ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 64 ไม่พอใจข้า แต่ก็ทำอะไรข้าไม่ได้
หืม? นี่มันคือแป้งขาวนึ่งขนาดเท่าไข่ไก่ลูกหนึ่ง?!
รู้ละ อาหารพี้นเมืองของเป่ยเจียงหรือไง ท่านปู่อยากจะส่งมาจากแดนไกลให้นางได้ชิม?
ตู๋กูจุน “…..” หากรู้ตั้งแต่แรกว่ามันเป็นของกินละก็ เขาคงไม่ใส่ไว้ในถุงเท้าหรอก…..ท่านปู่คงไม่ได้หยอกเขาเล่นใช่หรือไม่? เดินทางรีบร้อนจนสองเท้ามีแต่แผลพุพอง ก็เพื่อให้เอาของเล่นชิ้นนี้กลับมาหรือไง?
ใครไหนเลยจะรู้ ยามที่ท่านปู่มอบให้เขานั้น กลับใช้ผ้าสีดำห่อเอาไว้อย่างแน่นหนา ทั้งกำชับกำชาไม่ให้เขาแอบดูแม้แต่น้อย
เขายังนึกว่าเป็นสมบัติล้ำค่าอันใดเสียอีก ก็แค่ก้อนแป้งก้อนหนึ่งไหงไม่บอกกันเล่า ไอ้ของพรรณเนี้ยขอเพียงน้องเล็กชอบกิน เขาจะหอบเอามันมาให้หมดเป่ยเจียง
“น้องเล็ก ทิ้งมันไปเถอะ กินไม่ได้แล้วล่ะ” ตู๋กูจุนสีหน้าไม่น่าดู ด้วยกลัวว่าจะทำให้องค์หญิงน้อยของบ้านขุ่นเคือง
ตู๋กูซิงหลันถือแป้งแข็งๆ ก้อนนั้นเอาไว้ในมือ นางไม่ทันจะทิ้งไป ก็เห็นเจ้าวิญญาณทมิฬนั่นกระโดดดึ๋งๆ เข้ามาในอ้อมอกของนาง ร้องออกมาคำหนึ่งก็งับลงไป “ข้าไม่ไหวแล้ว อุ๊แหวะ! “
ตู๋กูซิงหลัน “……….” อ้าวไม่ไหว แล้วเจ้ากินมันไปได้ยังไง?
“เจ้าคงไม่เชื่อข้าหรอก ไอ้ก้อนแป้งกลมๆ เนี่ยมีอะไรบางอย่างที่ดึงดูดใจอั๊วสุดชีวิต แต่อั๊วเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร ….” เจ้าวิญญาณทมิฬแหวะไปก็พูดไปพลาง ดวงตากลมโตยังไม่วายจ้องมองส่วนที่เหลืออยู่
ตกลงว่าเป็นอะไรกันแน่ที่ดึงดูดมันถึงเพียงนี้? ไอ้กลิ่นที่เหม็นคาวเหมือนกับปลานั่นนะหรือ?
จากมุมมองของตู๋กูจุนนั้น คล้ายกับว่าไอ้ก้อนแป้งนั้นจะหายไปมุมหนึ่ง คราวนี้เขายิ่งรู้สึกไม่ดีขึ้นไปใหญ่ “น้องเล็ก ฟังพี่เถอะนะ มันกินไม่ได้แล้ว”
เขาได้ฟังเชียนเชียนเล่าว่า ตอนที่อยู่ในตำหนักเย็นนั้น น้องสาวเคยกินแม้กระทั้งเศษเผือกที่คัดทิ้ง…………..
คงจะไม่ใช่ว่าไปติดใจรสชาติแบบนั้นหรอกนะ?
