ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 673 พลังของเขาถูกสกัดเอาไว้
“ยู่…..เทียนโฮว่ ท่านอย่าได้ตื่นตกใจไป”
พอเห็นว่าสีหน้าของฮว๋ายยู่ยิ่งทีก็ยิ่งย่ำแย่กว่าเดิม ซือเป่ยก็ยิ่งกังวลใจ
เขาขยับมืออยู่หลายครั้ง แต่สุดท้ายก็มิได้ยื่นออกไป
อยากจะพยุงนางเอาไว้ แต่ก็เกรงว่านางจะรังเกียจ
“ข้าจะพาท่านไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัยก่อน จากนั้นจะไปนำหยกสรรพชีวิตกลับมาให้ท่านด้วยตนเอง”
แน่นอนว่า ตู๋กูซิงหลันมีแต่จะต้องตายเท่านั้น!
“แล้วเจ้ายังจะมัวรออะไรอยู่อีก!” ฮว๋ายยู่ไม่ไว้หน้าเขาสักนิด “ความปลอดภัยของข้า เทียนตี้ย่อมต้องทรงดูแลอยู่แล้ว ไม่จำเป็นจะต้องให้เจ้ามากังวลใจ เจ้าแค่ต้องทำให้นางมารผู้นั้นวิญญาณแตกสลาย นำหยกสรรพชีวิตมาให้ข้าก็พอแล้ว!”
น้ำเสียงของนางเย็นชา ผิดกับยามอยู่กับตี้เสียราวกับว่าเป็นคนละคน
“เวลาเช่นนี้แล้ว เจ้ายังจะไปคิดถึงเขาอีกทำไม?” หัวใจของซือเป่ยไม่ยินยอมอยู่บ้าง “เจดีย์กำราบเทพมารเกิดเรื่อง เหล่าสัตว์อสูรหลุดออกมา หากว่าเขารักเจ้า ย่อมต้องมาปกป้องเจ้าที่ตำหนักยู่หวางกงเป็นอย่างแรก!”
“เขาเป็นจักรพรรดิสวรรค์ ย่อมต้องรีบไปจัดการปัญหาที่เจดีย์ ข้าไม่ใช่ต้นหญ้าที่อ่อนแอ ไหนเลยจะต้องการให้เขามาคอยปกป้องคุ้มครองอยู่ตลอดเวลา?”
“เมื่อครู่นี้หากข้าแม่ทัพมิได้รีบรุดมาทันเวลา ท่านก็คงกลายเป็นขี้เถ้ากองหนึ่งไปแล้ว!” ขนนกบนหมวกเกราะของซือเป่ยสั่นสะท้านเพราะความขุ่นเคือง
ฮว๋ายยู่ส่งเสียงเย็นในลำคอครั้งหนึ่ง “นั่นเป็นเพราะว่าข้ามีฟ้าดินคอยคุ้มครอง จึงได้ไม่เป็นอะไร”
ซือเป่ย “….” เขาถึงกับพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ
นางยินยอมให้ตนเองจมดิ่งอยู่ในความคิดจอมปลอมที่ว่า ‘ตี้เสียดีกับนาง’ ในหัวใจและในดวงตาของนางมีแต่บุรุษผู้นั้น!
ฮว๋ายยู่ตรัสแล้ว ก็ไม่สนใจไยดีเขาอีก
นางมองไปทางเจดีย์ ท่ามกล่างหมู่สัตว์อสูรเหล่านั้น มีเงาร่างสีทองส่องสว่างอยู่
นางไม่แม้แต่จะคิด หากทำท่าจะพุ่งเข้าไปหาเงาร่างสีทองนั่นในทันที
แต่ซือเป่ยกลับมือไวกว่า เขาคว้าข้อมือของนางเอาไว้แน่น “รอบเจดีย์มีแต่อันตรายร้ายแรง เจ้าไม่ต้องการรักษาชีวิตแล้วหรือไง?”
