ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 66 คืนร่างเดิมเร็วขนาดนี้เลย?
“จวนที่ใหญ่โตขนาดนี้ การดูแลรักษายุ่งยากขนาดไหนเจ้ารู้ไหม? พอท่านปู่และพวกพี่ชายจากไปแล้ว ทุกคนต่างก็พึ่งพาท่านย่าพยุงครอบครัวเอาไว้ ไม่งั้นเจ้าคิดหรือว่าตระกูลตู๋กูจะยังอยู่ดีได้เพียงนี้? “
“อ่อ ความหมายของเจ้าก็คืออนุเจียงซื่อต้องลำบากมากแล้วงั้นสินะ? ” ตู๋กูซิงหลันยกยิ้มเย็นที่มุมปาก
“ต้องลำบากมากอยู่แล้ว ลำบากอย่างที่เจ้าคิดไม่ถึงเชียวละ” ตู๋กูเหลียนตอบคำ
นางเจียงซื่อก็ทำกิริยาเสมือนน้อยเนื้อต่ำใจ
“ในเมื่อทั้งลำบากทั้งถูกหมิ่นหยาม งั้นเจ้าก็พักซะเถอะ สมุดบัญชีประจำบ้าน และพวกกุญแจคลังสมบัติในเมืองหลวงทั้งหลายก็ส่งมาให้เราทั้งหมด จะอย่างไรเราว่างไม่มีเรื่องต้องทำ ไม่รู้สึกลำบากอะไร”
วาจาประโยคเดียวของตู๋กูซิงหลัน แทบจะทำให้นางเจียงซื่อระเบิดตัวเองแล้ว!
“เจ้าพูดว่าอะไรนะ? ” นางตาโต แทบจะเก็บอารมณ์เกรี้ยวกราดของตนเองไว้ไม่อยู่
คลังสมบัติของตระกูลตู๋กูในเมืองหลวง เป็นสิ่งที่นางใช้ทั้งไม้อ่อนไม้แข็งรบเร้าเอาจากนายท่านผู้เฒ่ามาตั้งเจ็ดแปดปีถึงจะได้มาในที่สุด บัญชีของจวนนั้น เป็นตอนที่นายท่านและเหล่าสายตรงทั้งหมดต้องออกไปรบ ถึงได้ตกมาอยู่ในมือของนาง
จะให้นางคืนให้รึ? ไม่มีทาง!
นางยังต้องการเงินอีกมากไว้ให้บุตรชาย บุตรสาว และหลานชายหลายสาวเอาไว้ใช้!
พวกลูกหลานสายตรงเชิดหน้าชูตาได้ทุกวันนี้ ยังไม่ใช่เพราะนายท่านใช้เงินปูออกไปหรอกหรือ!
หลานๆ ของนางเองก็โดดเด่น แต่เป็นเพราะนายท่านลำเอียง ถึงได้ไม่มีโอกาสไปเจริญรุ่งเรือง
“เฮอะ ฉีกหน้าคืนร่างเร็วจริงนะ? ” รอยยิ้มของตู๋กูซิงหลันยิ่งทียิ่งเยือกเย็น
นางจดจ้องไปยังใบหน้าชราของนางเจียงซื่อ “อนุเจียงซื่อ เจ้านับว่ามีความสามารถมาก ในใจเกลียดเราแทบตาย ยังต้องมาแสดงท่าทางว่ารักเราหนักหนา ไม่เหนื่อยบ้างหรือไง? “
เจียงซื่อ “………” หากไม่ใช่เพราะตู๋กูจุนแบกดาบกลับมา นางจะต้องยอมทนต่อไปอย่างนี้หรือ?
“ตอนนั้นที่อยู่ในตำหนักเย็นก็ฉีกหน้าให้เห็นกันไปแล้ว มาตอนนี้จะเสแสร้งไปทำไม? ” ตู๋กูซิงหลันยังว่าต่อ “ในเมื่อฉีกหน้าออกมาแล้ว ต่อไปยามเจอกับเราต่อหน้า ก็อย่าได้มาพูดจาซี้ซั้วนั่นนี้อะไรอีก เราเกรงว่าสมองที่เดิมก็ไม่ดีอยู่แล้วของเจ้า จะโกรธจนต้องพิการไป”
เจียงซื่อ “!!! “
นังตัวเสนียดที่สมควรตาย!
