต้องเป็นฝ่ายบอกออกมา
พอนางค่อยๆยกมือขึ้นมา แต่มือก็เหมือนถูกทับจนบี้แบน
ทำให้นางนึกถึงเรื่องในความฝันขึ้นมาได้ นางถูกอาจารย์ซัดใส่ไปหนึ่งฝ่ามือ
ที่กระดูกยังไม่หักจนหมดสิ้นก็ต้องนับว่า ในโชคร้ายมีความโชคดีอย่างที่สุดแล้ว
ความฝันนั้น…..จนถึงตอนนี้ ตู๋กูซิงหลันก็ยังรู้สึกมึนงงอยู่ไม่หาย
นางรู้สึกว่ามันสมจริงจนเกินไป
ซูจี่เห็นสีหน้าที่งุนงงของนาง ก็เอ่ยอีกว่า “ข้าเคยได้ยินเสี่ยวเยาบอกว่า เจ้ามีคฑาที่พิเศษอย่างยิ่งอยู่ด้ามหนึ่ง”
ซูจี่เข้าใจไปว่าไม้คฑาของนางดูดซับพลังวิญญาณในสวนดอกไม้ทั้งหมดเข้าไป
หุบเขาหมื่นปีศาจทั้งหมดอาศัยบุปผาวิญญาณเหล่านี้หล่อเลี้ยง ตอนนี้อยู่ๆก็ถูกดูดซับจนแห้งเหือดไปในคืนเดียว นางย่อมต้องหาสาเหตุออกมาให้ได้
ตู๋กูซิงหลันรีบส่ายศีรษะขึ้นมาในทันที “ไม่มีทางเป็นเพราะมัน”
คฑาแห่งความมืดด้ามนั้น ไม่เคยปรากฏตัวขึ้นมาด้วยตนเองมาก่อน ทุกครั้งล้วนเป็นนางใช้พลังวิญญาณของตนเองปลุกมันขึ้นมา มันถึงได้กลายเป็นศาสตราวุธ
หากไม่มีการชักนำจากนาง คฑาแห่งความมืดด้ามนั้นก็จะเป็นเหมือนท่อนไม้ชิ้นหนึ่ง ไม่มีประโยชน์ใดๆทั้งสิ้น
มันย่อมไม่สามารถไปดูดซับพลังวิญญาณจนหมดสิ้นภายในค่ำคืนเดียว
ทันใดนั้น ตู๋กูซิงหลันก็เหมือนจะคิดอะไรขึ้นมาได้ ร่างน้อยๆของนางนั่งตัวตรงขึ้นมาในทันที
นางยื่นมือลงไป ฉวยเอาถุงเฉียนคุนขึ้นมา
นับตั้งแต่ที่ท่านเจ้าสำนักผู้นั้นปรากฏตัวขึ้นมา นางก็หอบหิ้วกระถางดอกไม้ใบนี้ออกมาดูอยู่หลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ไม่ปรากฏผลอะไร จนนางไม่ได้นำกระถางใบนี้ออกมาดูพักหนึ่งแล้ว
เพราะในจิตสำนึกของนางยึดถือเอาท่านเจ้าสำนักผู้นี้เป็นร่างที่หลอมรวมกันของจีเฉวียนและอาจารย์ไปแล้ว
ทั้งยังพยายามคิดหาหนทางให้เขาฟื้นฟูความทรงจำอีกด้วย
แต่ว่าในโลกนี้สิ่งที่สามารถดูดซับพลังวิญญาณได้ก็คือสิ่งมีชีวิต
หากจะพูดถึง ‘สิ่งมีชีวิต ’ ที่อยู่ในถุงเฉียนคุนของนาง ก็คงจะมีแต่ศิลาโลหิตที่อาจารย์ทิ้งไว้ให้
ขณะที่คลำเจอกระถางดอกไม้ หัวใจของนางก็เต้นเสียงดังตึกตักขึ้นมา
นางผิดหวังไปแล้วหลายต่อหลายครั้ง ความผิดหวังในแต่ละครั้งล้วนรุนแรง
เมื่อความผิดหวังยิ่งทียิ่งมาก ในใจก็ยิ่งไม่กล้าจะไปคาดหวังอะไรอีกแล้ว
แต่ว่าครั้งนี้ ความรู้สึกยามที่สัมผัสถูกกระถางดอกไม้กลับไม่เหมือนเดิม
มันอุ่นจนร้อนระอุ ราวกับว่าผ่านการหลอมออกมาจากเปลวไฟ
ไม่รู้ว่าทำไม มือของนางถึงได้เกิดอาการแข็งค้างขึ้นมา
หรือว่าครั้งนี้ ศิลาโลหิตจะผลิบานขึ้นมาจริงๆ?
