ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 666 ฝ่าบาทอาจารย์
แม้แต่ซูจี่ที่มีชีวิตอยู่มาเนิ่นนาน ก็ยังไม่เคยได้เห็นดวงตาเช่นนี้มาก่อน
หางของนางยังคลุมอยู่บนร่างของตู๋กูซิงหลัน ขณะที่กำลังตกตะลึงอยู่ คนผู้นั้นก็ไปถึงข้างกายของตู๋กูซิงหลันแล้ว
ทั้งๆที่เห็นว่าด้านหลังของเขามีลมพายุหิมะพัดโหม แต่ว่าทั้งเสื้อผ้าสีดำอมทองและเส้มผมดำยาวสลวยราวน้ำหมึก กลับล่องลอยอย่างอิสระ
ปอยผมของเขาตกลงบนใบหน้าของตู๋กูซิงหลัน ดวงตาที่เดิมทีมีแต่ความเย็นชา ยามนี้กลับสะท้อนแต่ภาพของนางเอาไว้
ร่างนั้นกำบังพายุและหิมะให้กับนาง ทำให้ในห้องของนางส่องสว่างด้วยแสงดาวที่ผ่านเข้ามา
ซูจี่กลั้นลมหายใจ ทั้งๆที่คนผู้นั้นเหมือนว่ามิได้ทำสิ่งใดทั้งสิ้น แต่ว่าทุกสิ่งในห้องกลับถูกหยุดเอาไว้ แค่นางอยากจะขยับสักนิดก็ยังทำไม่ได้
แสงดาวในคืนหิมะโปรย ส่องกระทบลงบนร่างของเขาและตู๋กูซิงหลัน ภาพนั้นช่างงดงามจนคนต้องลืมหายใจ
ชั่วขณะนั้น กระทั่งซูจี่ยังเกิดความรู้สึกเหมือนได้หลุดพ้นจากความรัก ความชัง และความเจ็บปวดทั้งหลายที่เกาะกุมมานานกว่าหมื่นปี
เขาก้มกรายลงเหนือร่างของตู๋กูซิงหลัน ฝ่ามือใหญ่สัมผัสกับใบหน้าของนาง ปลายนิ้วนั้นลูบผ่านเปลือกตาที่ปิดอยู่อย่างแผ่วเบาที่สุด
ซูจี่ถึงได้รู้สึกตัวขึ้นมา
การเคลื่อนไหวของเขาแผ่วเบา ราวกับกำลังสัมผัสสมบัติล้ำค่าของแผ่นดิน มิได้มีการหยามหมิ่นแม้แต่น้อย
พลังที่แข็งแกร่งขุมหนึ่งกำจายออกมาจากร่างกายของเขา หางของซูจี่ก็ถูกพลังขุมนี้กวาดกลับคืนไปด้วย
เขามิได้เหลือบมองซูจี่แม้แต่น้อย เพียงครู่เดียวก็อุ้มสาวน้อยตรงหน้าขึ้นมา
พอก้าวเท้าออกไป สายลมก็พัดกระจายออกไปทุกทิศทาง
“วิญญาณของนางยังไม่กลับเข้าร่าง เจ้าไม่อาจพาไปทั้งอย่างนี้” ซูจี่ได้สติขึ้นมา ก็ฝืนร่างต้านแรงกดดันเหล่านั้น ขวางคนเอาไว้ที่หน้าประตู
เมื่อครู่อยู่ในจุดที่ย้อนแสง จึงมองเห็นแต่เพียงดวงตาหงส์ที่แสนงดงามคู่นั้น แต่กลับไม่อาจมองรูปโฉมของเขาว่าเป็นเช่นไร
ตอนนี้เมื่อเขาโอบอุ้มร่างเนื้อของตู๋กูซิงหลัน ก้าวออกไปจากประตูครึ่งก้าว หันเข้าหาแสงสว่าง ดวงหน้านั้นก็เผยโฉมทั้งหมดออกมาให้ซูจี่และซูเยาได้เห็น