ตู๋กูซิงหลันไม่พูดไม่จา เพียงแต่เพ่งมองก้อนแป้งบนมือนั่น เมื่อถูกเจ้าวิญญาณกัดไปมุมหนึ่ง ก็ทำให้เห็นว่าข้างในมีอะไรอยู่
นางใช้ปลายนิ้วมือฉีกออก ถึงได้พบว่าก้อนขาวๆ นั่นทำจากแป้งข้าวเหนียว ภายในแป้งนั่นมีกุญแจทองแดงอยู่ดอกหนึ่ง
เมื่อได้เห็นกุญแจทองแดง ก็พลักรู้สึกได้ถึงธาตุหยินที่เข้มข้นกระจายออกมา จนบรรยากาศทั่วทั้งห้องเปลี่ยนเป็นอึมครึมขึ้นมาทันที ราวกับว่าเพียงครู่เดียวในห้องก็เต็มไปด้วยดวงวิญญาณผีสางหลอกหลอนมากมาย
มิน่าละ…….ท่านปู่ถึงได้ซ่อนมันไว้ในก้อนแป้งนึ่ง แป้งข้าวเหนียวสามารถปิดกั้นธาตุหยินได้ คงเป็นเพราะเขาเกรงว่าตู๋กูจุนพกพาสิ่งนี้ไว้กับตัวจะดึงดูดสิ่งอัปมงคลให้เข้ามาหา ถึงได้ต้องทำเช่นนี้
ลูกกุญแจนี่ดูเก่าแก่าโบราณอย่างมาก ตัวกุญแจสลักไว้ด้วยลวดลายที่ซับซ้อน ตู๋กูซิงหลันมองดูมันอย่างละเอียด ทันใดนั้นสีหน้านางก็พลันเปลี่ยนไป
แม้แต่เจ้าวิญญาณทมิฬเองก็ทำตาโตขึ้นมา มันแทบจะไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง
และเพราะอยากจะมองดูให้ชัดเจน มันแทบจะเอาหน้าเข้าไปปะติดอยู่บนกุญแจทองแดงดอกนั้น “ลวดลายพวกนี่….ไม่ใช่ว่าเป็น…หยกสรรพชีวิตหรือ?
หยกสรรพชีวิตต่อให้เป็นของในโลกโน้นก็ยังถือว่าเป็นสมบัติที่ทุกคนต่างจดจ้องรอตะครุบกันทั้งนั้น
หยกสรรพชีวิตถึงกับปรากฎขึ้นในโลกมิตินี้ได้ ไม่น่าเล่าเมื่อครู่มันถึงได้รู้สึกถึงแรงดึงดูดใจจากไอ้ก้อนแป้งกลมๆ นั่น กุญแจดอกนี้มีน้ำหนักมากพอสมควร ถึงแม้ถูกซ่อนอยู่ในรองเท้าของตู๋กูจุนอยู่นาน เมื่อวางไว้บนฝ่ามือกลับให้ความรู้สึกเย็นซ่านไปจนถึงกระดูก แผ่กระจายธาตุหยินอย่างรุนแรง
ตู๋กูซิงหลันวางกุญแจไว้กลางฝ่ามือ หลับตาลงครู่หนึ่ง เพียงชั่วครู่เดียวก็ถูกกระแสธาตุหยินนั่นโอบล้อมเอาไว้ทั่วทั้งร่าง เส้นผมทั้งหมดปลิวกระจายขึ้นมาโดนปราศจากสายลมเกื้อหนุน กระแสความเย็นขุมหนึ่งแทรกซึมเข้าสู่หัวใจ
กุญแจทองแดงดอกนี้ไม่ใช่หยกสรรพชีวิต แต่ว่าเป็นสิ่งที่เกี่ยวพันกับหยกสรรพชีวิตอย่างแน่นอน