ฮว๋ายยู่ออกแรงสะบัดมือของเขาทิ้งไป “มีเทียนตี้อยู่ เขาย่อมปกป้องข้าเอง! เวลาเช่นนี้ข้าสมควรร่วมรุกร่วมถอยกับเขา!”
“เหอะ ร่วมรุกร่วมถอยรึ?” ซือเป่ยโกรธขึ้นมาจริงๆแล้ว เขาไม่เพียงแต่ไม่ยอมปล่อยฮว๋ายยู่ แต่ยังจับนางเอาไว้แน่นหนากว่าเดิม “เจ้าเชื่อหรือไม่ว่า หากว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา คนแรกที่เขาจะทอดทิ้งก็คือเจ้า!”
ฮว๋ายยู่ “ปล่อยมือ!”
แววเนตรของนางเย็นชา ทั้งยังมีความชิงชังรังเกียจ
สายตาเช่นนั้นสร้างความปวดร้าวให้กับซือเป่ย
มือของเขาบีบแน่น แต่สุดท้ายก็ยอมปล่อยนาง
สายตาของเขามองตามร่างของนางที่กลายเป็นแสงสว่างสายหนึ่งเหาะไปยังทิศทางที่ตี้เสียทรงประทับอยู่
ชั่วพริบตาที่นางหายวับไป ซือเป่ยได้แต่กำหอกเทพสงครามในมือให้แน่นเข้า ทั่วร่างกำจายไอสังหารออกมา
…………………..
ที่ด้านนอกเจดีย์กำราบเทพมาร ตี้เสียทรงเสด็จมาถึงแล้ว ความกังวลในใจของเหล่าเทพทั้งหลายพอจะคลายลงไปได้บ้าง
ทันทีที่ตี้เสียปรากฏพระองค์ แสงสีทองจากพระวรกายก็ทำให้ทั่วทั้งบริเวณสว่างขึ้นมา
พระองค์มิได้สนพระทัยในสัตว์อสูรเหล่านั้น เสด็จตรงไปยังบนยอดเจดีย์โดยไม่แม้แต่จะรั้งรอ
ชั้นเก้าถูกทุบทำลายจนแตกออกมามุมหนึ่งแล้ว กำแพงเริ่มมีรอยร้าวขนาดเส้นผมกระจายไปทั่ว
ตี้เสียประทับอยู่ข้างรอยร้าว ทรงสัมผัสได้ถึงกระแสกดดันอันโหดเหี้ยมที่แผ่ออกมาอย่างชัดเจน นั่นเป็นลักษณ์เฉพาะที่มีอยู่แต่ในยุคบรรพกาลเท่านั้น
ผ่านมาตั้งนานขนาดนี้แล้ว เจ้าตัวประหลาดนั่นยังอยู่ในนั้นตลอดเวลา ไม่กินไม่ดื่มมานานหลายหมื่นปี มันยังจะมีชีวิตอยู่อีกหรือ?
การค้นพบนี้ทำให้พระขนงของพระองค์ต้องเย็นวาบขึ้นมา
ตราประทับดวงสุริยะบนพระนาลาฏ ยามนี้เปลี่ยนเป็นดวงอาทิตย์ดวงน้อยเปล่งประกายหมุนวนและลุกโชนขึ้นมา
เจ้านกยักษ์ยังคงกรีดร้องอยู่เหนือพระเศียร มันกระพือปีกอย่างบ้าคลั่ง ในปากก็พ่นลูกไฟออกมาไม่ยอมหยุด คิดจะขับไล่ตี้เสียให้ออกไปจากยอดเจดีย์
มังกรค้างคาวสายฟ้าก็แผ่พุ่งสายฟ้าออกมาเรื่อยๆไม่มีหยุด มันค่อยๆขยับไปทางตี้เสียอย่างช้าๆ
ปลาวาฬยักษ์ที่เหมือนผุดออกมาจากยมโลกตัวนั้นก็อ้าปากสีชาดพ่นดาบน้ำแข็งจำนวนมากออกมา
สัตว์อสูรที่แสนโหดเหี้ยมทั้งสามตัวต่างก็ร่วมแรงร่วมใจกันคิดจะสังหารตี้เสียให้ตายคาที่ให้จงได้
ส่วนสัตว์อสูรตัวอื่นๆก็ช่วยกันทุ่มเทพลังทั้งหมดโจมตีเจดีย์ต่อไป!