“อ้อ ใช้สิ ชื่อของเราก็ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะเรียกได้ อนุเจียงซื่อ จดจำฐานะของเจ้าเอาไว้ให้ดี เอามารยาทที่ควรมีออกมา เราเป็นคนนิสัยไม่ดี หากว่าโกรธเคืองขึ้นมา ผลลัพธ์ที่ได้เจ้าคงจะแบกเอาไว้ไม่ไหว”
นางเจียงซื่อโกรธจนกัดฟันกรอด นางอยากจะอาละวาด กลับเห็นตู๋กูจุนหยิบเอาหินลับมีดจากที่ใดก็ไม่รู้ขึ้นมา ลงมือลับดาบของเขาต่อหน้านางอย่างช้าๆ
เสียงกรีดแหลมที่กระทบแก้วหูนั่น ราวกับแท่งเหล็กที่กรีดลงไปบนแผ่นน้ำแข็งในแม่น้ำ หลังคอของนางก็พลันขนลุกวาบขึ้นมา
“อนุเจียงซื่อ คำพูดของน้องข้าเจ้าจงฟังเอาไว้ให้ดี ปฎิบัติตามให้ครบ อย่าได้มาทำท่าเป็นมารดาผู้ยิ่งใหญ่อันใดอีก นายหญิงตระกูลตู๋กูของข้า ก่อนหน้านี้คือท่านย่าเจียงเย่วของพวกรา ต่อไปก็คือน้องสาวของข้าซิงหลัน ข้อนี้เจ้าจงจำไว้ให้ดี”
ตู๋กูจุนหันไปลับคมดาบ หลายปีมานี้พอท่านปู่ดีกับนางเจียงซื่อนั่นหน่อย นางก็ผยองได้เสียขนาดนี้ ไม่รู้จักเลยว่าตนเองที่จริงไร้น้ำหนักเพียงใด
ลมหายใจของนางเจียงซื่ออึดอัดคับข้องอยู่ภายใน ตอนนี้ทำอย่างไรก็ระบายไม่ออก
ยิ่งคิดถึงภาพเมื่อตอนที่ถูกตู๋กูซิงหลันตบตีในตำหนักเย็น โทสะของนางก็ยิ่งพุ่งพล่านจนกดไว้ไม่อยู่
ตอนนี้ยังจะมีตู๋กูจุนเพิ่มขึ้นมาอีก!
จะให้นางต้องอกแตกตายหรือยังไง?
“พวกเราก็ไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักเหตุผล หลายเดือนมานี้เจ้าดูแลบ้านช่องก็ถือว่ามีความดี ก็จะจ่ายเงินเดือนตามฐานะพ่อบ้านให้กับเจ้า สิ่งที่สมควรคืนมานั่น อีกเดี๋ยวข้าจะไปรับด้วยตัวเอง “
ตู๋กูจุนลับดาบเสร็จแล้ว กวาดดาบลงไปส่งเสียงดังฉัวะครั้งหนึ่งก็วางดาบไว้ที่เก้าอี้ด้านข้าง เก้าอี้แกะสลักไม้สาลี่ก็ถูกตัดออกไปมุมหนึ่ง
มองดูเศษไม้ที่ถูกเฉือนออกไปทำให้ตู๋กูเหลียนต้องหุบปากให้สนิทกว่าเดิม ทั้งย่าหลานสองคนรู้สึกคล้ายเกือบจะต้องเสียหัวตนเองไป จนไม่กล้าพูดอะไรออกมา
เจียงซื่อสูดลมหายใจเข้าไปอย่าเจ็บปวด เงียบอยู่นานถึงได้ตอบกลับว่า “หากนายท่านกลับมาทราบว่าพวกเจ้ากระทำต่อข้าเช่นนี้…..”
คำพูดไม่ทันจบลง ก็เห็นตู๋กูจุนขยับดาบทลายภูผาในมือ ห่วงร้อยบนตัวดาบส่งเย็นเยือกเสียงดัง ‘กริ๊ก’
“เจ้าคิดว่าในสายตาของท่านปู่แล้ว เจ้าเทียบได้กับเส้นผมสักเส้นของน้องเล็กไหม? “
คำพูดนี้ทำให้วาจาที่ยังกล่าวไม่จบนางเจียงซื่อต้องหยุดชะงักไป…..นายท่านเอ็นดูรักใคร่นางตู๋กูซิงหลันจนเกินไป เรื่องนี้นางก็รู้อยู่………
นางได้แต่กลืนน้ำลายลงไปอีกอึก ค่อยตอบว่า “บัญชีนั่นวุ่นวาย จำเป็นจะต้องใช้เวลาสะสางสักพัก พวกเจ้าไม่ได้ดูแลบ้าน รีบร้อนเอากลับไปก็มือเท้าปั่นป่วนวุ่นวายไปหมด จะอย่างไรข้าก็มีประสบการณ์อยู่ ยิ่งไปกว่านั้นพรุ่งนี้ก็เป็นวันรำลึกถึงพี่สาว ยังมีหลายสิ่งที่ข้าต้องดูแล พวกเจ้าอายุยังน้อย มีหลายเรื่องที่ไม่เข้าใจ”
“วาจาไร้สาระจะมัวพูดมากไปทำไม? ” ตู๋กูจุนพลันส่งสายตาคมกริบราวกระบี่เล่มหนึ่ง ประหนึ่งมหาโจรที่ฆ่าคนไม่กระพริบตา
นางเจียงซื่อรับแรงกดดันนี้ไม่ได้จำต้องถอยหลังไปทั้งโกรธจนจะกระอักออกมาเป็นเลือดทั้งอยากจะระเบิดอารมณ์ออกมา แล้วไปเถอะ อดกลั้นสักครั้งสงบเอาไว้ก่อน
ถึงอย่างไร พวกมันก็ลำพองไปได้ไม่กี่น้ำหรอก
พรุ่งนี้…….จะต้องมีเรื่องสนุกให้ได้ดูกันแน่
ตู๋กูเหลียนเข้ามาพยุงนางเจียงซื่อไว้ ในดวงตาเปี่ยมไปด้วยความเกลียดชังรุนแรง ตั้งแต่เล็กแต่น้อยนางก็ได้แต่ใช้ชีวิตภายใต้แรงกดดันของพวกสายตรง ดูเอาเถอะ ขนาดตอนนี้นางได้เป็นไฉเหรินของฮ่องเต้ยังต้องถูกรังแก!
