ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 65 ฝ่าบาททรงปฎิเสธ
ปีกตะวันตกของศาลาชุ่ยหลิวเก๋อ
สระน้ำใสสะท้อนภาพหอสูง ในสระน้ำปลูกบัวไว้จำนวนมาก ฤดูนี้ดอกบัวโรยราไปหมดแล้ว คงเหลือไว้แต่ใบสีเขียวสดมากมาย
บนศาลาชุ่ยหลิวเก๋อ ตกแต่งด้วยผ้าโปรงบางปลิวไสวเล่นลม เจียงเหม่ยหยู่รอคอยอยู่นานแล้ว นางสวมชุดกระโปรงสีน้ำเงินปักลายงดงาม เก็บงำอารมณ์ภายในเอาไว้อย่างมิดชิด ยามนี้นั่งพักอยู่บนที่นั่งริมราวระเบียงของชุ่ยหลิวเก๋อ ใบหน้าชราเปี่ยมไปด้วยความยินดี
ที่ด้านข้างของนางมีสตรีเยาว์วัยสองคนนั่งอยู่ด้วย หนึ่งในนั้นก็คือ ตู๋กูเหลียน
ยามที่ตู๋กูซิงหลันมองเห็นตู๋กูเหลียนนั้น ก็ถึงกับประหลาดใจอยู่เงียบๆ นางผ่ายผอมกว่าแต่ก่อนไปมาก จนมองเห็นโหนกแก้มบนใบหน้าได้ชัดเจน
แต่กิริยาท่าทางยังคงหยิ่งผยองพาให้นางเห็นแล้วไม่สบอารมณ์อยู่เหมือนเดิม
หลี่กงกงที่ยืนรออยู่ด้านข้างรีบเข้ามาหานางกล่าวว่า “ไทเฮาพะยะค่ะ ฝ่าบาททรงมีพระเมตตา อนุญาตให้เหลียนไฉเหรินกลับมาทำความเคารพเย่วฮูหยินพร้อมกัน”
“เหลียนไฉเหริน เอ๋? ” ตู๋กูซิงหลันเก็บสายตากลับมา หันไปหันไปยิ้มบางๆ กับหลี่กงกง
“ตระกูลตู๋กูกำหราบเผ่าอาปู้ไซได้สำเร็จ ไทเฮาเองก็ทรงเลือกไข่มุกพระแม่ธรณีได้ถูกต้อง สร้างคุณูปการอันยิ่งใหญ่ ฝ่าบาททรงเห็นแก่ความเหนื่อยยาก จึงพระราชทานอนุญาตให้เหลียงไฉเหรินออกจากลานซักล้าง คืนสถานะให้ดังเดิม ทั้งยังอนุญาตให้นางกลับบ้านมาร่วมงานรำลึก ” หลี่กงกงพูดไปเหงื่อมากมายก็ไหลท่วมศีรษะ
ว่ากันตามจริงเรื่องปล่อยเหลียนไฉเหรินออกมา ที่จริงแล้วเป็นความประสงค์ของท่านราชครู
เมื่อยามเที่ยงวันนี้ ท่านราชครูมายังพระตำหนักตี้หัวด้วยตนเอง กราบทูลถวายคำปรึกษากับฝ่าบาทอยู่นาน จนฝ่าบาททรงรับปากในที่สุด
เนื่องเพราะเป็นวันครบรอบปีที่สิบของเย่วฮูหยิน นายท่านผู้เฒ่าตู๋กูยังรับศึกอยู่ที่เป่ยเจียงไม่อาจปลีกตัวกลับมาได้ คุณชายรองตู๋กูก็ต้องไปควบคุมเรื่องน้ำท่วมแต่เพียงลำพัง ลูกหลานตระกูลตู๋กูที่เหลือจึงยิ่งสมควรกลับมาประจำตำแหน่งแห่งที่ เพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อฮูหยินผู้เฒ่า
