ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 62 ตัดศีรษะเจ้าสุนัขจีเฉวียน
ว่าแล้วเขายกเอาถาดองุ่นจากสเปน ลิ้นจี่จากหนานหยาง แตงหวานจากเป่ยเจียงส่งมาให้นาง
องุ่นถูกปอกเปลือกเอาไว้แล้ว ใช้น้ำแข็งรองไว้ในถ้วย แม้แต่เมล็ดองุ่นยังถูกคว้านออกไป
ลิ้นจี่พวกนี้ ยังสดใหม่ยิ่งกว่าลิ้นจี่ได้เห็นในงานเลี้ยงเมื่อคืนเสียอีก
แตงหวานถูกหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ใช้ไม้จิ้มที่ทำจากทองคำเสียบไว้ บนผิวแตงยังโรยน้ำตาลสีแดงเอาไว้ชั้นหนึ่ง มองดูแล้วน่ารับประทานอย่างยิ่ง
ตู๋กูซิงหลันได้แต่แอบลูบคลำก้อนทองในอ้อมอก …….พลันเกิดความรู้สึกว่า ตนเองนั้นยากจนเสียจนไม่สมกับเป็นคนตระกูลตู๋กูเลย
ไม้จิ้มผลไม้นี่…..ประเดี๋ยวต้องเอากลับไปด้วย
เพราะได้รับการดูแลประหนึ่งฮ่องเต้เสด็จประพาสเช่นนี้ ตู๋กูซิงหลันซาบซึ้งจนอยากจะร้องไห้
ยิ่งเมื่อคิดถึงวันเวลาที่อยู่ในตำหนักเย็นที่ต้องอดทนกินแต่หัวเผือกหัวมันแล้ว ยิ่งไม่อาจหักห้ามความโศกเศร้าเอาไว้ได้
ตู๋กูจุนเห็นในดวงตาของนางมีน้ำตาคลอ ก็พลันรู้สึกเจ็บปวดใจยิ่ง “น้องเล็ก เจ้าไม่ชอบใช่หรือไม่? เจ้าอยากกินอะไร พี่ใหญ่จะรีบไปเตรียมมาให้เดี๋ยวนี้ “
ต่อให้นางอยากจะกินเนื้อมังกร เขาก็จะคว้าดาบไปเฉือนเอาเนื้อของจีเฉวียนมาสักสองชิ้นให้ได้!
ในงานเลื้ยงเมื่อคืนนี้ เขาไม่มีโอกาสได้พูดคุยกับนางสักหลายประโยค ยามนี้ได้พบหน้าน้องเล็กแล้ว แทบจะบูชานางดังเป็นบรรพชนคนหนึ่ง
เมื่อครู่เขากะประมาณดู น้องเล็กถึงกับผ่ายผอมกว่าตอนก่อนเข้าวังไปห้าจิน! ทั้งหมดนี้ต้องโทษไอ้ฮ่องเต้สุนัขนั่น!
แม่งโว้ย! น้องเล็กกลับมาครั้งนี้ เขาจะไม่ยอมให้นางต้องเข้าวังไปถูกรังแกอีกเด็ดขาด!
“พี่ใหญ่ ข้าชอบมากเจ้าค่ะ ” ตู๋กูซิงหลันหยิบเอาองุ่นลูกหนึ่งส่งเข้าปาก พลางส่งยิ้มให้เขา
เพียงแค่นางยิ้มไม่นับว่าเป็นอะไร แต่ดวงใจของตู๋กูจุนกลับหลอมละลายแล้ว เขาคุกเข่าอยู่ข้างๆ ตู๋กูซิงหลัน วูบเดียวก็ฉกเอาตัวน้องสาวมาไว้ในอ้อมกอด ทั้งไม่ลืมที่จะถูไถหน้าตนเองกับใบหน้าของนาง
เพียงแต่เคราของเขาแข็งกระด้าง ผิวหน้าก็หนาหยาบดุจกระดาษทราย ผิวพรรณของตู๋กูซิงหลันนุ่มนวลเพียงไร ใบหน้าขาวกระจ่างนุ่มนิ่มของนางกลับถูกเขาขัดถูเสียแล้ว
วิญญาณทมิฬแคะจมูกตัวเองอยู่บนบ่าของนางแคะไปก็ทำตาปะหลักปะเหลือกรังเกียจไปด้วย “พี่ชายของเจ้าน่าหยักแหยงมากง่ะ! “
หากว่านี่ไม่ใช่พี่ชายแท้ๆ ของเจ้าของร่างเดิม คนอย่างนังหนูตู๋กูซิงหลันนี่จะต้องเด็ดหัวเขาลงมาแล้ว
ขณะที่ผิวของนางใกล้จะถูกพี่ชายปอกออกมานั้น ตู๋กูจุนก็ยอมปล่อยนางในที่สุด
อ๊า~น้องเล็กที่หอมหวลนุ่มนิ่มกอดแล้วยังคงรู้สึกดีเหมือนเดิมเลย
สายตาของเขามีแต่ความหลงใหล ครั้นมองไปก็เห็นใบหน้าน้อยๆ ของตู๋กูซิงหลันถูกถูไถเสียจนแดงก่ำ แต่กลับอดทนไม่พูดออกมา
ตู๋กูจุนเห็นแล้วสำนึกผิดเสียใจแทบตาย เพราะต้องไปอยู่ที่เป่ยเจียงนานหลายเดือน ตากแดดตากลมที่นั่นเสียจนหน้าหนาหยาบกร้านแทบดูไม่ได้ น้องเล็กบอบบางดุจดอกไม้ ไยเขาจึงไม่ระวังไปถูไถนางเฉกเช่นแต่ก่อนได้?
