ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 643 เจ้าก็แซ่เยี่ยเช่นกัน
ถึงแม้ว่าตัวเยี่ยเฉินเองจะมีอนุมาแล้วสองร้อยสี่สิบเก้านาง…..
ถือเป็นผู้ชำนาญการในการตอกเสาเข็ม แต่เขาก็ยังคงรู้สึกว่า หากถกเรื่องความไร้ยางอาย ตู๋กูซิงหลันยังเหนือกว่าอีกขั้นหนึ่ง
คงต้องเรียกว่าต่างก็รู้ไส้กันดีล่ะมั้ง
มังกรตัวอื่นๆอีกเก้าตัวล้วนเป็นพวกสุภาพชนที่ทรนงองอาจด้วยกันทั้งนั้น
ตอนนี้มิว่าตู๋กูซิงหลันจะพูดเรื่องใดออกมา พวกมันต่างก็รับฟังอย่างตั้งใจ ครุ่นคิดอย่างละเอียดรอบคอบ
พอได้ฟังว่าตู๋กูซิงหลันกำลังโศกเศร้าที่หน้าอกตัวเองใหญ่ไม่พอ มังกรทั้งเก้าถึงกับคิดหาคำแนะนำที่แก้ปัญหาได้อย่างตรงประเด็นออกมาได้
“เผ่ามังกรของพวกเราก็เหมือนกับเผ่ามนุษย์ สตรีเมื่อแต่งงานไปแล้ว พอได้รับความรักใคร่จากสามีบ่อยครั้งเข้า หน้าอกก็จะโตขึ้นมาเอง ท่านเจ้าวังมิต้องเป็นกังวลมากจนเกินไป”
ตู๋กูซิงหลัน “ ! ! !”
ไม่ใช่แล้ว นี่พวกเจ้ายังคิดจะสนทนาเรื่องนี้กันต่ออีกหรือ?
นี่ยังไม่รู้สึกตัวว่าคุยกันอยู่บนเส้นทางที่หมิ่นเหม่เพียงพออีกหรือ!
จะบ้าตาย คนอื่นเขาหน้าม้านกันไปหมดแล้ว
ย่อมไม่เพียงแค่นี้อยู่แล้ว มังกรทั้งเก้าตัวช่วยกันลากพระตำหนักหลิงเซียวเป่าเตี้ยนมานานถึงหนึ่งหมื่นปี ต่างก็สามัคคีรู้ใจกันมานานแล้ว
หลังปลอบใจแล้ว ก็ยังชื่นชมยกย่อง ชมมันสุดลิ่มทิ่มประตู
“ท่านเจ้าวังสคราญล้ำเป็นยอดพธูของบ้านเมือง พวกเราทั้งหลายไม่เคยพบสตรีใดในเผ่ามังกรงดงามเช่นท่านมาก่อนเลย หน้าอกใหญ่ไปนั้นก็มิใช่ว่าจะงดงาม”
“ท่านเจ้าวังเป็นเช่นนี้งดงามที่สุดแล้ว เพิ่มอีกหนึ่งส่วนก็ถือว่ามากไป น้อยไปหนึ่งส่วนก็ไม่เพียงพอ”
“ท่านเจ้าวังงดงามที่สุด!”
“อกของท่านเจ้าวังเป็นอันดับหนึ่งในหกภพภูมิ!”
เดี๋ยวก่อน พี่น้องทั้งหลาย พวกเจ้าชมว่าข้างดงามนั้นพอได้อยู่ แต่ชมว่าหน้าอกข้าเป็นอันดับหนึ่งในหกภพภูมิ…..
หัวใจของตู๋กูซิงหลันนับว่ายังมีความซื่อตรงอยู่บ้าง นางก้มหน้าลงเหลือบมองดูหน้าอกของตนเองแวบหนึ่ง อย่างมาก็ได้แค่คัพ B เท่านั้นมั้ง
ช่างเป็นฝูงมังกรที่รู้จับปลอบโยนหัวใจให้อบอุ่นได้จริงๆ
เยี่ยเฉิน “……” ความเห็นของเขามันไม่มีประโยชน์จริงๆ
หน้าด้านหน้าทน ไม่รู้จักคำว่าละอาย ไม่รู้ว่าบิดาของเขามีลูกสาวเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร?