และจุดที่สำคัญที่สุดก็คือ ยามที่อดีตฮ่องเต้ยังทรงพระชนม์อยู่ ได้ให้ความเคารพเย่วฮูหยินเป็นอย่างมาก ทั้งยังเคยมีรับสั่งให้บรรดาองค์ชายทั้งหลาย ไม่ว่าเมื่อไหร่พึงต้องให้ความเคารพเยว่ฮูหยิน
ดังนั้นถึงแม้ฝ่าบาทจะไม่โปรดตระกูลตู๋กูเพียงใด แต่ในช่วงวันรำลึกถึงเยว่ฮูหยิน ก็ไม่อาจกระทำอันใดที่รุนแรงเกินไปกับตระกูลตู๋กูได้
แต่ว่าเรื่องการปล่อยเหลียนไฉเหรินผู้นี้ออกมา เขาพอจะดูออกว่า ฝ่าบาททรงปฎิเสธ ฝ่าบาททรงรังเกียจเหลียนไฉเหรินผู้นี้อย่างมาก
หากไม่ใช่เพราะท่านราชครูเพียรพยายามกราบทูลอยู่หลายรอบ เกรงว่าชั่วชีวิตนี้ของนางมีแต่ต้องจมอยู่ในลานซักล้างแล้ว
แต่ว่าเหลียนไฉเหรินผู้นี้กับอนุเจียงซื่อกลับไม่รู้จักดูตัวเอง
หลี่กงกงพึ่งกล่าวจบไป เจียงเหม่ยหยู่แย้มยิ้มทั่วใบหน้ากล่าวว่า “ฝ่าบาททรงพระปรีชา หม่อมฉันและเหลียนเอ๋อร์ซาบซึ้งยิ่งนัก”
พูดแล้วนางก็ลุกขึ้น หันมาทางตู๋กูซิงหลันและตู๋กูจุนกล่าวว่า “ซิงหลัน จุนเอ๋อร์ ต้องลำบากพวกเจ้าแล้ว เหลียนเอ๋อร์ถึงได้สามารถออกจากทะเลทุกข์ได้”
ว่าแล้วนางก็หันไปลากชายแขนเสื้อของตู๋กูเหลียน ครู่หนึ่ง ตู๋กูเหลียนค่อยลุกขึ้นอย่างไม่เต็มใจนัก หันมายิ้มให้แต่เพียงผิวหน้า “พี่สาว พี่ชาย ครั้งนี้ขอบคุณพวกท่านมากเจ้าค่ะ เหลียนเอ๋อร์จะต้องจดจำความดีของพวกท่านเอาไว้ อีกหน่อยอยู่ในวังก็จะคอยหนุนพี่สาวอย่างเต็มที่ “
ใช่แล้ว ความทุกข์ยากและถูกดูแคลนที่ได้รับตอนอยู่ในลานซักล้างนั่น ชาตินี้ทั้งชาตินางไม่มีทางลืมได้อย่างแน่นอน
นังตัวร้ายตู๋กูซิงหลัน ช่างมีโชคยิ่งนัก ครั้งก่อนรอดไปได้ไม่เสียโฉม ทั้งยังจับฉีผินเข้าคุกไปด้วย กระทั่งตอนนี้ยังถูกขังอยู่ในคุกอยู่เลย
หากไม่กำจัดนังตัวร้ายนี่ ตัวนางตู๋กูเหลียนคงไม่มีวันเงยหน้าขึ้นได้ ไม่เห็นหรือว่าตอนนี้ฮ่องเต้ทรงยิ่งทียิ่งให้ความสนใจนังตัวร้ายนี่ขึ้นมาแล้ว?
