ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 63 เขาภาคภูมิใจแทบตายแล้ว!
“คิดคำนวนดูแล้ว โอกาสสำเร็จมีอยู่ประมาณสามส่วน”
” เจ๋งงงง ร้ายกาจขนาดนั้นเชียว? ” ตู๋กูซิงหลันประหลาดใจอย่างยิ่ง นางหลงคิดว่าตนเองต้องมีชีวิตอย่างทุกข์ยากอยู่ในวังหลัง จะต้องเป็นเพราะทางบ้านถูกบีบคั้นอย่างหนัก คิดไม่ถึงด้วยกำลังของทางบ้านในขณะนี้ยังสามารถมีโอกาสก่อกบฎสำเร็จถึงสามในสิบส่วน
นี่ละที่เขาว่า อูฐผ่ายผอมตายยังใหญ่กว่าม้า!
เดิมทีนางคิดว่าโอกาสที่ทางบ้านจะก่อกบฏสำเร็จมีเพียงไม่กี่หน่วยในร้อยส่วนเท่านั้น
ตู๋กูจุนมองดูท่าทางของนาง ทันใดนั้นพลันคิดอะไรขึ้นมาได้ เขาจดจ้องนางเขม็งแล้วซักถามว่า “น้องเล็ก เจ้าบอกพี่ใหญ่มาตามตรง เจ้ายังคงอาลัยอาวรณ์เจ้าคนไม่ได้เรื่องจีเย่ว์นั่นหรือไม่? ยังคิดจะช่วยเขาชิงบัลลังก์อีกไหม? “
“อ๋า? ตู๋กูซิงหลันงงงันไปเล็กน้อย ผ่านไปพักใหญ่ถึงได้คิดออกว่าเจ้าของร่างเดิมเคยมีคนรักเก่าเป็นบุรุษหนุ่มโฉมงามจีเย่ว์
“เจ้าเป็นองค์หญิงที่ล้ำค่าของตระกูลตู๋กูเรา เป็นเจ้าสุนัขจีเย่ว์นั้นที่ทำผิดต่อเจ้า นับตั้งแต่ที่เขาเห็นบัลลังก์สำคัญมากกว่าเจ้า ยอมให้เจ้าต้องกลายเป็นฮองเฮาองค์ที่สองเป็นต้นมา เขาก็ไม่คู่ควรกับเจ้าอีก ต่อให้เจ้ารักเขามากมายจนจะเป็นจะตาย พี่ใหญ่ก็ไม่เห็นด้วยที่จะให้พวกเจ้าอยู่ด้วยกันแล้ว ” ฝ่ามือใหญ่โตของตู๋กูจุนจับกระชับหัวไหล่ของนางไว้ อยากจะมองดูตาของนางให้รู้แน่ชัด
หากว่าก่อนนั้น ตระกูลตู๋กูของพวกเขาก่อกบฏละก็ ย่อมต้องยกอี้อ๋องขึ้นเถลิงราชสมบัติ เพราะองค์หญิงน้อยของพวกเขาและอี้อ๋องมีใจผูกพันกันตั้งแต่เล็ก มองแต่เขาเท่านั้น ให้อี้อ๋องได้ขึ้นครองราชย์ เป็นความปรารถนาของน้องเล็กมาโดยตลอด
แต่ว่าตอนนี้ หากตระกูลตู๋กูของพวกเขาคิดจะก่อกบฏ จำเป็นจะต้องล้มล้างตระกูลจีซะ แล้วขึ้นครองบัลลังก์เสียเอง ต่อให้ต้องให้น้องเล็กไปเป็นฮ่องเต้หญิง ก็จะไม่ยอมให้จีเย่ว์นั่นได้สบาย
จีเย่ว์รังแกน้องเล็กถึงเพียงนั้น แม้จะให้ไปตายสักพันครั้งก็ไม่นับว่าเกินไป นับจากวันนี้ไปเขาอย่าได้คิดว่าจะมีโอกาสทำร้ายนางแม้สักเล็กน้อย
ตู๋กูซิงหลันเห็นท่าทางของพี่ชายเปลี่ยนเป็นจริงจังขนาดนั้น ก็อดที่จะใจเต้นตึกตักไม่ได้
“พี่ชายเจ้าคะ ข้าจะไม่ยอมโง่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ในโลกนี้จะยังมีบุรุษใดมาเปรียบเทียบกับท่าน พี่รองและท่านปู่ได้อีก”
จริงสิ มีครอบครัวเช่นนี้แล้ว นางจะยังต้องการความรักฉันหนุ่มสาวอีกหรือ มีชายคนรักไปทำไม?