“มังกรคราม ทำไมเจ้าไม่พูดไม่จา รีบชมท่านเจ้าวังว่างดงามที่สุดสิ หน้าอกก็น่ามองที่สุดด้วย!”
เยี่ยเฉินที่เก็บปากเก็บคำเงียบงำมาตลอด คิดไม่ถึงเลยว่าจะต้องมาถูกมังกรทั้งเก้าตัวนี้บีบคั้นเข้าให้
เรื่องอื่นเขาอาจจะไม่กล้าโอ้อวด แต่ว่าหากเป็นเรื่องมีสตรีอยู่ในเรือนนับไม่ถ้วนละก็ ท่ามกลางหมู่มังกรในที่นี้ เขายังคงเป็นอันดับหนึ่ง ชนิดที่ไม่มีใครกล้าเรียกว่าเป็นอันดับสองได้เลยกระมั้ง?
เนื่องเพราะว่าตู๋กูซิงหลันยืนอยู่ยนศีรษะของเขา เขาจึงได้แต่เหลือบตามองบนเพื่อดูนางแวบหนึ่ง
ว่ากันตามจริงแล้ว หน้าอกหน้าใจของสตรีหยาบกร้านผู้นี้ก็ออกจะเล็กเกินไปหน่อยจริงๆ
ตอนนั้นที่เขาอยากได้นางมาเป็นอนุหมายเลขสองร้อยห้าสิบ ก็เพียงเพราะใบหน้าของนางเท่านั้น
ถ้าว่ากันเรื่องรูปร่าง (โดยเฉพาะหน้าอก) ในบรรดาอนุของเขามีอยู่หลายต่อหลายคนที่โดดเด่นล้ำหน้ากว่ามากนัก
ในสมองของตู๋กูซิงหลันยามนี้มีแต่เครื่องหมายคำถามอยู่เต็มไปหมด ‘มังกรคราม’ ที่พวกมันเรียกหาคืออะไรกัน?
อย่างน้อยๆก็ควรจะเรียกเยี่ยเฉินว่าไท่จื่อสักคำนี่นา….
เยี่ยเฉินยังมิทันได้พูดอะไรออกไป ก็ได้ยินเสียงมังกรหนึ่งในเก้าถามอีกว่า
“มังกรคราม เจ้ากรอกตามองบนเช่นนี้หมายความว่าอะไร รังเกียจท่านเจ้าวังของพวกเรากระนั้นหรือ?”
เยี่ยเฉิน “! ! ! ”
แม่งเอ้ย ไม่ให้เหลือบมองดูสักแวบหนึ่ง แล้วจะให้เขากะขนาดอกของนางได้อย่างแม่นยำได้อย่างไร?
“หรือว่าในสายตาของเจ้าหน้าอกท่านเจ้าวังของบ้านพวกเราไม่งดงามพอ?”
มังกรทั้งเก้าตนต่างก็จับจ้องมาที่เขาด้วยสายตาเหมือนกับจะกินเลือดกินเนื้อ ราวกับว่าหากเขากล้าพูดคำว่าไม่ออกมาเพียงครึ่งคำ พวกมันก็จะกระโจนเข้ามาบดขยี้เขาให้แหลกเหลว
ความภักดีของเผ่ามังกรนั้นเป็นสิ่งล้ำค่าหายากที่สุด ทั้งยังมั่นคงอย่างไม่มีสิ่งใดสั่นคลอนได้
หากว่าพวกมันยอมรับผู้ใดเป็นนายขึ้นมา เช่นนั้นก็จะยกเอาไว้เป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า และจะไม่ยอมให้ผู้ใดมาดูหมิ่นหรือเหยียดหยามแม้แต่น้อย
ตอนแรกๆยังเรียกว่า ‘ท่านเจ้าวังของพวกเรา’ อยู่เลย ตอนนี้ถึงกับยกย่องให้เป็น ‘ท่านเจ้าวังของบ้านเรา’ ไปแล้ว
ว่าตามจริงแล้ว ตู๋กูซิงหลันรู้สึกชื่นชอบคำว่า ‘ของบ้านเรา’ สามคำนี้มาก
นาง….จะต้องพาพวกเขากลับบ้านให้ได้
นางล้วงเอายาตันในถุงเฉียนคุนของพี่สาวต๋าจี่ออกมา และแบ่งให้กับมังกรทั้งเก้าตน
บาดแผลที่ผิวหนังของพวกเขาสาหัสมากจริงๆ ปากแผลแต่ละแห่งลึกจนเห็นถึงกระดูก