คิดๆ ดูแล้ว แม้แต่เต๋อเฟยที่เย่อหยิ่งยังต้องหน้าหงายเพราะนาง จะเก็บนางคนเลวนี่เอาไว้ไม่ได้เด็ดขาด
ครั้งเห็นตู๋กูซิงหลันไม่กล่าวอะไร เจียงเหม่ยหยู่ก็เสริมขึ้นอีกว่า “หลันเอ๋อร์ พวกเราจะอย่างไรก็เป็นคนบ้านเดียวกัน ก่อนหน้านี้เป็นย่าเองที่ใจร้อน ทำผิดต่อเจ้า เมื่อกลับมาบ้านแล้วย่าเองก็ได้ไตร่ตรองเสียใหม่ ตอนนี้จุนเอ๋อร์ก็กลับมาแล้ว พวกเราครอบครัวเดียวกันก็ต้องรักใคร่ กลมเกลียวกันให้มาก ดีไหม? “
การแสดงออกของเจียงเหม่ยหยู่ในตอนนี้มีแต่ความเมตตาปราณีเสมือนดังเป็นฮูหยินผู้เฒ่าโดยแท้ ไหนเลยจะมีกิริยาร้ายกาจวางอำนาจเหมือนตอนที่ไปตำหนักเย็นคราวนั้น หากไม่ใช่เพราะตู๋กูซิงหลันเคยเห็นนางแยกเขี้ยวกางเล็บมาแล้ว ก็คงจะต้องถูกท่าทางเช่นนี้ของนางหลอกเอาแน่ๆ
ตู๋กูซิงหลันพาลไม่สนใจตอบคำ นางยกกระโปรงขึ้น เดินไปนั่งลงที่เก้าอี้หลักของโต๊ะ พอนั่งลงแล้วก็ไม่ลืมเรียกพี่ชายตัวเองไปนั่งข้างๆ
สีหน้าของเจียงเหม่ยหยู่เย็นชาไปในทันที ฝ่าบาทประทานอาหารเลิศรสมาให้ ยังไม่ใช่เพื่อปลอบประโลมจิตใจของเหลียนเอ๋อร์หรอกหรือ คำพูดที่นางให้แม่นมหลี่พูดไป ก็แค่ทำไปอย่างนั้นเอง นังตัวร้ายนี่ดีนัก คิดหรือว่าฝ่าบาททรงประทานมาให้นางจริงๆ?
นางที่เป็นท่านย่าใหญ่ยังไม่ทันนั่งลง ตัวบัดซบนั่นก็นั่งลงไปแล้ว ทั้งยังนั่งในตำแหน่งหลักของโต๊ะ?!
เจียงเหม่ยหยู่ได้แต่กล้ำกลืนความโกรธนี้ลงไปในท้อง นางยืดตัวขึ้นเดินออกไปนั่งลงที่ข้างกายตู๋กูซิงหลัน ยกมือขึ้นคีบอาหารส่งให้นาง “หลันเอ๋อร์ คงหิวมากแล้วละสิ มาๆ ทานให้มากหน่อย ย่าอยู่กับบ้าน เฝ้ารอเจ้ากลับมาทุกวันเลยนะ~”
พอตะเกียบยกกลับไป ตู๋กูซิงหลันก็หันหน้าไปจดจ้องนาง “ท่านย่าของเราขึ้นสวรรค์สุขสบายไปสิบปีแล้ว เจ้าว่าหากนางยังอยู่ แล้วได้ฟังเจ้าเรียกตัวเองเป็นย่าใหญ่อยู่ทุกถ้อยทุกคำ จะต้องไล่เจ้าออกจากจวนตระกูลตู๋กูในทันทีหรือไม่? “
ขณะที่ตู๋กูซิงหลันพูดออกไป ตู๋กูจุนก็ลูบไล้ดาบทลายภูผาของเขา
นางเจียงซื่อหน้าถอดสี ในดวงตาพลันมีความเกรี้ยวกราดขึ้นมา ตัวเลวร้ายทั้งสองนี้ ผู้อื่นให้หน้าแล้วยังจะไม่รับไว้!
ตู๋กูเหลียนเองก็ชักหงุดหงินจนทนไม่ไหว ดูนังตัวร้ายนั่นทำท่าอวดผยองซิ! นังเฒ่าเจียงเย่วนั่นตายไปก็ต้ังนานหลายปีแล้ว มันยังจะยกมากล่าวอ้างถึงอีก!
