ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 671 ปลดปล่อยแปดสัตว์อสูร
แผ่นกระจกเหนือศีรษะส่งเสียงเกรียวกราว
พอมองขึ้นไป ก็เห็นว่าเจดีย์กำราบเทพมารที่อยู่ไม่ไกลออกไปกำลังมีควันสีดำลอยขึ้นมา
ควันสีดำ คือสิ่งที่แดนสวรรค์ไม่ชอบที่สุด
ยามนี้ ที่บนยอดของเจดีย์ เจ้านกยักษ์ตัวนั้นกำลังกระพือปีก กวาดลมพายุขึ้นมา
มันอ้าปากกว้าง ส่งเสียงดังแสบแก้วหู แม้ว่าจะมีพระที่นั่งหลิงเซียวและพระตำหนักไท่เหิงกงกั้นอยู่ ก็ยังทำให้คนปวดหูจนรู้สึกเจ็บปวด
บนกรงเล็บของมันยังมีโซ่ล่ามติดอยู่ด้วยซ้ำ ตอนนี้มันกำลังใช้กรงเล็บที่แหลมกว่าสิ่งใดทั้งหมด ตะกุยตะกายอยู่บนยอดเจดีย์กำราบเทพมารอย่างคุ้มคลั่ง
แต่ละกรงเล็บที่ขยุ้มลงมา ส่งเสียงกระแทกดังตึงๆๆ ราวกับเหล็กหนักๆที่ทุบลงมาอยู่ตลอดเวลา
เสียงนั้นดังไปไกลจนแทบจะครึ่งค่อนสรวงสวรรค์
ฟ้ายังไม่ทันสว่างดี เหล่าทวยเทพต่างก็ต้องตื่นตระหนกจนต้องรีบผลุนผลันออกมา
พออุ้งเท้าของมันกระทืบลงมาครั้งแล้วครั้งเล่า เจดีย์หลังนั้นก็ค่อยๆเกิดรอยร้าวขึ้นมาเรื่อยๆ
พระองค์รีบปล่อยตู๋กูซิงหลัน เสด็จไปประทับอยู่ที่ใต้หลังคากระจก แสงสีทองที่จางหายไปจากบนพระวรกาย ตอนนี้กลับคืนมาอีกครั้ง
พระหัตถ์ขยับเป็นท่าปางมือ ริมโอษฐ์ท่องคาถาออกมา
น้ำเสียงนั้นแม้ว่าจะแผ่วเบา แต่ตู๋กูซิงหลันก็ยังได้ยิน นางรู้แล้วว่าเขากำลังเรียกเจ้านกยักษ์
เจ้านกยักษ์เป็นสัตว์อสูรในพันธสัญญาของตี้เสีย หากพระองค์ต้องการเรียกมันมา เดิมทีสมควรเป็นเรื่องที่แสนจะง่ายดาย แต่ว่าตอนนี้ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ตี้เสียทรงร่ายคาถาอยู่ครึ่งค่อนวัน เจ้านกยักษ์ตัวนั้นกลับยิ่งทีก็ยิงคุ้มคลั่งกว่าเดิม
มันเหมือนกับถูกมารสิง ยื่นกรงเล็บที่แหลมคมออกมา ตะกุยใส่ยอดเจดีน์อย่างบ้าคลั่ง ราวกับว่าคิดจะทำลายเจดีย์หลังนี้ให้พังพินาศ
เจดีย์สั่นสะเทือนไปทั้งหลัง พอเจ้านกยักษ์หนีออกมาได้แล้ว มังกรปีกค้างคาวที่มีสายฟ้าคลุมร่าง[1]ตัวหนึ่งก็โผล่หัวออกมาจากชั้นเจ็ดของเจดีย์
รูปร่างของมันคล้ายกับค้างคาวยักษ์ ตลอดร่างเป็นสีดำดุจน้ำหมึก บนหัวมีเขามังกรงอกเงย แม้แต่สายฟ้าบนร่างก็ยังเป็นสีดำไปด้วย
ยามนี้ ร่างอันใหญ่โตของมันกำลังสยายปีกออกมาหยุดอยู่เคียงข้างเจ้านกยักษ์ ทั้งยังแผ่พุ่งสายฟ้าออกมาอย่างบ้าคลั่ง เพื่อทำลายเจดีย์ทิ้งไป
พอยอดของเจดีย์หักพังลงไปแล้ว ก็เห็นกรงที่ชั้นหกกำลังเปิดออก ปลาวาฬยักษ์ที่ผิวสีน้ำเงินตลอดร่างโผล่หัวออกมา รอบกายของมันยังมีน้ำทะเลสีฟ้าครามรายล้อมอยู่รอบตัว
ทันทีที่มันอ้าปาก ส่งเสียงคำรามครั้งหนึ่ง พื้นหินที่เป็นฐานรองรับเจดีย์กำราบเทพมารก็ยังแตกร้าวจนพังทลาย!