ความงดงามที่คมคายและเย็นชา ทั้งๆที่มีแสงสว่างสาดส่อง แต่พอเหลือบมองไปก็เห็นว่าบนร่างของเขามีความมืดมิดอย่างที่สุดอยู่
ซูเยาเองก็ขวางอยู่ที่ประตูเช่นกัน ยามนี้เขาได้แต่จดจ้องไปที่คนผู้นั้น แต่ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้แม้แต่คำเดียว
เขา ….. เขากลับมาแล้ว……
จีเฉวียน
เป็นเขา แต่ก็เหมือนจะมิใช่เขา
แม้ว่ารูปลักษณ์จะเหมือนเดิมทุกประการ แต่ว่ากลิ่นอายในร่างกลับเปลี่ยนแปลงไปราวฟ้ากับดิน นี่เป็นบุรุษที่น่าหวาดกลัวยิ่งกว่าจีเฉวียนอีกเป็นร้อยเป็นพันเท่า
ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรสักคำ เขาก็สามารถทำให้จิตใจคนสั่นสะท้านได้แล้ว
พวกเขาเป็นสายเลือดจิ้งจอกตระกูลซู เกิดมาพร้อมกับความแข็งแกร่ง ไม่มีทางที่จะถูกเผ่าพันธุ์อื่นสร้างความหวาดกลัว จนถึงขั้นต้องสั่นสะท้านได้ แต่ว่าตอนนี้ แม้แต่หัวใจของเขาก็ยังระทึกไม่อาจควบคุมได้อยู่
ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้เขากล้าเอาชีวิตเข้าเสี่ยงเพื่อเป็นอริกับจีเฉวียน แต่เมื่อเผชิญหน้ากับบุรุษผู้นี้ หัวใจของเขากลับไม่อาจกระตุ้นความรู้สึกต่อต้านขึ้นมาได้เลย
นั่นเป็นแรงกดดันจากพลังที่แข็งแกร่งกว่าอย่างแท้จริง เป็นความห่างชั้นที่ไม่อาจก้าวข้าม
แววตาของคนผู้นั้นเย็นยะเยือก เขาเพียงอุ้มสาวน้อยในอ้อมแขน ก้าวออกไปอีกครั้ง ทันใดนั้นห้องที่อยู่ด้านหลังของเขาก็สั่นสะเทือนขึ้นมาพร้อมกัน
วิญญาณทมิฬที่พึ่งจะกลับมาจากการกินอย่างอิ่มหนำ ก็เห็นเหตุการณ์นี้เข้าพอดี
ทำเอามันตกใจจนแทบจะฉี่ไหล
ขาสั้นๆอ่อนแรงลง พร้อมกับกลิ้งลงไปบนพื้นหิมะที่เรียบลื่นจนมาถึงเบื้องหน้าของคนผู้นั้น
มันกอดข้อเท้าของเขาเอาไว้ด้วยกริยา ‘น่าสงสารและตื่นตระหนกอย่างที่สุด’ เอ่ยพร้อมน้ำมูกน้ำตาไหลพรากว่า “ฝ่าบาทท่านอาจารย์ ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว ข้าคิดถึงท่านเหลือเกิน….”
สวรรค์โปรดเถอะ ทำไมเขาถึงได้กลับคืนมาเร็วกว่าที่ตนคิดเอาไว้เสียอีก?
วิญญาณทมิฬน้ำตาไหลพราก ผู้ที่อยู่ตรงหน้านี้ ….. คือฮ่องเต้สุนัขที่มันเคยล่วงเกินมามากมายนับครั้งไม่ถ้วน
แง ฮ่องเต้สุนัขภาคเหลือล้ำกว่าเดิมกลับมาแล้ว ตอนนี้มันทำได้แค่ร้องไห้ให้กับตนเอง!