จะอย่างไรท่านย่าก็เป็นอนุของท่านปู่ นางเฒ่าเจียงเย่วตายก็ตายไปแล้ว หลายปีมานี้ก็ไม่เห็นท่านปู่รับอนุคนใดเพิ่มอีก ถึงฐานะของท่านย่าจะไม่ได้รับการเลื่อนขึ้นมา แต่อย่างไรนางก็คือสตรีเพียงคนเดียวของท่านปู่ ย่อมต้องถือเป็นประมุขฝ่ายหญิงของจวนตระกูลตู๋กู!
ผู้เยาว์เช่นตู๋กูซิงหลัน มีตาแต่กลับไม่รู้จักเคารพผู้อาวุโสแม้แต่น้อย!
เจียงเหม่ยหยู่สูดหายใจเข้าไปลึกๆ ค่อยฝืนยิ้มออกมา “ข้าเองก็เป็นบุตรสาวตระกูลเจียง เป็นน้องสาวของท่านย่าเจ้า เรียกตนเองเป็นย่าสักคำ ย่อมไม่ถือว่าเกินไปจริงไหม? ยิ่งไปกว่านั้น หากว่าพี่สาวยังอยู่ละก็ ย่อมต้องอยากเห็นพวกเราย่าหลานกลมเกลียวกันไม่ใช่หรือ? “
ตู๋กูซิงหลันหัวเราะเสียงเย็น “เด็กกำพร้าที่ตระกูลเจียงรับมา จะถือว่าเป็นน้องสาวที่ไหนกัน? นั่นเป็นเพราะท่านย่าของข้าใจกว้างมีเมตตารับเจ้าไว้ แต่เจ้ากลับดีนัก ไม่เพียงไม่รู้จักสำนึกบุญคุณ กลับกล้าล่อลวงสามีผู้มีพระคุณของตนเอง ด้านได้ไม่อดตายเป็นอนุอยู่นี่ ทำไม ตอนนี้คิดว่าตนเองกลายเป็นท่านย่าใหญ่แล้วหรือยังไง? “
เรื่องประวัติความเป็นมาเป็นไปของตระกูลตู๋กู ตู๋กูซิงหลันได้ทำการบ้านเอาไว้อย่างดี ท่านปู่นั้นอะไรๆ ก็ดีหมด มีเพียงเรื่องรับอนุนี้เพียงเรื่องเดียว ที่ทำให้ตู๋กูซิงหลันต้องปวดหัว
คำพูดเหล่านี้นับว่าเสียดแทงเจียงเหม่ยหยู่จนเจ็บปวดแล้ว ใช่แล้ว นางเป็นแค่เพียงลูกบุญธรรมของตระกูลเจียง เพราะตอนนั้นใช้มารยาล่อลวงจนได้เป็นอนุของตู๋กูถิง หลายปีมานี้ถึงแม้ตู๋กูถิงจะดีกับนางไม่น้อย แต่ว่าไม่เคยมอบความรักให้นาง
ดังนั้นถึงแม้ว่านังเจียงเย่วตายไปนานหลายปีแล้ว ตู๋กูถิงก็ไม่เคยคิดจะยกให้นางเป็นฮูหยินออกหน้าออกตามาก่อน
นางได้แต่อดทนใช้ชีวิตเฉกเช่นอนุมานานหลายปี ถึงแม้ผู้คนจะรู้ฐานะของนาง แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าพูดออกมา มีแต่นังเด็กเลวนี่เพียงคนเดียวที่สาดเกลือใส่แผลในใจนาง!
“พี่สาว ท่านพูดกับท่านย่าเช่นนี้ได้อย่างไรเจ้าคะ หลายปีมานี้ เพื่อตระกูลของพวกเรา ท่านย่าต้องเหน็ดเหนื่อย ต้องอดทนลำบากมากเพียงไร ท่านรู้หรือไม่? ” ตู๋กูเหลียนเปลี่ยนวิธีการจากปากกล้าด่ากราดที่นางเคยใช้ มาเป็นอ่อนแอเปราะบางแทน