นางขอสาบาน สักวันจะต้องกลายเป็นสตรีที่สูงศักดิ์ที่สุดในวังหลัง แล้วเหยียบพวกมันเอาไว้ใต้ฝ่าเท้า ให้ตู๋กูจุน ตู๋กูเจวี๋ย แล้วก็ตู๋กูซิงหลันคุกเข่าร้องขอให้นางไว้ชีวิต!
แต่ว่าอีกเพียงเดี๋ยวเดียว นางก็จะมีโอกาสแล้ว
คราวนี้ตู๋กูซิงหลันเพียงคอยดูอยู่ด้านข้างเท่านั้น หากเป็นยามปกติ เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ นางจะต้องใช้สงครามน้ำลายก่อน ค่อยออกแรงลงมือซ้ำ คิดไม่ถึงเลยว่า พอมีพี่ใหญ่มาเป็นผู้ช่วยคนหนึ่ง แม้แต่สงครามน้ำลายก็ไม่จำเป็นแล้ว
เมื่อคีบอาหารกินไปได้หลายคำ นางค่อยนึกขึ้นได้ว่าที่ด้านข้างยังมีหลี่กงกงยืนเฝ้าอยู่ จึงค่อยกล่าวว่า “หลี่กงกง เมื่อกลับเข้าวังจงอย่าลืมขอบพระทัยลูก….ฮ่องเต้แทนเราด้วย ความกตัญญูของเขาเรารับรู้แล้ว”
หลี่กงกงตอนนี้อยากจะหลั่งน้ำตาเหลือเกิน อีกหน่อยงานใดที่เกี่ยวข้องกับไทเฮาน้อย ฝ่าบาทจะทรงส่งผู้อื่นมาบ้างได้ไหม?
ลองดูสถานการณ์ภายในครอบครัวของตระกูลตู๋กูตอนนี้สิ ….จะปล่อยให้ขันทีเฒ่าอย่างข้าชมดูไปด้วยมันจะดีหรือ? หรือว่าพอยกเท้าออกนอกประตูไปก็อาจถูกพวกตระกูลตู๋กูเชือดปิดปาก?
ครั้นเหลือบไปเห็นดาบใหญ่ของตู๋กูจุนที่แวววาวเล่มนั้น เขาพลันรู้สึกเจ็บคอขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ
พอตู๋กูซิงหลันพึ่งจะพูดจบ ก็ได้ยินตู๋กูจุนเปิดปากพูดขึ้นมาบ้าง “หลี่กงกง เจ้าถูกบรรยากาศอบอุ่นกลมเกลียวในครอบครัวข้ากล่อมจนซึ้งขึ้นมาบ้างหรือ? ถึงได้ไม่พูดไม่จา? “
หลี่กงกงเช็ดเหงื่อเย็นๆ บนใบหน้า “บ่าวเฒ่าซาบซึ้งไปด้วยจริงๆ บ้านท่านแม่ทัพสนิทสนมกลมเกลียวกันเช่นนี้ นับเป็นบุญของจวนตู๋กูโดยแท้ เหล่าตระกูลสูงศักดิ์ในต้าโจวสมควรยึดเอาเป็นแบบอย่าง”
ตู๋กูจุนหัวเราะออกมาเสียงดังอย่างพอใจ หยิบเอาไม้เสียบแตงหวานที่ทำจากทองตบรางวัลให้เขา “กงกงมีสายตาดี ข้าแม่ทัพพอใจ”
หลี่กงกงประคองไม้เสียบผลไม้ทองคำนั้นไว้ ในใจก็สั่นไหวตึกตักๆ แม่ทัพผู้พิชิตกำลังเตือนเขา หากพูดมากปากสว่าง จะจับเขาหั่นเสียบไม้ เสมือนเสียบแตงหวานเช่นนี้
ตู๋กูซิงหลันมองไปที่ไม้เสียบด้ามนั้นสายตาเป็นกังวลอยู่บ้าง……..พี่ชาย ฟุ่มเฟือยใหญ่แล้ว!
…………………………………………
ดึกดื่นค่ำคืน ณ มุมตะวันตก เรือนของตู๋กูซิงหลันก่อนเข้าวัง