เสียงคำรามของมันทรงอานุภาพรุนแรง แทบจะทะลวงเข้าไปในหัวใจของผู้คน!
ที่ด้านหลังของเจดีย์กำราบเทพมารคือดวงดาวขนาดใหญ่ดวงหนึ่ง วงแหวนของดวงดาวเกิดความเคลื่อนไหว กลายเป็นภาพอันงดงามตระการตา
ที่ด้านข้างของเจดีย์ เหล่าสัตว์อสูรต่างพากันอาละวาด
ภาพที่ปรากฏสู่สายตาจึงน่าตื่นตะหนกอย่างที่สุด
ตู๋กูซิงหลันยืนอยู่ใต้หลังคากระจก ในดวงตาของนางมีแต่สัตว์อสูรและแสงดาว
เดิมทีนางยังคิดว่า ตี้ซินจะต้องทรงใช้เวลาพักหนึ่งถึงจะสามารถปลดปล่อยเหล่าสัตว์อสูรพวกนี้ออกมาได้ คิดไม่ถึงว่า ความสามารถของเขาจะเหนือล้ำกว่าที่นางคาดคิดเอาไว้เสียอีก
ทัน ยังทันเวลาพอดี!
หากว่าช้าไปกว่านี้เพียงเล็กน้อย ถ้ามิใช้ว่านางต้องต่อต้านอย่างสุดชีวิต ก็ต้องเป็ยว่าตี้เสียคงจะต้องสูญเสียรากเหง้าผลิตลูกหลานไป จากนั้นค่อยส่งนางลงนรกเป็นแน่
สีพระพักตร์ของตี้เสียย่อมมิสู้ดี ตอนนี้พระองค์ไม่มีแก่ใจจะทำอะไรตู๋กูซิงหลันอีกแล้ว
แม้แต่พระองค์ก็ยังไม่อาจจะควบคุมเจ้านกยักษ์ได้อีกแล้ว….
สัตว์อสูรเหล่านั้นทยอยกันหลบหนีออกมาจากเจดีย์กำราบเทพมารทีละตัว สำหรับเหล่าเทพแล้ว นี่ก็คือหายนะ!
ที่ด้านนอกพระที่นั่งหลิงเซียว มีเทพจำนวนไม่น้อยเหาะเข้ามา
พวกเขารายล้อมอยู่ด้านนอกเจดีย์ แต่ก็ไม่กล้าเข้าไปใกล้
สิ่งที่เจดีย์กำราบเทพมารกักขังเอาไว้ ล้วนแล้วแต่เป็นสัตว์อสูรที่น่าสะพรึงกลัวที่สุด!
บนชั้นแปดนั้นขังสัตว์อสูรในพันธะของเทียนตี้เอาไว้!
ถึงจะเป็นสัตว์อสูรในพันธะ แต่ว่าตลอดหลายปีมานี้ แม้แต่เทียนตี้เองก็ยังไม่อาจจะควบคุมมันได้อย่างสมบูรณ์!
ยามนี้เจ้านกยักษ์นั่นกำลังอาละวาดด้วยความคลั่ง
เหล่าเทพได้แต่มองดูอยู่เช่นนั้น ตั้งแต่ครั้งบรรพกาลยามที่เกิดยมโลกขึ้นมานั้น ขุมนรกได้ผุด
เลี่ยเทียนซื่อ[3] ซานหูตู๋เจี่ยวโซว่[4] ซื่อเหยียนจินหนีโซว่[5] ปิงเจี๋ยเจี่ยวมอหลง[6]และขุยหนิว[7]
สัตว์อสูรเหล่านี้ เพียงแค่ตัวเดียว ก็แข็งแกร่งกว่าบรรดาแม่ทัพที่มีอยู่ในแดนสวรรค์แล้ว!
ยามปกติหากหลุดออกมาตัวหนึ่ง ก็เพียงพอจะทำให้ผู้คนปวดหัวแล้ว แต่ว่าตอนนี้กลับหลุดออกมาพร้อมๆกัน!