เขาคุกเข่านิ่งอยู่ข้างนางเนิ่นนาน แทบไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา “น้องเล็ก พี่ใหญ่ไม่ได้พบเจ้ามาตั้งนานแล้ว…..ก็เลยทนไม่ไหว…..”
ตู๋กูซิงหลันเห็นใบหน้าหยาบๆ ของเขาแดงก่ำไปหมด ในใจก็ครุ่นคิดถึงปัญหาหนึ่งขึ้นมา จะต้องหาเวลาสักวันไปหาหมอหลวงซุนให้จัดเตรียมครีมพอกหน้าสักหน่อย….บุรุษที่สง่างามเช่นพี่ใหญ่นี้จะปล่อยให้มีผิวหน้าหยาบกระด้างได้อย่างไร?
“ข้าก็คิดถึงพี่ใหญ่ พี่รองและก็ท่านปู่เจ้าค่ะ ” นางเอนตัวอยู่บนเก้าอี้กุ้ยเฟย หยิบเอาไม้จิ้มทองคำที่เสียบแตงหวานไว้ขึ้นมากัดกิน
กินแล้วก็เก็บไม้เสียบเอาไว้กับตัว……
ตู๋กูจุน “……..” น้องเล็กคงถูกเจ้าฮ่องเต้สุนัขนั่นรังแกเสียจนแทบเสียสติไปแล้ว ถึงได้จะเอาแม้กระทั่งไม้เสียบผลไม้อันหนึ่ง
ระหว่างทางที่มานี่ เชียนเชียนยังเล่าว่า สมบัติของรองมหาเสนาฯ ที่สมควรเป็นของน้องเล็ก กลับถูกจีเฉวียนริบเอาไปหมด
“น้องเล็ก เจ้าอย่าได้ทุกข์ใจไป บ้านเราไม่เคยขาดแคลนเงินทอง ” ตู๋กูจุนลูบไล้ศีรษะนางเบาๆ “รอพี่ใหญ่จัดการเรื่องราวให้เรียบร้อย จะให้เงินเจ้ามากกว่าสมบัติของไอ้เฒ่าโย่วหยูนั่นเสียอีก
ที่แท้โย่วหยู……ก็ชื่อแซ่ของรองมหาเสนาฯ
เขาบอกแต่แรกแล้วว่า ขอเพียงเป็นสิ่งที่น้องเล็กต้องการ ต่อให้ต้องเสียหัวไปก็ต้องส่งให้ถึงมือนางให้ได้!
ก่อนหน้านี่เจ้าฮ่องเต้สุนัขนั่นสั่งให้พวกเขาต้องไปจากเมืองหลวง ทั้งยังขังนางเอาไว้ในวังหลัง ทำให้พวกเขาไม่มีโอกาสได้ดูแลนาง
ตอนนี้เขากลับมาแล้ว…..ทุกอย่างย่อมไม่เหมือนเดิม
ตู๋กูซิงหลันพ่นแตงหวานคำนั้นใส่หน้าเขาในทันใด “จัดการเรื่องเสร็จ? พี่ใหญ่ ท่านจะไปตัดหัวใครหรือเจ้าคะ? “
เมื่อมองดูดาบทลายภูผาเล่มใหญ่ที่พิงอยู่บนกำแพง คมดาบนั้นไม่รู้ว่าดื่มเลือดผู้คนมาแล้วเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ ตู๋กูซิงหลันแทบจะได้ยินเสียงวิญญาณที่ตายภายใต้คมดาบกรีดร้องออกมาเลยทีเดียว
แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไม สมองของนางพลันเกิดภาพของจีเฉวียนถูกตัดศีรษะกระเด็นจนเลือดพุ่งสูงขึ้นไปเกือบสามเมตร
หืม……..รู้สึกสะใจดีไม่หยอกนะว่าไหม?
ตู๋กูจุนเช็ดเศษแตงหวานบนใบหน้าออกไปอย่างสงบนิ่ง ค่อยส่งสายตาแทนความหมายที่ไม่อาจพูดออกไปได้กับนาง
“น้องเล็ก เจ้ายังเยาว์วัยเรื่องของผู้ใหญ่ไม่จำเป็นต้องให้เจ้ามากังวลใจ เจ้ากินอิ่มนอนหลับได้ก็พอแล้ว”
ตู๋กูซิงหลันมองไปรอบทิศทางรอบหนึ่ง พอแน่ใจว่าไม่มีใครแอบฟังอยู่ ค่อยยื่นหน้าออกไปกระซิบข้างๆ หูของเขาด้วยเสียงแผ่วเบา “พี่ใหญ่เจ้าคะ ท่านคงไม่ได้คิดจะก่อกบฎใช่ไหม? “
ตู๋กูจุนเหลือบมองนางคราหนึ่ง น้องเล็กถูกบีบคั้นจนถึงขนาดเกิดความคิดก่อกบฎขึ้นมา!