หากรู้แต่แรกว่าจะมีวันนี้ ตอนนั้นมิว่าอย่างไรมันก็จะไม่ขอล่วงเกินเขารอบแล้วรอบเล่าอย่างเด็ดขาด
เดิมทีมันคิดเอาไว้ว่า หากหลันหลันอยู่ละก็ อย่างน้อยก็ยังพอเป็นจะหนุนหลังมันได้อยู่ แต่ว่าตอนนี้ วิญญาณของหลันหลันยังไม่กลับมา ส่วนฮ่องเต้สุนัขภาคเหนือล้ำกลับคืนมาก่อน…..
เกรงว่าในหกภพภูมินี้คงจะไม่มีผู้ใดที่จะสามารถปกป้องมันได้แล้ว
น้ำตาของวิญญาณทมิฬไหลหลากราวเขื่อนแตก มือสั้นๆเกาะอยู่บนข้อเท้าของเขาแน่นไม่ยอมปล่อย ในใจร่ำร้องอามิตาพุธไปพันรอบแล้ว
และแล้ว ในที่สุดคนผู้นั้นก็ยอมเหลือบมองมันแวบหนึ่ง
วิญญาณทมิฬถึงกับตระหนกจนขนตั้งชัน
สวรรค์!
แค่โดนเขาเหลือบมอง มันก็รู้สึกเหมือนใกล้จะตายแล้ว!
แรงกดดันที่แข็งแกร่งเช่นนี้ แม้แต่อาจารย์ซื่อมั่วในยามก่อนก็ยังไม่อาจเทียบได้….
“ฝ่าบาทอาจารย์ ….” วิญญาณทมิฬทำเสียงน่าสงสาร เงยหน้ามองดูเขาด้วยความหวังว่าจะยังคงมีส่วนที่อ่อนโยนของอาจารย์ซื่อมั่วหลงเหลืออยู่บ้างสักเล็กน้อย
แต่ว่าอีกฝ่ายกลับไม่เอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว เมื่อครู่ยังมองดูมันด้วยแววตาเย็นชาแวบหนึ่ง แต่ว่าตอนนี้กลับคร้านจะเหลือบมองเสียแล้ว
นี่จึงจะเป็นเรื่องที่น่าหวาดกลัวที่สุดต่างหากรู้หรือไม่?
“ก่อนที่อาหลันจะไป ได้สอนวิชาเรียกคืนวิญญาณให้กับข้า ฝ่าบาทอาจารย์ มีแต่ข้าที่สามารถเรียกวิญญาณของหลันหลันกลับมาได้ ท่านต้องดีกับข้านะ….”
วิญญาณทมิฬฉลาดเฉลียว สมองเท่าเมล็ดแตงของมันหมุนอย่างรวดเร็ว ย่อมรู้จักยกตู๋กูซิงหลันมาอ้าง
มิว่าจะเป็นซื่อมั่วหรือจีเฉวียน ผู้ที่พวกเขาห่วงใยที่สุดก็คือหลันหลัน
ตอนนี้คนทั้งสองรวมเป็นหนึ่ง ความห่วงใยนี้ยิ่งมีแต่จะเพิ่มพูนไม่มีทางถูกตัดทอนไป
พอเรียกเขาว่า ‘ฝ่าบาทอาจารย์’ คนผู้นั้นก็มิได้มีทีท่าปฏิเสธ
เขายังคงไม่สนใจวิญญาณทมิฬอยู่ดี เอาแต่อุ้มร่างของสาวน้อยผู้นั้นเอาไว้ ร่างของสาวน้อยเย็นยะเยือกจนไม่เหลือความอบอุ่นแม้แต่น้อย ริมฝีปากซีดขาว บนขนตาหนามีเกล็ดน้ำแข็งสีขาวเกาะอยู่บางๆ
พอฝ่ามือของเขาขยับ ก็ปรากฏไข่มุกสีแดงดุจเปลวเพลิงลูกหนึ่งลอยอยู่บนกลางฝ่ามือ
พอเขาวางมุกเม็ดนั้นลงไปเหนือทรวงอกของนาง เกล็ดหิมะบนร่างทั้งหมดก็พลันละลายหายไป แม้แต่ริมฝีปากก็มีสีเลือดขึ้นมา
ซูจี่มองเพียงแวบเดียวก็จำได้แล้วว่านั่นคือ มุกอัคคี ทั่วทั้งดินแดนจิ่วโจวมีอยู่เพียงเม็ดเดียวเท่านั้น
เรือนที่อยู่ด้านหลังของเขาโยกคลอนไปมา ยอดของหุบเขาหมื่นปีศาจสั่นสะเทือนไปหมด
แรดกดดันอันมหาศาลครอบคลุมไปทั่วทั้งหุบเขาหมื่นปีศาจ เหล่าปีศาจน้อยทั้งหลายต่างก็กลัวจนสั่นสะท้าน กอดกันจนกลมด้วยความไม่รู้ว่าอยู่ๆพวกมันก็ไปมีเรื่องกับมหาเทพองค์ใดเข้า….