ตู๋กูซิงหลันคิดเช่นนี้อยู่ในใจ
กระถางดอกไม้ถูกยกออกมาจากถุงเฉียนฉุนเพียงครึ่งเดียว
กระถางหยกที่เคยเป็นสีขาวใส ยามนี้เปลี่ยนเป็นสีดำทองไปแล้ว
หัวใจของตู๋กูซิงหลันต้องเต้นเร็วกว่าเดิม มันแทบจะกระดอนออกมาจากลำคออยู่แล้ว
นางกลั้นลมหายใจเอาไว้ ไม่กล้าหยิบกระถางดอกไม้ออกมาอย่างเร็วๆ ได้แต่นำมันออกมาทีละนิดๆ
ซูจี่ที่มองดูอยู่ด้านข้างต้องรำคาญใจขึ้นมา
เอาออกมาทีละนิดๆเช่นนี้ ช่างทรมานผู้คน!
ดังนั้นนางจึงคว้าท่อนแขนของตู๋กูซิงหลันกระชากขึ้นอย่างแรง
ทันทีที่ดึงขึ้น กระถางทั้งใบก็ปรากฏออกมาสู่สายตาของพวกนาง
กระถางดอกไม้กลายเป็นสีดำอมทองทั้งใบ จากเดิมทีที่เป็นกระถางหยก ตอนนี้มันกลับดูเหมือนหลอมขึ้นจากทองคำมากกว่า
รอบนอกของกระถางมีหมอกดำรายล้อมอยู่ชั้นหนึ่ง หมอกดำนั้นเข้มข้นอย่างยิ่งจึงทำให้มองไม่เห็นสภาพของสิ่งที่อยู่ภายใน
คราวนี้ แววตาของตู๋กูซิงหลันถึงกับเป็นประกายแวววาวขึ้นมา
ในที่สุดกระถางดอกไม้ที่ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆมานานปีก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงแล้ว!
ในใจของนางเกิดความคาดหวังขึ้นมาทันที แม้แต่ลมหายใจก็ชะงักไปหลายส่วน เพราะกลัวว่าจะไปรบกวนสิ่งที่อยู่ภายในกระถาง
นางยื่นปลายนิ้วออกมา ส่งเข้าไปในหมอกสีดำ จากนั้นก็ขยับไปมาคลำดูอย่างแผ่วเบา
ปลายนิ้วสัมผัสกับอะไรที่เรียบลื่น มีเนื้อนุ่มนิ่ม
ในชั่วแวบนั้น นางพลันเกิดความสงสัยขึ้นมา อย่าบอกนะว่ากระถางดอกไม้นี้…..กำลังมีก้อนเนื้องอกเงย
อืม เกือบจะคิดอย่างนั้นขึ้นมาแล้ว
ซูจี่เห็นสีหน้าของถึงกับเปลี่ยนแปลงไปอย่างหลากหลาย แต่ไม่ว่าจะเปลี่ยนเป็นแบบไหน ก็ล้วนแล้วแต่มีความระมัดระวังและตื่นเต้นอยู่ตลอดเวลา
ที่นางถือเอาไว้ในมือ มันก็แค่กระถางดอกไม้ใบหนึ่ง ไยต้องทำเหมือนว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่สุดบนโลกใบนี้
นางสงสัยจริงๆ กระถางดอกไม้ใบหนึ่ง มันจะสามารถมียอดบุรุษโผล่ออกมาได้หรืออย่างไร?