เหล่าเทพต่างก็ต้องตกตะลึงไป เจดีย์กำราบเทพมารหลังนี้เป็นกรงขังที่มั่นคงและแข็งแกร่งที่สุดในแดนสวรรค์
แม้จะบอกว่าเป็นเทพมาร แต่ก็เป็นเพียงการตั้งชื่อให้น่าฟังเท่านั้น ใครๆต่างก็รู้ว่า เจ้าตัวร้ายเหล่านี้ล้วนเป็นสัตว์อสูรที่โหดเหี้ยมที่สุด!
หากมิใช่เพราะแดนสวรรค์เห็นแก่เกียรติและหน้าตา ก็คงไม่จำเป็นต้องตั้งชื่อที่คล้องจ้องกันอย่างไพเราะเช่นนี้
แต่ที่พวกเขาคิดอย่างไรก็คิดไม่ออกก็คือ สัตว์อสูรเหล่านี้มันหลุดออกมาได้อย่างไร?
แต่ว่าตอนนี้เหล่าเทพทั้งหลายก็ไม่มีเวลาจะมาขบคิดปัญหาข้อนี้อีกแล้ว
พวกเขารู้แต่ว่า ยามนี้เกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่ในแดนสวรรค์เข้าแล้ว!
ยังดีที่สัตว์อสูรเหล่านั้นมิได้วิ่งวุ่นไปไหน สัตว์อสูรที่โหดเหี้ยมที่สุดสามตัวต่างก็อยู่บนยอดเจดีย์ ส่วนตัวอื่นๆเกาะอยู่บนกำแพงเจดีย์ ต่างก็กำลังหาทางทำลายเจดีย์หลังนี้ให้จงได้
ใช่แล้ว เหล่าเทพต่างก็เข้าใจว่า พวกสัตว์อสูรเหล่านั้นกำลังอาละวาดใส่เจดีย์หลังนี้
แต่ว่าตู๋กูซิงหลันกลับ เห็นบางอย่างที่ต่างออกไป
สัตว์อสูรเหล่านี้ทุกตัวล้วนโหดเหี้ยมอย่างที่สุด หลุดออกมาได้ไม่ต่อยตีกันนับว่าเป็นเรื่องแปลกอย่างมาก ตอนนี้ดูแล้วเหมือนพวกมันจะสามัคคีกันทำบางสิ่งมากกว่า
ราวกับว่าพวกมันได้รับคำสั่งจากบางสิ่งบางอย่าง มิว่าต้องทุ่มเทชีวิตเช่นไรก็ต้องทำลายเจดีย์ให้จงได้
เจดีย์เก้าชั้น ตอนนี้มีสัตว์อสูรหลุดออกมาแปดตัวแล้ว แต่สัตว์อสูรในชั้นเก้ายังคงไม่มีความเคลื่อนไหว
พวกมันคิดจะทำลายสัตว์อสูรในชั้นเก้า หรือว่าปลดปล่อยสัตว์อสูรในชั้นเก้าออกมากันแน่?
เรื่องนี้แม้แต่ตู๋กูซิงหลันก็ยังไม่อาจยืนยันได้
หลังคากระจกด้านบน ถูกเหล่าสัตว์อสูรบดบังเอาไว้หมดแล้ว
สัตว์อสูรแต่ละตัวมีขนาดใหญ่โตโอฬาร ดูไปแล้วก็เหมือนกับว่ากำลังได้เห็นภาพของยุคก่อนประวัติศาสตร์อยู่
ตี้เสียเรียกนกยักษ์อยู่เนิ่นนาน แต่ยิ่งเรียกมันก็ยิ่งบ้าคลั่ง ถึงตอนนี้พระองค์จึงได้แต่ยอมถอดใจ
พระองค์คิดจะเสด็จออกไป สัตว์อสูรเหล่านี้จะต้องรีบจัดการโดยเร็ว ไม่อาจปล่อยทิ้งไว้ได้
พอขยับพระบาท ก็เห็นสีหน้าของตู๋กูซิงหลันกลายเป็นหวาดกลัว แม้แต่น้ำเสียงก็อ่อนระโหย
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น ข้ากลัวจังเลย….”
“ไม่มีเรื่องใดหรอก ไม่ต้องกลัว” ตี้เสียชะงักพระบาท พระทัยว้าวุ่นขึ้นมา แต่น้ำเสียงที่ตรัสกับตู๋กูซิงหลันยังคงอ่อนโยน
“มีสัตว์อสูรหลุดออกมาถึงแปดตัวแล้ว เช่นนี้ตัวที่อยู่ในชั้นเก้านั้นจะออกมาด้วยหรือไม่ …..เทียนตี้ ข้าอ่อนประสบการณ์ไม่เคยเห็นโลกกว้าง พอเห็นสัตว์อสูรที่ใหญ่โตมหึมาเหล่านั้นก็รู้สึกใจสั่นไปหมดแล้ว….”