อยู่บ้านเป็นองค์หญิงน้อยไปชั่วชีวิตไม่ดีตรงไหน? จำเป็นต้องออกไปให้เหนื่อยกายเหนื่อยใจด้วยหรือ? ยังไงซะไม่มีรักก็ไม่ถึงกับต้องตายเสียหน่อย
พอนางพูดจบลง บุรุษร่างใหญ่โตเช่นตู๋กูจุนถึงกับตกตะลึงไปแล้ว จากนั้นน้ำตาของเขาก็รินไหลดุจสายน้ำ
พวกเจ้าฟังสิ น้องเล็กบอกว่าอะไรนะ?
บุรุษที่ไหนอะไรก็สู้พวกเขาไม่ได้!
นี่เป็นคำพูดของน้องเล็กจริงๆ หรือ? ก่อนหน้านี้ แม้แต่ท่านปู่ยังไม่อาจด่าว่าจีเย่ว์สักครึ่งคำ องค์หญิงน้อยที่พวกเขาทะนุถนอมไว้กลางฝ่ามือมาตลอด กลับเอาแต่เทิดทูนจีเย่ว์ไว้ในหัวใจ เขาไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่า สักวันหนึ่งจะสามารถได้ยินน้องเล็กพูดคำเหล่านี้ออกมา!
เขาภาคภูมิใจแทบตายแล้ว!
“พี่ใหญ่เจ้าคะ ท่านไม่เป็นไรใช่ไหม? ” ตู๋กูซิงหลันเองก็ตกใจเช่นกัน เพราะปฎิกิริยาที่บุรุษผู้องอาจตรงหน้านี้มีขึ้นดูท่าจะรุนแรงไปแล้ว
ตู๋กูจุนได้แต่ปาดเช็ดน้ำตา แม้แต่เสียงที่กล่าวออกมาก็แหบพร่า “พี่ใหญ่ไม่เป็นไร พี่ใหญ่เพียงแต่ซาบซึ้งใจแล้ว “
เดิมทีเขาตระเตรียมไว้ว่าจะหว่านล้อมเชิงบีบบังคับนาง คิดไม่ถึงว่าน้องเล็กกลับปล่อยวางได้นานแล้ว ท่าทางที่รู้ความเช่นนี้ไม่รู้ว่าจะต้องผ่านความเจ็บปวดเพียงใดถึงกลายเป็นเช่นนี้ได้
ดูแล้วพาลให้ผู้คนต้องปวดใจนัก เขาลูบไล้ศีรษะนางแผ่วเบา “องค์หญิงน้อยที่น่าสงสารขอพี่~ ท่านปู่และพี่ๆ จะอยู่เคียงข้างเจ้าตลอดไปเอง”
เรื่องที่พวกเขาคำนวนผิดพลาดมากที่สุดในชีวิตนี้ ก็คือการที่ปล่อยให้นางต้องเจ็บช้ำใจเพราะความรักนั่นเอง ทำให้นางต้องตกอยู่ในกองเพลิงของวังหลวง
ต่อไปหากว่ามีบุรุษใดคิดเข้าใกล้น้องเล็กล่ะก็ จะต้องผ่านดาบทลายภูผาของเขาเสียก่อน! ต่อให้น้องเล็กเองจะเป็นฝ่ายชมชอบก็ไม่เว้น!