ยาตันของพี่สาวต๋าจี่ล้วนเป็นยาบำรุงพลังวิญญาณชั้นเลิศ หลังจากที่มังกรแต่ละตนได้กินยาตันรักษาแผลภายนอกลงไปตัวละสองเม็ด บาดแผลก็ประสานเข้าหากันอย่างรวดเร็วจนมองเห็นได้จากสายตา
เมื่อนางแจกจ่ายยาตันออกไป มังกรทั้งเก้าตนก็รับเอาไว้ด้วยความยินดีอย่างชัดเจน
เผ่ามังกรก็เป็นเช่นนี้ ไม่รู้จักการเสแสร้ง
บาดแผลภายนอกของพวกมันสาหัสมากจริงๆ จำเป็นต้องอาศัยยาตันในการฟื้นฟู พวกมันต้องได้รับการฟื้นฟูร่างกาย จึงจะสามารถปกป้องท่านเจ้าวังได้ดีกว่าเดิม
นี่คือสิ่งที่พวกมันคิดอยู่ในใจ
ปากของพวกมันขบเคี้ยวยาตันลงไป ขณะเดียวกันก็ส่งเสียงขอบคุณตู๋กูซิงหลันกันอย่างต่อเนื่อง
อีกทั้งยังคอยไล่บี้เยี่ยเฉินให้เอ่ยชมตู๋กูซิงหลันออกมา
เยี่ยเฉินในตอนนี้ไม่กล้าแม้แต่จะเหลือบตามองดูตู๋กูซิงหลันแล้ว หากจะมองดูเขาก็ต้องเหลือบตาขึ้นไป เหลือบตามองบนก็เท่ากับไม่ให้ความเคารพต่อตู๋กูซิงหลัน
ในใจของเขาย่อมรู้สึกว่าบัดซบอย่างยิ่ง
ต่อให้ตีเขาจนตาย เขาก็ไม่คิดจะเอ่ยปากชื่นชมตู๋กูซิงหลัน พวกเขายังเป็นศัตรูกันอยู่นะ!
เขาจึงตัดสินใจว่าจะไม่มองดูเสียกว่า เขาร้องคำรามออกมาพาตู๋กูซิงหลันมุ่งตรงไปยังตำหนักของต้าซือมิ่ง
ที่จริงแล้ววิธีการที่ดีที่สุดก็คือรีบไปจากแดนสวรรค์ แต่ว่าสตรีผู้นี้กลับต้องการไปที่ตำหนักของต้าซือมิ่งให้จงได้ ช่างดื้อรั้นอย่างที่สุด!
เขาสามารถคาดเดาได้เลยว่า ที่ตำหนักของต้าซือมิ่งจะต้องมีการวางตาข่ายฟ้าดินเอาไว้ รอคอยให้พวกเขาไปรับความตาย
เยี่ยเฉินรับฝ่ามือของตี้เสียไปถึงสองครั้งเต็มๆ ที่จริงร่างกายของเขาในตอนนี้เข่าขั้นอ่อนแอมากแล้ว
เพียงแต่เมื่อแปลงร่างเป็นมังกร ก็ยังพอจะฝืนเอาไว้ได้อยู่
ทุกคนต่างกำลังเหาะเหิน แต่เห็นได้ชัดว่าเสียงลมหายใจของเขากลับหนักที่สุด
ในมือของตู๋กูซิงหลันยังคงมียาตันอยู่ แต่เขาก็ทราบดีว่า สตรีผู้นี้จะต้องไม่มีทางมอบยาตันให้กับเขาอย่างแน่นอน
พวกเขาต่างก็เกลียดชังกันจะเป็นจะตาย เพราะว่าต่างก็เป็นศัตรูที่ไม่อาจอยู่ร่วมฟ้าเดียวกันได้ของอีกฝ่าย
แม้ว่าในใจจะกำลังคิดเช่นนี้อยู่ แต่จู่ๆในปากก็ได้กลิ่นหอมของยากระจายออกมา
กลิ่นหอมของยานั้นแทรกซึมเข้าไปในร่างกายของเขา ทำให้ร่างกายทั้งหมดเกิความเปลี่ยนแปลง พลังเพิ่มพูนและหลอมรวมพลังวิญญานอย่างรวดเร็ว แถมช่วยมันฟื้นฟูบาดแผลบนร่างกาย
“นี่เจ้า….” เขาเบิกตาโต ออกจะไม่กล้าเชื่ออยู่บ้าง
อยู่ๆตู๋กูซิงหลันถึงกับให้เขากินยาตันลงไป?