“เจ้านกยักษ์เคยโจมตีข้าจนกระอักเลือดมาแล้ว แค่คิดถึงตอนนั้นข้าก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา…”
ตู๋กูซิงหลันทำท่าทางตื่นตระหนกจนขวัญเสียขึ้นมา
ตี้เสียพระทัยสับสนจนว้าวุ่นไปหมดแล้ว แต่พอเห็นนางเป็นเช่นนี้ ก็หันมาปลอบประโลมนางก่อน
“สัตว์ประหลาดในชั้นเก้านั่นตายไปนานแล้ว ไม่มีทางออกมาได้ มีเราอยู่ ก็ไม่สิ่งใดในแดนสวรรค์ทำร้ายเจ้าได้”
“จริงๆหรือ?” ดวงตาดอกท้อของตู๋กูซิงหลันมีไอหมอกเกาะกุม
นางกำลังถ่วงเวลาตี้เสียเอาไว้ เพราะต้องการให้สัตว์อสูรในชั้นเก้าออกมาก่อน
เจ้านกยักษ์เป็นสัตว์อสูรระดับใด นางย่อมรู้ดีอยู่แล้ว
สัตว์อสูรในชั้นเก้า มิว่าจะอยู่ในสภาพอย่างไร แต่ว่ากระทั่งเจ้านกยักษ์ก็ยังหวาดกลัว …..หากมันหลุดออกมา แดนสวรรค์จะต้องสับสนวุ่นวายอย่างแน่นอน
สิ่งที่ตู๋กูซิงหลันต้องการ ก็คือผลลัพธ์เช่นนี้!
หากวุ่นวายกันหมดไม่เพียงแต่จะสามารถหลบหนีไปได้ บางทีอาจมีทางรอดกว่าเดิม
ยามนี้จึงต้องถ่วงดึงตี้เสียเอาไว้ ไม่ให้เขาได้มีเวลาออกไประดมกำลังบัญชาทัพ
“นั่นย่อมแน่นอน”
ตี้เสียทางหนึ่งคิดจะเสด็จจากไป ทางหนึ่งก็อยากจะอยู่ดูแลนาง พอชักช้าไปชั่วครู่ ก็ทอดพระเนตรเห็นว่าเจดีย์กำราบมารพังลงไปมุมหนึ่งแล้ว ทั้งยังใกล้จะแตกออกมาเต็มที
……………………
[1] 雷电蝠龙:เหล่ยเตี้ยนฝูหลง สัตว์อสูรตนนี้มาจากภูเขาคุนหลุน ตัวเป็นมังกร ปีกเหมือนค้างคาว สร้างกระแสไฟฟ้า
[3] 裂天兕: (เลี่ยเทียนซื่อ) สัตว์อสูรในตำนานลักษณะคล้ายแรดตัวเมีย ออกอาละวาดทำลายพืชผลชาวบ้าน พละกำลังมหาศาล ภายหลังถูกเทพเสินหนง (เทพกสิกรรม) กำราบลงได้
[4] 珊瑚独角兽 สัตว์อสูรเขาเดี่ยว มีเขาโค้งดุจจันทร์เสี้ยว ดวงตาสีฟ้าสว่างไสวในยามกลางคืน เขี้ยวขาวยาว
[5] 赤炎金猊兽(ซื่อเหยียนจินหนีว์) ราชสีห์ร่างทองเปลวเพลิง โหดเหี้ยมที่สุดในหมู่สิบสัตว์อสูรบรรพกาล
[6] 冰甲角魔龙: มังกรเกราะน้ำแข็ง
[7] 夔牛: (ขุ่ยหนิว) ลักษณะคล้ายวัวขาเดียวที่ไม่มีเขา สีน้ำเงินครามมีประกายแสงรอบกาย เมื่อปรากฏตัวจะเกิดพายุฝนแปรปรวน ส่งเสียงกู่ร้องคำรามได้ไกลถึง500โยชน์ สร้างความเสียหาย ทำลายทุกอย่าง ตามตำนานถูกหวางตี้จับมาถลกหนังทำเป็นกลอง ใช้กระดูกเป็นไม้ตีกลอง เสียงกลองจะดังไกลถึงพันลี้ มีอานุภาพทำลายขวัญกำลังของศัตรู ดังนั้นบนกลองโบราณจึงนิยมวาดภาพขุ่ยหนิวเอาไว้