สถานการณ์ที่ปรากฏอยู่ในสายตาของเหล่าเทพ ทำให้พวกเขาตื่นตระหนกจนสองขาอ่อนแรง….
แต่ว่าตี้เสียกลับมิได้ทรงเลอะเลือนไปด้วย พระหัตถ์ของพระองค์สว่างวาบ แส้ทลายนภาเส้นหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในอากาศ
พระองค์กุมแส้เอาไว้ ทันทีที่ขยับพระหัตถ์ออกไป แส้ทลายนภานี้ก็แทบจะฉีกแผ่นฟ้าออกจากกัน แส้เส้นนี้ฟาดใส่เจ้านกยักษ์อย่างรุนแรง
ฟาดลงไปบนแผ่นหลังของมัน ทั้งๆที่ได้ยินเสียงเหมือนกระดูกแตกดังลั่น แต่ก็พบว่าแส้นี้เพียงทำให้ขนของมันร่วงลงมาเพียงไม่กี่เส้นเท่านั้น
ตี้เสียขมวดพระขนงขึ้นมา
แส้เมื่อครู่นี้ พระองค์ใช้พลังออกไปอย่าเต็มที่ หากเป็นยามปกติ เจ้าสัตว์ชั้นต่ำตัวนี้จะต้องกระดูกหักไปหลายท่อนแล้ว ไหนเลยจะขนร่วงเพียงแค่ไม่กี่เส้นได้กัน?
พระองค์ไม่เสียเวลาแม้แต่จะคิดก็ฟาดแส้เส้นนั้นออกไปอีกครั้งหนึ่ง เจ้านกยักษ์ยกขาขึ้นมา ใช้กรงเล็บจับแส้เส้นนั้นเอาไว้
ดวงตาของมันเสมือนมีเปลวเพลิงลุกโชน เปี่ยมไปด้วยความเกลียดชังอย่างรุนแรง
แม้ว่ามันจะเป็นสัตว์ในพันธสัญญาของตี้เสีย แต่ก็ไม่เคยถูกตี้เสียกำราบได้อย่างแท้จริงมาก่อน นิสัยของมันโหดเหี้ยมดุดันมาก
คราวนี้ ตี้เสียถึงได้ทรงรู้สึกว่าพละกำลังของพระองค์เกิดความผิดปกติ ราวกับว่าถูกอะไรบางอย่างปิดกั้นเอาไว้….