ทันใดนั้นนางพลันลืมตาขึ้นมา ดวงตาดอกท้อแฝงกระกายเหน็บหนาวอย่างไม่อาจซ้อนเร้น ความเหน็บหนาวนี้คล้ายมีอยู่จริงจนสามารถสัมผัสถึงได้ และสร้างความเจ็บปวดต่อร่างกาย
แม้แต่ตู๋กูจุนที่ผ่านสงครามมาอย่างโชกโชนยังอดจะรู้สึกสั่นสะท้านไม่ได้ รอบตัวของน้องเล็กราวกับมีขุมพลังอย่างโอบล้อมไปทั่วทั้งร่าง
“ผู้เฒ่านั่นใช้ได้เลยทีเดียว ถึงกับมีสิ่งของเช่นนี้ อั๊วคิดๆ ดูแล้ว โลกมิตินี้ก็คงจะไม่ธรรมดา” ดวงตากลมโตของมันส่องประกาย มันเช็ดมืออวบอ้วนไปมา “หลันหลัน พวกเราหาเวลาสักวันเอากุญแจนี้ไปจับปีศาจมารร้ายกันเถอะ ผู้ยิ่งใหญ่อย่างข้าหิวจนท้องกิ่วเป็นแผ่นกระดาษแล้ว…”
ตู๋กูซิงหลัน “…..” ถึงจะมีแต่วิญญาณ แต่อย่างเจ้ามันก็วิญญาณอ้วน กลมจนกลิ้งเป็นลูกบอลได้แล้ว ผอมเป็นแผ่นกระดาษอะไรนั่น ดูไม่ได้เกี่ยวกับเจ้าเลยในชาตินี้ เข้าใจนะ
แต่ว่าท่านปู่มอบกุญแจทองแดงที่แกะสลักลายหยกสรรพชีวิตเอาไว้ให้นางนี่มันหมายความว่าอะไร? แล้วเขาไปได้กุญแจนี่มาจากที่ใดกัน?
ครู่ต่อมานางค่อยหันไปมองดูพี่ชายที่มีทีท่ากังวลไม่วาย พลางถามว่า “พี่ใหญ่เจ้าคะ ท่านปู่ยังฝากคำพูดใดไว้ให้ท่านบอกข้าอีกหรือไม่? “
ตู๋กูจุนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ท่านผู้เฒ่าบอกว่านี่เป็นสิ่งของที่ท่านย่าเหลือไว้ให้เจ้า ให้เจ้ารักษาไว้ให้ดี “
“ท่านย่าหรือเจ้าคะ? ” ตู๋กูซิงหลันรู้สึกประหลาดใจอยู่ไม่น้อย ท่านย่าของร่างเดิมนี้ก็คือ เจียงเย่ว ซึ่งจากโลกนี้ไปนับสิบปีแล้ว ………นางเกี่ยวข้องอะไรกับหยกสรรพชีวิตด้วย?
ตอนที่ท่านย่าจากโลกนี้ไปนั้น เจ้ายังเล็กอยู่มาก คงจะจดจำอะไรไม่ได้แล้วละมั้ง ” ตู๋กูจุนส่ายหน้าน้อยๆ “ยามที่ท่านย่ายังมีชีวิตอยู่ ก็รักใคร่เอ็นดูพวกเรามาก ในเมื่อเป็นสิ่งที่ท่านย่าลงเหลือเอาไว้ให้เจ้า จะต้องไม่ทำร้ายเจ้าอย่างแน่นอน”
“อืม ข้าจะรักษาเอาไว้ให้ดีเจ้าค่ะ ” ตู๋กูซิงหลันพยักหน้ารับ พรุ่งนี้ก็จะเป็นวันครบรอบการจากไปของท่านย่าเป็นปีที่สิบ บางที หากนางนำกุญแจดอกนี้ติดไปด้วย ก็อาจจะได้รับประโยชน์อะไรบางอย่างก็ได้?