พึ่งจะพูดออกไปคำหนึ่ง ในปากก็เพิ่มยาตันฟื้นฟูชั้นยอดอีกสองเม็ด
กลิ่นหอมของยาและพลังวิญญาณหมุนวนอยู่ภายในร่างกาย ไหลเวียนอย่างลื่นไหลและต่อเนื่อง จากนั้นร่างกายยิ่งทียิ่งเปลี่ยนเป็นเบาสบาย
ทั้งที่อยู่ท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็นของแดนสวรรค์ แต่ว่าร่างกายของเขากลับอบอุ่นอย่างยิ่ง
อยู่ๆ เยี่ยเฉินก็รู้สึกว่าปลายจมูกตนเองแสบร้อนอยู่บ้าง
“เจ้าเองก็แซ่เยี่ย”
ตู๋กูซิงหลันกล่าวประโยคนี้ออกมาเป็นคำสุดท้าย
ประโยคนี้เหมือนกับฟ้าที่ผ่าลงมากลางใจที่ไม่เคยยอมแสดงความอ่อนแอของเยี่ยเฉิน
แค่ตู๋กูซิงหลันให้เขากินยาตัน เขาก็ต้องรู้สึกประหลาดใจมากแล้ว
ประโยคนี้ยิ่งเท่ากับว่าปลุกความสัมพันธ์ทางสายเลือดของพวกเขาขึ้นมา
ว่าแล้ว ก็ได้ยินตู๋กูซิงหลันเอ่ยอีกว่า
“มีแต่ข้าเท่านั้นที่ฆ่าเจ้าได้ ผู้อื่นล้วนไม่มีสิทธิ์”
คำพูดนี้ฟังดูไร้น้ำใจ แต่ว่าหัวใจของเยี่ยเฉินกลับถูกเขย่าจนสับสนไปหมดแล้ว
สำหรับตู๋กูซิงหลันแล้ว นางอาศัยการยึดร่างของเยี่ยเฉินขึ้นมาบนแดนสวรรค์ ลากเขาลงน้ำไปด้วยกัน ทั้งยังกำลังแสวงหาทางหนีรอดจากแดนสวรรค์ด้วยกันอีก
นี่ต้องถือว่าร่วมฝ่าฟันความยากลำบากด้วยกันแล้ว
การตายของมารดา ถือเป็นความแค้นของคนรุ่นก่อน นางจดบัญชีนี้เอาไว้กับฮวาชางสุ่ย
แขนขาของชือหลี ก็ถูกเยี่ยอิงตัดขาดไป เยี่ยเฉินเพียงมองดูอยู่เฉยๆ เขาไม่ได้เป็นคนลงมือ
เขาต้องมาตกระกำลำบาถึงขั้นนี้ก็ถือว่าได้รับการลงโทษแล้ว
ตู๋กูซิงหลันแบ่งแยกบุญคุณความแค้นอย่างชัดเจน
เรื่องของชือหลี นางจดบัญชีแค้นเอาไว้กับเยี่ยอิง
สักวันหนึ่งในภายภาคหน้า นางจะต้องปลุกชือหลีคืนมา และสร้างร่างเนื้อให้นางอีกครั้ง
“ทางที่ดีเจ้าจงสวดมนต์ให้ชือหลีทั้งวันทั้งคืน หากนางไม่อาจคืนกลับมา ข้าจะส่งเจ้าไปร่วมกลบฝัง”
………………………….