ดูท่าเรื่องก่อกบฎฆ่าเจ้าฮ่องเต้สุนัขนั่นทิ้งเสีย ……คงจะต้องเอามาปรึกษากันในเร็วๆ นี้เสียแล้ว
พอเห็นเขาคล้ายลังเลใจ ตู๋กูซิงหลันก็เขยิบเข้าไปใกล้เขาอีกนิด พูดที่ริมหูของเขาด้วยสายตาเป็นประกายว่า “ท่านพี่เจ้าค่ะ ด้วยเงื่อนไขที่มีอยู่ของพวกเราตอนนี้ สามารถมีโอกาสก่อกบฎสำเร็จสักกี่ส่วน? “
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือนางจะได้ไม่ต้องถูกเจ้าฮ่องเต้สุนัขนั่นรังแกอีกต่อไป!
วิญญาณทมิฬ “………” มันคล้ายจะจำได้ว่า มีอยู่วันในค่ำคืนที่มืดมิด สตรีบางคนที่ถูกกักตัวเอาไว้ในตำหนักตี้หัว และได้แสดงออกถึงความจงรักภักดีอย่างหนักแน่นต่อหน้าเจ้าฮ่องเต้สุนัขนั่น
คำพูดเดิมว่าไว้อย่างไรนะ เอ่อ คิดออกแล้ว ก็คือ ‘ตระกูลตู๋กูของข้าจะต้องจงรักภักดีต่อฝ่าบาทตลอดไปทุกชาติภพ’
แล้วดูท่าทางตอนนี้ที่อยากจะรีบร้อนก่อกบฎตั้งตัวเป็นฮ่องเต้หญิงของนางสิ…….ที่แท้ ลมปากของสตรี ก็คือว่าจาผีสาง! โดยเฉพาะตัวมารร้ายอย่างตู๋กูซิงหลันยิ่งแล้วใหญ่ คำพูดที่ออกจากปากของนาง เชื่อถือไม่ได้แม้สักครึ่งคำ
คำพูดของนางทำให้ตู๋กูจุนต้องครุ่นคิดอย่างจริงจังสักรอบหนึ่ง หากว่าเป็นก่อนที่เจ้าฮ่องเต้สุนัขนี่จะขึ้นครองราชย์……โอกาสที่จะก่อกบฎได้ความสำเร็จมีมากถึงแปดส่วน
แต่เพราะตอนนั้นน้องเล็กยังอยู่ในวัง พวกเขาไม่อาจให้เกิดความเสี่ยงได้โดยง่าย ต่อมาเพื่อรักษาชีวิตของน้องเล็กเอาไว้ ท่านปู่ถึงได้ยินยอมส่งมอบกำลังทหารของตระกูลตู๋กูออกไปครึ่งหนึ่ง
โอกาสสำเร็จย่อมลดลงไปมาก อีกทั้งเจ้าฮ่องเต้สุนัขเนี่ยเมื่อขึ้นครองราชย์แล้ว รับเอาบุตรีและหลานสาวของเหล่าขุนนางมากมายเข้าวังไปเป็นพระสนม เสริมฐานอำนาจตนได้มาก
ตอนนี้ เขายังได้รับไข่มุกพระแม่ธรณีไปอีก หากว่าอีกหน่อยครอบครองแดนเป่ยเจียงได้ละก็ คงจัดการได้ยากแล้ว
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ จีเฉวียนผู้นี้……นับตั้งแต่สมัยที่เป็นเพียงองค์ชายสี่ ก็ลอบสร้างฐานกำลังเอาไว้ไม่น้อย
นั่นเป็นฐานกำลังลับของเขา แม้แต่ตระกูลตู๋กูเองยังสืบไม่ออกว่าฐานกำลังกลุ่มนี้ ลึกล้ำมากมายเพียงไหน รู้แต่ว่าไม่อาจประมาทได้
มิเช่นนนั้น……….ด้วยฐานะของเขาซึ่งไม่เป็นที่โปรดปราณของอดีตฮ่องเต้ จะสามารถขึ้นครองราชย์ได้หรือ?
สรุปแล้ว จีเฉวียนผู้นี้คือตัวอันตราย เป็นคนมากฝีมือผู้หนึ่ง
มีฮ่องเต้เช่นนี้ ก็ยิ่งเพิ่มความยากในการก่อกบฎของพวกเขา
หลังครุ่นคิดอยู่ครึ่งค่อนวัน ตู๋กูจุนค่อยกระซิบตอบที่ข้างหูนางว่า…..