ไม่อาจโทษว่าซูจี่ที่คิดไปไกลเช่นนั้น เพราะในยามนี้ดวงตาน้อยๆทั้งคู่ของตู๋กูซิงหลันกำลังแฝงความหมายอยู่เช่นนี้จริงๆ
ด้านตู๋กูซิงหลันก็ลูบๆคลำอยู่หลายครั้ง สัมผัสดูก้อนเนื้อในนั้นจดเกิดความแน่ใจ
เป็นก้อนเนื้อนุ่มๆ ที่มีขนเยอะจนฟูหนา
แต่ไม่รู้ว่าทำไม ความรู้สึกที่ได้ถึงได้ดูเหมือนคุ้นมือเช่นนี้
กลับเป็นซูจี่ที่ทนดูต่อไปไม่ไหว โบกมือครั้งหนึ่ง จนเกิดลมพัดหอบใหญ่ออกมา
ตู๋กูซิงหลันรีบกอดกระถางใบนั้นเอาไว้ ด้วยเกรงว่าลมจะหอบมันลอยออกไป
แต่แล้วหมอกสีดำที่รายล้อมอยู่รอบกระถางกลับถูกสายลมที่รุนแรงพัดกระจายไปจนหมดสิ้น
สิ่งที่อยู่ข้างในเริ่มกระดุกกระดิกไปมา จากนั้นก็ขดตัวเป็นก้อนกลม กลิ้งออกมาจากกระถาง
ก้อนดำๆกลมๆนั้น กลิ้งหลุนๆไป ราวกับด้วงมูลตัวใหญ่
ตู๋กูซิงหลันมองดู ‘ด้วงมูล’ ที่กลิ้งไปจนทั่วทั้งห้อง ทั้งมุมปากและหางตาถึงกับกระตุกไม่ยอมหยุด
ซูจี่หรี่ดวงตาจิ้งจอกทั้งคู่ลง สองมือกอดอกเอาไว้ พิงร่างกับขอบเตียง
“ตกลงแล้ว กระถางดอกไม้ที่เจ้าเฝ้าทนุถนอมมาตลอด ปลูกเจ้าของเล่นนั้นเอาไว้หรือ?”
พอมองดูเจ้าก้อนกลมๆที่เหมือนกับด้วงมูลนั่น ซูจี่ก็ต้องสงสัยขึ้นมา
ไม่ใช่ว่านางอยากจะดูถูกหรอกนะ เพียงแต่รู้สึกว่ามันน่าขำอยู่บ้าง
ช่างเป็นเรื่องบังเอิญเหลือเกิน ที่ซูจี่และตู๋กูซิงหลันต่างก็คิดใคร่ครวญจากรูปร่างว่าสิ่งนี้คืออะไรไปนทางเดียวกัน
“หุบเขาหมื่นปีศาจของข้าก็มีปีศาจด้วงมูลอยู่เหมือนกัน แต่ดูไปแล้วยังหน้าตาดีกว่าเจ้านี่มากนัก เจ้าลองเลี้ยงดูมันไปอีกสักพันแปดร้อยปี ถึงตอนนั้นพอกลายเป็นปีศาจ หน้าตาก็คงจะพอดูได้อยู่บ้าง”
ตู๋กูซิงหลัน “…..”
ตอนนี้นางรู้สึกตกอยู่ในวังวนของความงุนงงหนักกว่าเดิม
แล้วอาจารย์ที่เคยบอกว่าจะกลับมาละ?
ไอ้ก้อนเนื้อนั่นไม่ได้ช่วยอะไรเลยหรือ?
ทำไมถึงได้มีด้วงอึตัวหนึ่งกระโดดออกมาแทน?
…………………