ทำให้ไม่อาจใช้พลังทั้งหมดออกมาได้ ยิ่งพยายามขับพลังออกมา พลังก็ยิ่งถูกสกัดเอาไว้มากกว่าเดิม
แต่ว่าตอนนี้พระองค์ไม่มีเวลาคิดอีกแล้วว่า ทรงโดนอะไรเข้าไป
“เทียนตี้เพคะ…” ทันใดนั้นเอง ฮว๋ายยู่ก็รุดมาถึง
…………………
ตำหนักไท่เหิงกง หลังจากที่เทียนตี้ทรงใช้แส้ออกไปอยู่หลายครั้ง เขตอาคมของไท่เหิงกงก็อ่อนลงจนสามารถสังเกตเห็นได้ด้วยตาเปล่า
มุมปากของตู๋กูซิงหลันยังคงมีรอยยิ้มเย็นชาอยู่มิคลาย
นางลุกขึ้น ก้าวเท้าออกไปจากในห้อง จึงได้เห็นว่าตี้ซินเองก็มารอคอยอยู่ก่อนแล้ว
เขารีบส่งป้ายหยกให้ตู๋กูซิงหลันชิ้นหนึ่ง “จากที่นี่ จงรีบลงไปทางประตูสวรรค์ทิศตะวันตกที่อยู่ใกล้ที่สุด อย่าได้หันกลับมา ป้ายหยกนี้จะนำเจ้ากลับสู่โลกเบื้องล่างอย่างปลอดภัย”
ตู๋กูซิงหลันปรายตาดูแวบหนึ่ง ก็เห็นป้ายหยกนั้นสลักคำว่า ‘ตี้’ เอาไว้
“ครั้งนี้ต้องรบกวนเทียนสี่ซิงจุนช่วยเหลือมากแล้ว”
นางคิดไม่ถึงว่า ตี้ซินไม่เพียงแต่เปิดกรงขังในเจดีย์ ปล่อยสัตว์อสูรเหล่านั้นออกมา แล้วยังจะมอบป้ายหยกสำหรับลงไปยังโลกเบื้องล่างให้กับนางอีกด้วย
ตู๋กูซิงหลันย่อมจดจำบุญคุณคนได้เสมอ บนแดนสวรรค์รอบนี้ นางติดค้างบุญคุณยิ่งใหญ่จากตี้ซินครั้งหนึ่ง นี่ย่อมต้องตอบแทน
“ข้าไม่ต้องการให้เจ้ามาตอบแทนอะไร เพียงหวังแค่เจ้าจะนำคำพูดของข้าไปบอกกับต๋าจี่”
ตู๋กูซิงหลัน “ย่อมต้องบอกแน่นอน”
“เช่นนั้นอย่าได้เสียเวลาพูดจาไร้สาระ เจ้าจงรีบไปจากหลิงเซียวเตี้ยน กลับลงไปเสีย”
ตี้ซินเกรงว่าเหตุการณ์จะมีความเปลี่ยนแปลง จึงต้องการให้นางรีบจากไป
ตู๋กูซิงหลันเองก็ไม่พูดพล่าม นางรับป้ายหยกนั้นเอาไว้ ผงกศีรษะให้กับตี้ซิน ก็เตรียมจะหลบหนี
ใครเลยจะรู้ว่าพึ่งจะขยับได้เพียงสองก้าว สายตาก็เหลือบไปเห็นเงาร่างอีกเงาหนึ่ง
เทพสงครามาแล้ว ทั้งยังปิดทางหนีของตู๋กูซิงหลันเอาไว้อย่างแน่นหนา
ดวงตาที่เย็นชาคู่นั้นกวาดผ่านตู๋กูซิงหลันและตี้ซินไปรอบหนึ่ง สุดท้ายก็ไปหยุดอยู่ที่ร่าง
ของตี้ซิน
ซือเป่ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ที่แท้บนแดนสวรรค์ก็มีคนเป็นโจรทรยศ ถึงได้ทำให้เกิดเรื่องในวันนี้ขึ้นมา?”
สีหน้าของตี้ซินถูกเคราของเขาปิดบังเอาไว้จนหมดสิ้น จนแทบจะทำให้มองอารมณ์ของเขาไม่ออก
แต่ก็รู้สึกได้ว่าบรรยากาศรอบกายของเขาเปลี่ยนแปลงไป กลายเป็นเหน็บหนาวขึ้นมา
“ซือเป่ย ข้าขอเตือนให้เจ้ารู้จักมีเมตตาเอาไว้บ้าง”
ตู๋กูซิงหลัน “ข้าเองก็ขอเตือนให้เจ้าทำตัวเป็นผู้เป็นคนบ้างเถอะ!”
เจ้าไม้กวนปุ๋ยผู้นี้ ช่างอยู่ถูกที่ถูกเวลาไปหมด รีบมาได้ทันเวลาพอดีเชียวนะ!