ว่าแล้ว เขาพลันคิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เขาปาดน้ำตาทิ้งไป สองคิ้วขมวดขึ้น จดจ้องนางพลางถามว่า “น้องเล็ก ที่เจ้ายอมถอดใจจากจีเย่ว์ คงไม่ใช่เพราะเปลี่ยนไปชอบพอเจ้าสุนัขจีเฉวียนนั่นหรอกนะ? “
ความคิดนี้ทำให้แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังตกใจไม่น้อย เพราะว่าในงานเลี้ยงเมื่อคืนนั้น ท่าทีของน้องเล็กและฮ่องเต้ดูไปคล้ายจะมีลับลมคมในอยู่ไม่น้อย ไม่เพียงแค่นั้น น้องเล็กยังช่วยเจ้าฮ่องเต้สุนัขนั่นจัดการกับรองมหาเสนาฯ อีกด้วย เช่นนี้ยังไม่นับว่าใกล้ชิดสนิทสนมกันอีกหรือ?
เจ้าฮ่องเต้สุนัขจีเฉวียน ยังน่ารังเกียจกว่าเจ้าจีเย่ว์นั่นอีก!
“นั่น นั่นจะเป็นไปได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ พี่ใหญ่ ท่านเห็นข้าเป็นพวกจิตวิปริตชอบความรุนแรงหรือไง? ” ตู๋กูซิงหลันโอดครวญ ดูท่าท่างพี่ใหญ่จะมีจินตนาการมากไปแล้ว
“หากว่าข้าชอบเขา ไหนเลยจะยังคิดกบฏได้อีก? “
นางตอบแล้วเสริมว่า “มาๆๆๆ พวกเรามาปรึกษาหารือเรื่องก่อกบฏกันเถอะ~ ไม่รู้ว่าไข่มุกของพระแม่ธรณีนั่นจะมีประโยชน์อะไรกับเราบ้างหรือไม่ จะช่วยให้โอกาสกบฏได้สำเร็จเพิ่มขึ้นมากหรือไม่? “
เพราะว่านี่คือแผนที่ฉบับสมบูรณ์ของเขตแดนเป่ยเจียง ที่สำคัญที่สุดคือมีแผนที่เหมืองทองคำดำอยู่ในนั้น หากว่าสามารถยึดเอาเหมืองทองคำดำมาได้ละก็ เรื่องการสร้างอาวุธก็คงจะไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป
มือของตู๋กูจุนยังลูบไล้อยู่บนศีรษะของนาง เมื่อเห็นประกายตาที่สดใสของนาง เขาถึงได้วางใจลงได้ ไม่ได้ชอบไอ้จีเฉวียนนั่นก็ดี
ครั้นแล้วเขาถึงค่อยยิ้มออกมาได้ “นี่มันเป็นเรื่องของเหล่าบุรุษ เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลใจ น้องเล็ก ออกมานอกวังครั้งนี้ พวกเราก็อย่ากลับไปอีกเลย”
เห็นน้องเล็กของตนเองมีความมุ่งมั่นตั้งใจแล้ว เขาก็รู้สึกว่าช่างเป็นเรื่องดีเหลือเกิน ได้เห็นว่านางมิได้อ่อนแอดังแต่ก่อน ตู๋กูจุนก็ดีใจยิ่งนัก
ตู๋กูซิงหลันครุ่นคิดอยู่สักพัก ” ไม่ได้หรอกนะเจ้าคะ พี่ใหญ่ ตอนนี้โอกาสทำสำเร็จของพวกเรามีแค่เพียงสามส่วนเท่านั้น หากว่าข้าไม่กลับไป นั่นไม่เท่ากับกระตุ้นความสงสัยของฮ่องเต้สุนัขนั่นหรือไง? คนผู้นั้นเป็นคนคิดมาก อารมณ์ร้ายกาจ ทั้งยังโหดร้ายอย่างยิ่ง ในขณะที่เรายังไม่มีความมั่นใจเต็มร้อยละก็ จำต้องระมัดระวังให้มากไว้”
ตู๋กูจุนแสนประหลาดใจหรือเป็นเพราะว่านางอยู่ในตำหนักเย็นนานเกินไป น้องเล็กที่เคยเอาแต่เล่นไปวันๆ ก็กลายเป็นคนที่เฉลียวฉลาดรู้ความแล้ว
หากว่าท่านปู่และน้องสองได้กลับมาเห็นล่ะก็ จะต้องยินดีชนิดที่ยิ้มไม่หุบเลยทีเดียว ดูสิน้องเล็กของพวกเขาในยามนี้เก่งกาจเพียงไร! รู้จักคาดคำนวนจิตใจผู้คนแล้ว
“เพราะฉะนั้นนะเจ้าคะ งานของพี่ใหญ่ชิ้นนี้ก็อย่าได้รีบร้อน พวกเรายังมีเวลาอีกมาก ในนอกร่วมประสาน…..” ตู๋กูซิงหลันพูดไป สมองก็เริ่มครุ่นคิดวางแผนการกบฏแล้ว
ตู๋กูจุนรู้สึกว่าน้องเล็กจะเข้าใจสิ่งใดผิดไปแล้ว งานชิ้นนี้ของเขาไม่ใช่เรื่องก่อกบฏ แต่ต้องไป…….