พวกมันบางตัวมีอายุยืนยาวมาก ย่อมจดจำได้ว่าเมื่อหลายปีก่อนนนี้ ก็เคยเกิดเหตุการณ์ที่เกือบจะทำให้หุบเขาหมื่นปีศาจต้องมอดไหม้เช่นกัน
ยังดีที่ แรงกดดันนั้นคงอยู่เพียงครู่หนึ่งก็เลือนหายไป
และสิ่งที่หายไปพร้อมๆกับแรงกดดันนั้น ก็คือบุรุษหนุ่มน่าอันตรายที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างกระทันหัน รวมไปถึงตู๋กูซิงหลันที่เคยอยู่ในเรือนหลังหนึ่งบนยอดหุบเขาปีศาจด้วย
เขาพานางหายไปด้วยกัน กลายเป็นเพียงเงาสีดำสายหนึ่งเท่านั้น
ยามนี้ ทั้งซูจี่และซูเยาเห็นแต่ความว่างเปล่า และหิมะสีขาวละเอียดที่ร่วงลงมา
แม้แต่เจ้าวิญญาณทมิฬถวนจื่อก็ยังพลอยสาบสูญไปด้วย
………………..
ซูจี่ขมวดคิ้วมุ่น นางกำหมัดแน่นด้วยความรู้สึกว่าตนนั้นช่างไร้ความสามารถ
นางได้แต่ลืมตามองดูตู๋กูซิงหลันถูกคนพาตัวไปเท่านั้น?
ทางนี้ยังไม่ทันสงบ ก็ได้ยินเสียงของปีศาจน้อยตนหนึ่งเข้ามารายงานว่า “องค์ราชินี ที่เชิงเขามีมังกรเก้าตัวขอเข้าเฝ้า”
มันชะงักไปครู่หนึ่ง ก็เปลี่ยนใหม่ว่า “มิใช่ เป็นมังกรสิบตัว”
เมื่อครู่พึ่งเกิดแรงกดดันอันหน้าหวาดผวา ตอนนี้ก็มีพวกเผ่ามังกรบุกมา….
เผ่ามังกรกับหุบเขาหมื่นปีศาจไม่เคยมีเรื่องเกี่ยวข้องกัน อยู่ๆก็มาขอเข้าเฝ้าเช่นนี้ ทำให้หัวใจของเหล่าปีศาจในหุบเขาหมื่นปีศาจพากันระทึกขึ้นมา
ซูจี่เหลือบมองดูพื้นที่ที่ว่างเปล่านั้นแวบหนึ่ง ก็โบกมือให้ “ให้พวกมันเข้ามาเถอะ”
ตู๋กูซิงหลันคือประมุขวังมังกรทมิฬคนใหม่ ในเมื่ออยู่ๆก็มีเผ่ามังกรบุกมาขอเข้าเฝ้า แสดงว่าจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับนางเป็นแน่
……………………