พอตู๋กูจุนไม่ทันสังเกต นางก็ลอบหยิบเอายันต์เหลืองแผ่นหนึ่งมาห่อกุญแจไว้ ของสิ่งนี้มีพลังธาตุหยินมาก อาจชักนำสิ่งอัปมงคลเข้ามาได้ง่ายๆ
พอนางพึ่งจะเก็บของไป ก็ได้ยินเสียงแม่นมหลี่ส่งเสียงร้องเชิญดังมาจากภายนอก “คุณชายใหญ่เจ้าคะ สำรับอาหารเย็นจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว นายหญิงผู้เฒ่าให้มาเชิญท่านและไทเฮา ไปยังหอชุ่ยหลิวเกอ”
เชียนเชียนที่เฝ้าอยู่นอกประตูฟังแล้วก็ขมวดคิ้วก่อนใครเพื่อน แม่นมหลี่คนนี้เป็นสาวใช้ใหญ่คนสนิทของนางเจียงซื่อหรือเจียงเหม่ยหยู่
ครั้งก่อนที่ติดตามเจียงเหม่ยหยู่เข้าวังไปรังแกนายหญิงก็คือนาง
คราวนี้ยังมีหน้ามานี่อีก?
“ข้าไม่สน แม่ทัพเช่นข้าไม่ได้ขาดแคลนอาหาร” ตู๋กูจุนสีหน้าเย็นชา
“ฝ่าบาททรงประทานอาหารทะเลล้ำค่ามาโต๊ะหนึ่งเจ้าค่ะ ให้หลี่กงกงนำมาด้วยตนเอง รับสั่งว่าไทเฮาอยู่ในวังเสวยจนเคยชินแล้ว ทรงเกรงว่าพึ่งกลับมาบ้านจะไม่คุ้ยเคยอยู่บ้าง คุณชายใหญ่เจ้าคะ ในเมื่อเป็นรับสั่งก็ไม่ควรที่จะปฎิเสธนะเจ้าคะ? ” แม่นมหลี่ที่อยู่ด้านนอกทำสีหน้าลำบากใจ
ตู๋กูซิงหลัน “……” ตอนนางอยู่ในวังเคยได้กินอาหารทะเลของหายากอะไรที่ไหนกัน? เจ้าฮ่องเต้สุนัขต้องมาคิดจะทำเรื่องเอาหน้าขนาดนี้ จะปวดใจบ้างไหมนะ?
ว่าแล้วแม่นมหลี่ก็กล่าวเพิ่มอีกว่า “อีกอย่างหนึ่ง พรุ่งนี้ก็จะเป็นวันรำลึกถึงนายหญิงผู้เฒ่าแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าอยากจะปรึกษาท่านเกี่ยวกับพิธีการในงานรำลึก จึงขอเชิญท่านแม่ทัพและไทเฮาไปสักหน่อย”
ตอนนี้นางรู้จักระมัดระวังกิริยามารยาท ไม่เหมือนกับวันนั้นที่ติดตามเจียงเหม่ยหยู่ไปอาละวาดในตำหนักเย็นแม้แต่น้อย
ตู๋กูซิงหลันหรี่ตาดู ก่อนที่พี่ใหญ่จะปฎิเสธออกมา ก็เปิดประตูออกไป แย้มยิ้มหัวเราะ “เจ้ากลับไปบอกอนุเจียงซื่อ เรากับพี่ชายอีกสักครู่จะไป”
คำ’อนุเจียงซื่อ’นั้น แม่นมหลี่ได้ฟังก็ร้อนหูขึ้นมาทันที
แต่นางไม่อาจพูดอะไรได้ จึงเพียงแต่ขยับตัวคำนับ “น้อมรอคุณชายใหญ่และไทเฮาเสด็จไปเพคะ”
รอจนแม่นมหลี่ไปแล้ว คิ้วที่ขมวดของตู๋กูจุนก็ยังคงไม่คลายออก เขาเดินมาหยุดอยู่ที่ข้างกายตู๋กูซิงหลันถามว่า “น้องเล็ก ไม่ใช่ว่าแต่ไหนแต่ไรเจ้าไม่ชอบอนุเจียงซื่อหรอกหรือ? “
“แต่ข้าชอบที่ นางไม่พอใจข้า แต่ก็ทำอะไรข้าไม่ได้มากกว่านิเจ้าคะ ” ตู๋กูซิงหลันเผยรอยยิ้มให้เขา พลางหัวเราะเบาๆ “พี่ใหญ่เจ้าคะ ไปกันเถอะ”