วิญญาณทมิฬที่ได้ยินเรื่องก่อกบฏมาตั้งแต่ต้น “…..” พวกเจ้าปรึกษาเรื่องก่อกบฏกันอย่างเปิดเผยเช่นนี้มันจะดีหรือ? ทำไงดีน้า มันชักรู้สึกสงสารเจ้าฮ่องเต้สุนัขนั่นแล้วสิ
หลังจากมัวแต่สนทนากันเรื่องกบฏจนวุ่นวาย ตู๋กูจุนพลันคิดเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “ใช่แล้วน้องเล็ก ก่อนกลับมาเมืองหลวงครั้งนี้ ท่านปู่สั่งให้ข้ามอบอะไรให้เจ้าอย่างหนึ่ง”
เรื่องนี้ท่านปู่เน้นย้ำกับเขาอย่างหนักแน่น จำเป็นต้องส่งให้ถึงมือน้องเล็กให้ได้
เพราะมัวแต่คุยกับนางเรื่องกบฏ จนเกือบจะทำให้ลืมเรื่องสำคัญไปเสียแล้ว
“หืม? ” ตู่กูซิงหลันแสนจะประหลาดใจ
พูดไม่ทันขาดคำก็เห็นตู๋กูจุนถอดรองเท้าของเขาออกมา แล้วก็ล้วงเอาอะไรสีดำๆ ก้อนหนึ่งออกมาจากถุงเท้า
เขาไม่แม้แต่จะทำความสะอาดมันสักเล็กน้อย ก็หยิบมาวางไว้บนฝ่ามือของนาง “พี่ใหญ่เกรงว่าจะทำหาย เมื่อคืนจึงไม่ได้ถอดรองเท้าเลย เห็นไหมว่าเก็บรักษาไว้อย่างรอบคอบถึงเพียงไหน มา เจ้าเก็บเอาไว้ให้ดี”
ของสีดำชิ้นนั้นยังคงระอุอุ่นอยู่ มีไอร้อนกำจายออกมา…..และกลิ่นที่แสบจมูก
ตู๋กูซิงหลัน “………” พี่ใหญ่ ท่านจะมากจะน้อยก็เป็นถึงแม่ทัพผู้พิชิต ไยจึงได้มักง่ายเช่นนี้?
ผ่านไปอีกพักใหญ่นางถึงได้ใช้ปลายนิ้วดุจกล้อยไม้คีบสิ่งนั้นขึ้นมา ผ้าสีดำที่ห่อหุ้มไว้ก็หลุดออก เผยให้เห็นภายในที่…..
——
คำคมวันนี้:
“瘦死的骆驼比马大” อูฐผ่ายผอมตายยังใหญ่กว่าม้า! = สุภาษิตจากเรื่อง ‘ความฝันในหอแดง ‘ หมายถึงชาติตระกูลที่ยิ่งใหญ่ถึงจะล้มลงไป แต่อย่างไรยังมีด้านที่แข็งแกร่งหลงเหลืออยู่